ถึงจะถูกพระอาจารย์ช่างจื้อพากลับเข้าเมือง แต่สายตาของฮูหลุนยังคงจ้องหมิงเวยด้วยความอาฆาตมาดร้ายอย่างไม่ปิดบัง
น่าซูพูดด้วยความรังเกียจ “ฮูหลุนน่าเกลียดเสียจริง! ดูเหมือนว่าเขากำลังเพ่งเล็งแม่นางหมิง”
“แล้วจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” ตัวฝูรู้สึกกังวล
“อย่ากังวลไปเลย” ซูถูพูด “ก่อนพิธีกรรมเทียนเสินหากเขาคิดจะสร้างปัญหา หัวหน้าเผ่าฉีหูไม่อนุญาตแน่ แต่หลังเสร็จพิธีกรรมเทียนเสิน…” เขาชะงักไปพักหนึ่ง “รอพระอาจารย์ช่างจื้อนำพระผู้ทำพิธีประสงค์ของสวรรค์กลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เขาพูดเป็นภาษาจงหยวนด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำพูดได้มีมาตรฐานมากกว่าน่าซู หมิงเวยจึงมีความรู้สึกราวกับว่าคนที่ยืนพูดอยู่ในตอนนี้คือองค์ชายจากจงหยวนไม่ใช่องค์ชายเผ่าหูเหริน
ตัวฝูถามด้วยความสงสัย “พิธีกรรมเทียนเสินทำไมหรือ”
น่าซูอธิบายให้นางฟังว่า “พวกเราแปดเผ่ามารวมตัวกันที่เมืองหยุนไฉเพื่อพิธีกรรมเทียนเสินซึ่งเป็นวันสำคัญของพวกเราชาวหูเหริน พวกเราบูชา และรับฟังพระผู้ทำพิธีประสงค์จากเทพเจ้ามารุ่นสู่รุ่น ในพิธีกรรมเทียนเสินครั้งนี้พวกเผ่าฉีหูต้องการขอความประสงค์ของเหล่าทวยเทพในการขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าทั้งแปด”
“อ้อดังนั้นแม้องค์ชายฮูหลุนต้องการสร้างปัญหา แต่หัวหน้าเผ่าฉีหูจะไม่ยอมให้เขาทำลายพิธีกรรมเทียนเสินใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ถูกต้องแล้ว”
ตัวฝูคิด “แล้วหลังพิธีกรรมเทียนเสินจะเป็นอย่างไรต่องั้นหรือเจ้าคะ หากพวกเขาขอกับผู้เป็นพระผู้ทำพิธีจริงๆ แล้วได้กลายเป็นผู้นำของพวกท่าน พวกท่านก็ไม่สามารถปกป้องพวกเราได้ใช่หรือไม่”
“นั่น…” น่าซูชะงัก
ซูถูถอนหายใจเล็กน้อยแล้วตอบว่า “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรพวกเราเผ่าหมาป่าหิมะจะปกป้องแขกของเราอย่างแน่นอนเพียงแต่หากพวกเขาได้ขึ้นเป็นผู้นำเผ่าทั้งแปดจริงๆ พวกเขามีหลายวิธีที่จะจัดการกับพวกเราอาจจะเกิดความยุ่งยากได้”
“เป็นเช่นนั้นหรือ…” ตัวฝูรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็คิดไม่ออก
พอพูดคุยเรื่องนี้น่าซูก็นึกขึ้นมาได้ว่า “อา…จริงสิ แม่นางหมิงข้ายังไม่ได้แนะนำเจ้าเลยนี่พี่ชายของข้าเอง ซูถู”
หมิงเวยย่อกาย “คารวะองค์ชายซูถูเจ้าค่ะ”
ซูถูทักทายกลับด้วยธรรมเนียมของหูเหริน สายตาของทั้งสองประสานกันแล้วต่างคนต่างก็หันไปทางอื่น
ซูถูพูดว่า “น่าซู เจ้าพาแขกกลับเข้าเมืองไปก่อนช่วงนี้พยายามอย่าเคลื่อนไหวอะไรมากเพื่อไม่ให้ฮูหลุนจับได้”
“เข้าใจแล้ว” น่าซูยิ้มอย่างรู้สึกผิด “แม่นางหมิงต้องขอโทษด้วยจริงๆ ทั้งที่อยากพาเจ้าออกมาสนุกด้วยแท้ๆ…”
