หลังจากร้องไห้ไปสักพัก ฮูหยินสองก็พูดขึ้นว่า “ท่านแม่เองก็อายุมากแล้ว มาร้องไห้อีก เกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหว น้องสะใภ้สี่รบกวนดูแลท่านแม่ด้วย”
ฮูหยินสี่ตอบรับ
นางมองไปยังฮูหยินหก “น้องสะใภ้หก ความผิดของท่าน ท่านแม่จะลงโทษเอง ตอนนี้น้องหกบาดเจ็บหนักเช่นนี้ ท่านไปดูแลเขาก่อนเถอะไม่มีเรื่องอันใดก็อย่าออกจากเรือน”
ฮูหยินหกตอบรับไปร้องไห้ไป
“เสี่ยวชี…” ฮูหยินผู้เฒ่าโอบกอดนางแล้วร้องไห้ “เรื่องนี้ท่านลุงท่านอาต้องขอโทษเจ้าด้วย ย่าจะดูแลหลานเอง หลานอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ อย่าเป็นเช่นนี้ มันทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ใจ!”
ในที่สุดหมิงเวยก็ตอบสนอง นางแค่ขยับขนตา และบอกเบาๆ ไปว่า “หลานอยากอยู่กับท่านแม่สักพัก”
“ได้ๆ!” ฮูหยินผู้เฒ่าตอบซ้ำๆ “แม่นมถง เจ้าอยู่ที่นี่คอยดูแลนาง อย่าให้นางร้องไห้จนทำร้ายตัวเองส่วนผู้อื่นออกไปให้หมด ให้พวกนางแม่ลูกอยู่ด้วยกันสักพักเถิด”
ทุกคนตอบรับ ฮูหยินผู้เฒ่าถูกประคองออกไป ตามด้วยฮูหยินหกที่ประคองนายท่านหกที่ได้รับบาดเจ็บแผ่นหลังชุ่มไปด้วยเลือดออกไป
นายท่านสองกับฮูหยินสองออกไปเพื่อจัดการเรื่องต่างๆ ตอนนี้ทั้งภายในภายนอกเรือนกำลังยุ่งวุ่นวาย นายท่านสี่มีสีหน้าแข็งทื่อ เขายืนนิ่งไม่ขยับตัวไปที่ใด
“ท่านพี่เจ้าคะ” ฮูหยินสี่ถามอย่างระมัดระวัง “พวกเราก็ออกไปด้วยกันเถอะเจ้าค่ะ ให้พี่สะใภ้สามจากไปอย่างสงบเถอะเจ้าค่ะ”
ผ่านไปสักพักนายท่านสี่ถึงขยับริมฝีปาก “อ้อ” ใบหน้าที่เคยหล่อเหลานั้นดูทรุดโทรม ฮูหยินสี่กัดริมฝีปากสีหน้าของนางดูเจ็บปวด แต่เพียงครู่เดียวก็หายไป
ทุกคนออกไปกันหมดแล้วภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ
“คุณหนูเจ้าคะ” ถึงแม้แม่นมถงจะเสียใจ แต่พอเห็นหมิงเวยเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งกังวล
หมิงเวยหลับตาลง และถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในที่สุด
“ช่างเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ!” นางพึมพำและอดยิ้มออกมาไม่ได้ “หากท่านแม่รู้เข้าคงตกตะลึงที่ได้รับความเมตตาอย่างคาดไม่ถึงเช่นนี้ การตายของนางสามารถทำให้ทุกคนในเรือนนี้แสดงละครใหญ่ด้วยกันได้”
แม่นมถงได้ยินแล้วรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง “คุณหนูพูดอะไรน่ะเจ้าคะ”
หมิงเวยส่ายหน้าและไม่พูดอันใดแล้วหมุนตัวเดินเข้าห้อง นางนั่งลงที่หน้าเตียง และจับมือฮูหยินสาม ผู้ที่ถามกลับเป็นแม่นมถง “ตอนนี้พวกเขาออกไปหมดแล้ว แม่นม ท่านพูดความจริงออกมาเถอะ! เมื่อคืนเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ข้าไม่ได้เขียนจดหมายบอกท่านแม่หรือว่าให้รอข้ากลับมา”
