หมิงเวยชี้ไปที่โครงกระดูก “เริ่มจากโครงกระดูกนี้ก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย “ไม่เริ่มจากเรื่องของฮูหยินสามก่อนหรือ”
หมิงเวยส่ายหน้า “เรื่องของท่านแม่ซับซ้อนเกินไป เริ่มจากเรื่องง่ายก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่พูดอันใด เขาขมวดคิ้ว “เป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ ใต้เท้ามีเรื่องลำบากใจหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจเบาๆ “เกรงว่าเรื่องนี้ก็ไม่ง่ายดายเช่นกัน”
หมิงเวยมองไปยังกระดูกสีขาวบนโต๊ะ “โครงกระดูกนี้มีเงื่อนงำหรือเจ้าคะ”
ไม่รอให้เจี่ยงเหวินเฟิงตอบ นางพูดต่อว่า “ดูจากลักษณะของกระดูกแล้ว คนผู้นี้น่าจะตายไปแล้วประมาณสิบปีใช่หรือไม่เจ้าคะ เป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่…”
นางครุ่นคิดแล้วนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา “เป็นคนที่ท่านกำลังตามหาในตงหนิงใช่หรือไม่”
เจี่ยงเหวินเฟิงประหลาดใจ “ท่าน…” นางรู้จุดประสงค์ที่พวกเขามาที่ตงหนิงได้อย่างไร
หมิงเวยเฉลย “วันนั้นที่สวนซิ่น ข้าน้อยได้ยินที่คุณชายหยางกับใต้เท้าเหลยพูดคุยกัน”
เหลยหงได้ยินนางพูดถึงเขาก็ตกใจไปชั่วขณะ แล้วเขาก็เข้าใจขึ้นมาว่า
“ตอนนั้นท่านอยู่ในห้องงั้นหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า “มีคนอยู่ในห้อง แต่ข้าดูไม่ออก ยังดีที่เป็นคุณหนูเจ็ด ไม่อย่างนั้น…”
เมื่อเห็นเขากำลังโทษตัวเอง หมิงเวยจึงยิ้มเบาๆ “ข้ากลั้นลมหายใจเจ้าค่ะ ท่านไม่ได้ประมาทหรอก”
เหลยหงคิดอีกครั้ง “ไม่แปลกใจเลยที่คุณชายออกมาพูดแทนท่าน หลังจากนั้นท่านถูกคุณชายพบเข้าใช่หรือไม่”
หมิงเวยพยักหน้า “คุณชายหยางเห็นว่าข้าน้อยรู้เรื่องนี้เข้าแล้วจึงกักตัวข้าน้อยไว้ ไม่คิดว่าวันรุ่งขึ้นจะได้รับข่าวว่าตระกูลหมิง…”
“คุณหนูเจ็ด ข้าขอแสดงความเสียใจด้วย” เจี่ยงเหวินเฟิงปลอบโยนนาง
หมิงเวยย่อกายขอบคุณ “ข้าน้อยเข้าใจเจ้าค่ะ ใต้เท้าวางใจเถิด”
นับตั้งแต่พูดคุยกันในช่วงเวลาอันสั้นนี้ความรู้สึกของเจี่ยงเหวินเฟิงที่มีต่อนางได้เปลี่ยนไปจากตอนแรกอยู่มาก
เดิมทีเขาคิดว่านางเป็นสตรีตัวเล็กๆ ที่กล้าหาญ และตั้งใจที่จะล้างแค้นให้กับมารดา แต่การแสดงออกของนางที่ห้องเซ่นไหว้ผู้ตายนั้นได้บอกเขาว่านางไม่เพียงแต่กล้าหาญเท่านั้น แต่ยังฉลาดมากอีกด้วย
เมื่อนางเข้ามาในห้องนี้และพูดสิ่งเหล่านี้กับเขา ทำให้เขารู้ว่าสตรีผู้นี้ไม่ใช่สตรีธรรมดา
นางมองเห็นภูติผี
รู้วิธีควบคุมวิญญาณเร่ร่อน
รู้จักอาวุธวิเศษ
สามารถแยกแยะกระดูกออก แล้วยังรู้วิธีกลั้นลมหายใจอีกด้วย
“คุณหนูเจ็ด…” เขาสรุปข้อมูลเหล่านั้นแล้วถามกลับไปว่า “ท่านเป็นเสวียนชื่อหรือ”
“จะพูดอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” นางไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องนี้ ประการแรกต้องเปิดเผยความสามารถของตนเองเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าร่วมได้ ประการที่สองนางเชื่อว่าจะได้รับความไว้วางใจจากเจี่ยงเหวินเฟิง
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าแล้วไม่ถามอันใดอีก