“เรื่องนี้มีสาเหตุไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ” หมิงเวยพยักหน้า “องค์ชายซูถู ถ้าเช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อนแล้วพบกันใหม่เจ้าค่ะ”
…………
ในตอนที่น่าซูกลับมาที่จวนซูถูก็อยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้ว เขากำลังยิงธนูซึ่งไม่เหมือนกับพวกฮูหลุน เขาไม่ชอบการล่าสัตว์ แต่ชอบยิงธนูเงียบๆ เช่นนี้มากกว่า
เพราะนิสัยที่เงียบเกินไปตอนเด็กเขาจึงถูกมองว่าเป็นพวกต่างเผ่าอยู่เสมอ แม้แต่หัวหน้าเผ่าหมาป่าหิมะที่มีสายเลือดของจงหยวนก็ยังไม่โปรดปรานเขา คิดว่าเขาไม่มีสายเลือดอันกล้าหาญของหูเหริน แต่ผู้ใดจะไปรู้ในที่สุดเขาก็กลายเป็นผู้ที่ครอบครองทุ่งหญ้า ความกล้าหาญ…ผู้ใดบอกว่าต้องแสดงออกทางภายนอกเท่านั้นกัน
ลูกธนูพุ่งปักที่เป้าอย่างแม่นยำหางของลูกธนูสั่นเป็นพิเศษ
“พี่เจ็ด” น่าซูเรียก
ซูถูยังคงยิงธนูไปเรื่อยๆ แต่ปากก็เอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
น่าซูเกาหัว “นางกลับไปโดยไม่พูดอะไรเลย”
ซูถูชะงัก “นางไม่ถามเรื่องพิธีกรรมเทียนเสินหรือเผ่าฉีหูเลยหรือ”
“ไม่เลย”
“สวบ!” ลูกธนูพุ่งออกไปอีกครั้ง
น่าซูอดถามไม่ได้ “พี่เจ็ด นางเป็นเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ท่านบอกว่าคนจงหยวนมักหยิ่งผยอง นางมีความสามารถเช่นนั้นถูกมองว่าเป็นทาสหญิงต้องโกรธเป็นแน่ไม่ใช่หรือ”
“ใช่” ซูถูตอบเสียงเนิบนาบ
“แล้วเหตุใดนางถึงไม่ถามอะไรเลยนางควรคิดหาวิธีเอาคืนเผ่าฉีหูไม่ใช่หรือ”
หลังจากยิงลูกศรทั้งหมดทีเดียวเสร็จซูถูก็หยุดลงแล้วถอนหายใจ “อย่ากังวลไปเลยรอสักหน่อยเถอะ”
…………
กลางดึก หมิงเวยกางกระดาษเปล่าครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเขียนคำสองสามคำ
เผ่าหมาป่าหิมะ เผ่าฉีหู
ซูถู พระอาจารย์ช่างจื้อ
พิธีกรรมเทียนเสิน
การรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของเผ่าทั้งแปดในเป่ยหูเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ประวัติศาสตร์ไม่น่ามีการบันทึกผิด หมายความว่าอำนาจของเป่ยหูได้เปลี่ยนไปนานแล้ว
เผ่าฉีหูคิดว่าตนเองมีอำนาจมากที่สุด แต่ความจริงแล้วเผ่าหมาป่าหิมะอาจเป็นพันธมิตรกับเผ่าอื่นๆ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถปราบปรามเผ่าฉีหูได้ในคราวเดียว และขึ้นเป็นผู้นำเผ่าทั้งแปด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือซูถูได้เตรียมการไว้อย่างเงียบๆ แล้ว หากเป็นเช่นนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายนี้
ก็คือพิธีกรรมเทียนเสิน
ความประสงค์ของเทพเจ้าอะไรกัน คำพูดเช่นนี้สามารถหลอกลวงคนเลี้ยงสัตว์ที่โง่เขลาได้เท่านั้นแหละ เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ในจงหยวน การถือกำเนิดของสิ่งที่เรียกว่าความเป็นมงคลนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาโดยตลอด ทำอย่างไรถึงจะได้รับเจตจำนงของเหล่าทวยเทพตามที่ต้องการ