พูดถึงเรื่องนี้ แม่นมถงก็ร้องไห้อีกครั้ง “คุณหนู! เหตุใดท่านถึงกล้าทำเรื่องเช่นนี้กันเจ้าคะ ท่านเองก็รู้ดีว่าที่นั่นคือที่ใด เหตุใดวันนี้ถึงกลับช้าเช่นนี้ คงไม่ใช่…”
“ข้าไม่เป็นอันใด” หมิงเวยพูดขัดจังหวะนาง “ข้ายังไม่กลับมาก็เกิดเรื่องขึ้นกับท่านแม่ดูเหมือนว่าเรื่องที่ข้าไปแทนท่านแม่เมื่อคืน ท่านลุงสองคงทราบแล้ว”
“ไม่มีอันใดเกิดขึ้นจริงๆ หรือเจ้าคะ” แม่นมถงถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ไม่มีอันใดจริงๆ” หมิงเวยตอบ “พูดเรื่องของท่านแม่ก่อนเถอะ”
แม่นมถงพยักหน้าทั้งน้ำตา “เมื่อคืนฮูหยินตื่นขึ้นมา พวกเราถึงได้รู้ว่าคุณหนูไปแทนฮูหยิน ฮูหยินเป็นกังวลมาก แต่ก็ไม่กล้าบอกให้ผู้ใดรู้จึงไปรอที่ห้องสักการะ ขอพรให้เสวียนหนี่เหนียงเหนียงคุ้มครองคุณหนู”
“ฮูหยินอยู่ในห้องสักการะจนกระทั่งยามสี่จึงสั่งให้ปิงซินกลับไปนอน บอกว่าถ้าตนง่วงจะกลับไปนอนเอง หลังจากนั้นก็ได้ยินข่าวลือแล้วฮูหยินหกก็สร้างปัญหาขึ้น ทุกคนก็เลยรู้”
“จนกระทั่งตอนสายคุณหนูยังไม่กลับมาสักที บ่าวใจร้อนมากจึงรีบไปที่ห้องสักการะ ฮูหยินก็…แขวนคออยู่บนขื่อแล้วเจ้าค่ะ!”
แม่นมถงร้องไห้อย่างขมขื่น
หมิงเวยหลับตา “ท่านแม่ได้ยินอันใดมา”
แม่นมถงอดกลั้นความเศร้าของตน “พอบ่าวพบว่าฮูหยินแขวนคอจึงเรียกปิงซินมาถาม บอกว่าเมื่อเช้ามีสาวใช้สองนางมาพูดเรื่องนี้ที่นอกห้องสักการะ”
หมิงเวยถามอีก “สาวใช้สองนางนั้นล่ะ”
“หาไม่พบเจ้าค่ะ” แม่นมถงเช็ดน้ำตา “พอดีวันนี้มีการปรับปรุงสวน เมื่อเช้าจึงมีคนเข้าสวนมากมาย ข่าวลือเลยแพร่กระจายมาอย่างรวดเร็ว”
หมิงเวยพยักหน้า “หมายความว่าตั้งแต่ยามสี่เป็นต้นไป ไม่มีผู้ใดเข้ามาคุยกับท่านแม่”
แม่นมถงจับใจความได้ถึงความหมายที่หมิงเวยต้องการสื่อจึงรีบถามออกไป “คุณหนูจะบอกว่า…”
หมิงเวยได้แต่ถาม “แม่นม ท่านแม่เป็นผู้ที่แม่นมเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ แม้แม่นมจะเป็นสาวใช้ แต่ก็ถือว่าเป็นมารดาเลี้ยง เรียกได้ว่าแม่ลูกรู้ใจกัน ข้าถามท่าน ท่านคิดว่าท่านแม่จะฆ่าตัวตายอย่างนั้นหรือ”
แม่นมถงชะงัก
“เรื่องที่ท่านแม่พบเจอในหลายปีมานี้ ข้ารู้มาครึ่งหนึ่ง” นางกระซิบเสียงเบา “ถูกท่านอาหกรังแกซ้ำยังถูกท่านลุงบีบบังคับให้คบค้าสมาคมกับคนพวกนั้น เรื่องเช่นนี้นางยังไม่แสวงหาความตายเลย ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว ท่านคิดว่าแค่ข่าวลือพวกนั้นจะทำให้นางร้องหาความตายได้หรือ”
แล้วแม่นมถงก็นึกขึ้นมาได้ “หลังจากที่คุณหนูหายดีแล้ว ฮูหยินคิดที่จะพาคุณหนูไปที่เมืองหลวงเพื่อมีชีวิตที่ดี เหตุใดจู่ๆ ถึงอยากตายขึ้นมาได้เล่า”