เขาไม่เชื่อเรื่องเสวียนหนี่เก็บดวงวิญญาณอะไรนั่น แต่เมื่อมองการกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัวของคุณหนูเจ็ดแล้ว การที่นางไม่พูดหมายความว่าคงมีเรื่องไม่ดีที่ไม่สามารถพูดออกมาได้
เขาจะไม่เค้นถามความลับของผู้อื่น ตราบใดที่นางไม่ได้มีความคิดชั่วร้ายก็เพียงพอแล้ว เป็นเวลานานกว่าเหลยหงจะพูดออกมา “วันนั้นที่คุณหนูเจ็ดเอาตะเกียบแทงงูตัวนั้น ไม่ใช่อุบัติเหตุใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ หมิงเวยอดไม่ได้ที่จะยกมุมปาก “วรยุทธ์ของข้าอาจไม่เก่งกาจเท่าใต้เท้าเหลย ข้าน้อยรู้แค่ทักษะเพียงเล็กน้อยก็เท่านั้น”
เหลยหงคิดว่าตนเองสายตาไม่เลวเหมือนกัน “หากข้าไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง คงยากที่จะจินตนาการว่าเมื่อก่อนคุณหนูเจ็ดเป็นคนโง่เขลา”
นอกจากนี้เขายังตระหนักว่าอาจมีบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้เกี่ยวกับที่มาของหมิงเวย พอคิดถึงเรื่องนี้เขาจำเป็นต้องหยุดเอาไว้
หมิงเวยกลับเข้ามาที่หัวข้อสนทนา “ใต้เท้า ก่อนหน้านี้ข้าน้อยก็ไม่เคยคิดว่าโครงกระดูกนี้เป็นคนที่ท่านกำลังตามหา แต่เมื่อเห็นว่าพวกเราถูกลิขิตให้มาเกี่ยวข้องกัน โครงกระดูกถูกฝังอยู่ในสวนของตระกูลหมิง จะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหมิงคงไม่ได้ พวกเรามีวิธีการที่แตกต่างแต่บรรลุเป้าหมายเดียวกัน ข้าว่าพวกเรามาช่วยเหลือกันจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “หากท่านต้องการร้องเรียนเพื่อมารดา ข้าจะคืนความยุติธรรมให้ท่านอย่างแน่นอน ท่านไม่จำเป็นต้องทำเรื่องอันใดมากมายเลย”
หมิงเวยต้องการต่อสู้เพื่อสิทธิที่มากขึ้น “ใต้เท้า ข้าน้อยสามารถทำให้คนตายเปิดปากพูดออกมาได้เจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจ และอธิบายให้นางเข้าใจยิ่งขึ้น “คุณหนูเจ็ด เรื่องนี้ไม่ง่ายดายอย่างที่ท่านคิด เรื่องนี้มีความซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับคดีเก่า หากมีส่วนเกี่ยวข้องกันก็ยากที่จะบอกว่าจะเกิดปัญหาอันใดขึ้นในภายภาคหน้าได้”
หมิงเวยดูไม่พอใจ เจี่ยงเหวินเฟิงมีความประทับใจในตัวนาง เขาพูดอย่างนุ่มนวลว่า “คดีมารดาของท่าน ไม่ว่าข้าจะตรวจพบเจออะไร ข้าจะไม่ปิดบังท่าน เช่นนี้ดีหรือไม่”
หมิงเวยกลับตอบว่า “ใต้เท้า ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่ฟังคำพูดของท่าน แต่ปัญหาที่ท่านพูดถึง สำหรับข้าน้อยแล้วมันไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึง” นางหยุดชะงักแล้วพูดต่อไปว่า “คดีเก่าเมื่อหลายปีก่อนหมายถึงคดีกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา สายตาหลายๆ คู่ในห้องก็จ้องมาที่นาง
“ท่านรู้ได้อย่างไร” เหลยหงถาม หมายความว่าเขายอมรับ
หมิงเวยตอบ “เรื่องนี้เดาได้ไม่ยากไม่ใช่หรือเจ้าคะ หน่วยลาดตระเวนได้รับคำสั่งโดยตรงจากฝ่าบาท ส่วนคุณชายหยางก็ตามมาตามคำสั่งของฝ่าบาทเช่นกัน พวกท่านกำลังมองหาศพของคดีเมื่อสิบปีก่อนเพื่อเตรียมการรับมือกับฉีตงจวิ้นอ๋อง คดีระดับนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในสองสามปีที่ผ่านมา หากจำกัดเวลาเมื่อสิบปีก่อน ก็เดาได้ไม่ยากว่าหมายถึงคดีใด”
“…..”