ง่ายมาก…พระผู้ทำพิธีร้องขอต่อความประสงค์ของทวยเทพ ตราบใดที่ปราบปรามพระผู้ทำพิธีของฝ่ายตรงข้ามได้ก็จะได้อะไรก็ได้ที่ตนเองต้องการ
ดังนั้น อุปสรรคเดียวของซูถูในตอนนี้คือพระอาจารย์ช่างจื้อ
หูเซิงผู้นั้นมีพลังที่กล้าแกร่งแม้แต่หูเหรินจากเผ่าอื่นยังเคารพเขา เพื่อแก้ไขอุปสรรคนี้ หากไม่ยุแยงอีกฝ่ายก็ต้องหาคนที่แข็งแกร่งกว่าเพื่อเอาชนะเขา
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ในวันนี้พระอาจารย์ช่างจื้อไม่ได้ถูกยุแยงแต่อย่างใด หมายความว่า…
หมิงเวยหัวเราะนางวางพู่กันลงยื่นกระดาษไปที่เทียนแล้วจุดไฟ
เป็นเช่นนี้นี่เอง! ที่ให้นางออกไปขี่ม้าในวันนี้ก็เพื่อให้พบกับองค์ชายฮูหลุนแล้วปะทะกับพระอาจารย์ช่างจื้อเพื่อให้นางเป็นกำลังให้เผ่าหมาป่าหิมะ และปราบปรามพระอาจารย์ช่างจื้อ
เพียงแต่ซูถูคงคิดไม่ถึงจุดประสงค์ในการมาที่ทุ่งหญ้าของตนก็เพื่อทำลายการขึ้นเป็นผู้นำเผ่าทั้งแปดของเขา หากไม่ใช่เพราะสถานะไม่ถูกต้องนางก็อยากช่วยพระอาจารย์ช่างจื้อโดยตรงอยู่หรอก
เดี๋ยว…หมิงเวยคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ชาติก่อนไม่มีนางซูถูก็ขึ้นเป็นผู้นำเผ่าทั้งแปดได้ เขาใช้วิธีใดในการปราบพระอาจารย์ช่างจื้อกัน หรือว่าวิธีครั้งก่อนใช้ไม่ได้จึงเปลี่ยนมาฝากความหวังไว้ที่นางแทน
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนักนางก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยบนหลังคาจึงดับเทียนแล้วเดินไปแถวหน้าต่างเงียบๆ
สักพักก็มีคนมาจุดไฟอะไรบางอย่างแล้วโยนเข้ามาข้างใน ควันพวยพุ่งออกมา
หมิงเวยเลิกคิ้วแล้วปิดจมูก ไม่นานผู้ที่ซุ่มอยู่ข้างนอกคำนวณในใจว่าใกล้ถึงเวลาแล้วจึงปีนเข้าไปข้างในอย่างเงียบๆ เมื่อเขาปีนเข้ามาได้ครึ่งทาง หมิงเวยก็คว้าตัวเขาทันทีแล้วลากเข้ามาด้านใน
“อา!” เขาอุทานออกมา แต่หมิงเวยรีบคว้าหนังแกะมาอุดปากเขาเอาไว้
นางโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อดูจากนั้นก็หัวเราะ “องค์ชายฮูหลุนงั้นหรือ เป็นองค์ชายอยู่ๆ เหตุใดริอาจกลายเป็นโจรได้ ข้าได้ยินมาว่าท่านมักจะด่าคนจงหยวนว่าเป็นพวกเจ้าเล่ห์กลับกลอก แต่เหตุใดท่านถึงทำเช่นนั้นเองเล่า”
ฮูหลุนถูกนางกดคอจนรู้สึกอึดอัด หมิงเวยคลายมือออกเล็กน้อย “องค์ชายอยากพูดว่าอะไรหรือ”
“ปล่อยข้า!” ฮูหลุนพูด “เจ้ากล้าลงมือกับข้า ข้าจะ…”
“ท่านจะทำไม” หมิงเวยออกแรง “ที่นี่คือเมืองหยุนไฉต่อให้ข้าถูกกลั่นแกล้งก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ท่านมาหาข้าด้วยตัวท่านเองเพราะฉะนั้นไม่ใช่ความผิดข้าไม่ใช่หรือ”
ฮูหลุนตกใจ “เจ้าจะทำอะไร”