“ใช่ เหตุใดถึงได้กะทันหันเช่นนี้” หมิงเวยพูดอย่างเงียบๆ “หลายปีที่ผ่านมานี้ท่านแม่ทุกข์ทรมาน แต่ยังทนมาได้ ท่านแม่รอให้วันนี้มาถึงแล้วทำไมถึงแสวงหาความตายกัน”
“หรือว่า…” เป็นการคาดเดาที่น่ากลัวเกินไปจนแม่นมถงยืนต่อไปไม่ไหว
“นอกจากนี้ ท่านอาสะใภ้หกเป็นคนอย่างไร แม่นมคงรู้ดีกว่าข้า ได้ข่าวว่านางอ่อนแอมาก ท่านอาหกนางยังคุมไม่ไหว แม้แต่ในเรือนยังมีนางเล็กนางน้อยจนต้องให้ท่านย่าเข้ามาจัดการเป็นครั้งคราว ท่านอาสะใภ้หกในสภาพเช่นนั้น จู่ๆ จะวิ่งไปสร้างปัญหาให้กับท่านย่าได้อย่างไร”
แม่นมถงพูด “เรื่องนี้อาจ…ฮูหยินหกอาจจะโกรธไปชั่ววูบ”
“แน่นอน เช่นนั้นก็อาจเป็นไปได้” หมิงเวยพูดต่อ “ปัญหาก็ส่วนปัญหาแล้วเหตุใดข่าวลือถึงได้กระจายออกไปในคราวเดียวกันเล่า ตอนที่ท่านอาสะใภ้หกไปสร้างความเดือดร้อนกับท่านย่า ท่านย่าเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรกระพือออกไป เช่นนั้นก็ควรปิดเรือนมิใช่หรือ”
“เรื่องนั้น…”
หมิงเวยพูดต่อ “แล้วยังมีท่านป้าสอง หลายปีมานี้ดูแลเรือนเป็นอย่างดี บ่าวรับใช้ก็ควบคุมได้เป็นอย่างดี ความผิดพลาดเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อใด พอมีผู้เห็นเข้าในเวลาแค่ครึ่งวัน ผู้คนรู้กันไปทั่วเรือนได้อย่างไร ตกลงนางไม่ได้จงใจที่จะปล่อยผ่านไป หรือจงใจกันแน่”
แม่นมถงตกใจกลัวจนจะล้มมิล้มแหล่ “จิตใจมนุษย์นั้นช่างเหี้ยมเกรียมนัก และน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจใดๆ ในโลก” หมิงเวยกระซิบพลางมองฮูหยินสามที่ไม่รู้สึกตัว “ท่านคงไม่มีทางรู้เลยว่าจิตใจของมนุษย์นั้นเลวร้ายเพียงใด แม้แต่เส้นพื้นฐานของคนก็เอื้อมไม่ถึง”
แม่นมถงยันตัวกับเตียงน้ำตาของนางร่วงหล่นลงมา “ฮูหยิน หรือว่าการตายของฮูหยิน…”
“แม่นมอย่าร้อง” หมิงเวยพูดเสียงเบา “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะปล่อยตนเองให้จมอยู่กับความเศร้า ดูสิ…ว่าเรื่องนี้สมบูรณ์แบบเพียงใด เราสาวไส้ให้กากินไม่ได้ พวกเขาล้วนทำถึงเพียงนี้แล้ว แม้แต่ท่านอาหกยังถูกตีจนปางตายแล้วยังทำอะไรได้อีกเล่า หรือว่าให้ข้าในรุ่นเยาว์ผู้นี้บังคับให้ผู้อาวุโสกว่าตายงั้นหรือ”
นางหลับตาลง ดวงตาของนางแห้งขอดไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด เส้นเลือดดำปรากฏขึ้นบนหน้าผาก “เหตุใดพวกเขาถึงตายไม่ได้! เหตุใดพวกคนที่ทำเรื่องชั่วช้าถึงได้อยู่ดีกินดีนัก กงเกวียนกำเกวียน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วมีจริงงั้นหรือ!”
นางลืมตาขึ้นแววตาของนางไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใดๆ คำพูดที่นางพ่นออกมาราวกับก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่ง “ถ้าเสวียนหนี่เหนียงเหนียงจัดการไม่ได้ งั้นก็ให้คนที่ควรจัดการจัดการเถอะ!”
………………………………………………