อันที่จริงนางใช้วิธีลัด สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้สำหรับนางแล้วคือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือแล้ว
หลังจากนั้นไม่กี่ปีฉีตงจวิ้นอ๋องก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เดาได้ไม่ยากเลยว่าจุดประสงค์ที่พวกเขาเดินทางมาที่ตงหนิงนั้นเกี่ยวข้องกับอำนาจของฝ่าบาทแน่นอน
เจี่ยงเหวินเฟิงมองนางด้วยสายตาที่ซับซ้อน
“คุณหนูเจ็ดสุดยอดจริงๆ…” พูดถึงเมื่อสิบปีก่อนก็สามารถเดาได้มากมายเพียงนี้ได้ แน่นอนว่าหมิงเวยไม่บอกความจริงกับเขา ร่างทรงที่เร่ร่อนไปทั่วหล้าชอบแสร้งทำเป็นผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้พวกเขาเกิดความเชื่อถือ
หมิงเวยทำแค่เพียงย่อกายต่อหน้าเขาก่อนกล่าว “ใต้เท้า โปรดให้ข้าน้อยได้ใช้ความสามารถเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่พูดอันใด หมิงเวยเองก็ไม่พูดอันใดอีกรอการตัดสินใจของเขาอย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปนานเจี่ยงเหวินเฟิงถึงเอ่ยถาม “คุณหนูเจ็ดต้องการเข้าร่วมหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า
“เหตุผลล่ะ”
หมิงเวยตอบไปว่า “การตายของท่านแม่มีความเกี่ยวข้องอย่างมาก หากเป็นอย่างที่ข้าน้อยคาดเอาไว้ ต้องมีความเกี่ยวข้องกับความลับของตระกูลหมิง หากเชื่อมโยงกับโครงกระดูกนี้จะต้องมีความเกี่ยวพันบางอย่างระหว่างตระกูลหมิงกับคดีเมื่อสิบปีก่อนแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วชื่อเสียงของบรรพบุรุษเกรงว่าจะถูกตระกูลหมิงทำลายจนย่อยยับ”
“ท่านทำเพื่อตระกูลหรือ”
หมิงเวยส่ายหัวช้าๆ “ข้าน้อยไม่ได้ทำเพื่อตระกูล แต่ข้าน้อยทำเพื่อคนเจ้าค่ะ”
“ท่าน…”
นางตอบว่า “ท่านลุงไม่มีเมตตาธรรม บีบบังคับให้ท่านแม่ต้องตาย แต่พี่น้องของข้าน้อยมีความรักความเมตตา ถ้าหากมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีกบฏจริงๆ ผู้ที่มีความผิดก็คือท่านลุง แต่คนที่จะถูกเกี่ยวโยงไปด้วยก็คือพวกเขา ขอเพียงแค่ใต้เท้าให้โอกาสข้าน้อยได้สร้างคุณงามความดี ในภายภาคหน้ายามตัดสินความผิดจะได้สามารถหักล้างความผิดด้วยบุญคุญให้แก่สตรีและเด็กได้เจ้าค่ะ”
แววตาของเจี่ยงเหวินเฟิงช่างซับซ้อน เขาเงียบไม่พูดอันใด
เหลยหงที่อยู่ข้างกายเขาขยับตัวและพูดว่า “ใต้เท้า อันที่จริงพวกเรากำลังขาดผู้ที่มีหยินหยางอยู่หนึ่งคน ทำไมเราไม่…” จากนั้นเขาก็มองไปที่นางอย่างกระตือรือร้น
มีหรือที่เจี่ยงเหวินเฟิงจะไม่เข้าใจความหมายของผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ เขาหัวเราะขื่นๆ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยินดี แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากจนไม่สามารถรับประกันอันใดได้”
“ใต้เท้า โปรดให้โอกาสข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ” หมิงเวยขอร้อง “ไม่อย่างนั้น วันหนึ่งในภายภาคหน้า ข้าน้อยคงทำได้เพียงมองดูพี่น้องรับเคราะห์จากความผิดที่ผู้อื่นก่ออย่างเงียบๆ ไม่ว่าในภายหลังจะชดเชยความผิดได้หรือไม่ หากได้ทำสุดกำลังแล้ว ข้าน้อยจะไม่บังคับท่านเลยเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงคิดสักพักแล้วถอนหายใจ “ตั้งแต่คุณชายปล่อยท่านกลับมา คงหมายถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว เอาล่ะ หากท่านช่วยเราได้ข้าจะขอร้องแทนท่านเอง”
……………………………………………..