นายท่านสองแทบจะไม่ได้ก้าวเข้ามาในเรือนนี้ในตอนกลางวัน หากเขาจะมาในตอนนี้ก็ต้องเป็นเรื่องใหญ่เท่านั้น
“ข้าควรทำอย่างไรดี ท่านบอกมาหน่อยสิ!” คนที่หันหลังให้เขาถอนหายใจเล็กน้อย “ตอนนี้ท่านเชื่อข้าแล้วใช่หรือไม่ว่านางไม่ใช่เสี่ยวชี”
“ข้าเชื่อ ข้าเชื่อแล้ว!” นายท่านสองพูด “แต่ตอนนี้เจี่ยงเหวินเฟิงได้ยื่นมือเข้ามาแล้ว ถึงนางไม่ใช่เสี่ยวชี พวกเราก็ไม่สามารถทำอันใดนางได้”
“เป็นเพราะข้า!” เขาก้มหน้าลงมองมือตนเอง “ข้าสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ ทุกอย่างจึงกลายเป็นเช่นนี้”
นายท่านสองเป็นกังวลมาก “ในเวลานี้ท่านอย่าเพิ่งตำหนิข้าเลย ข้าเสียใจก็ตรงที่โดนนางหลอก! มันแปลกมาก นางรู้ได้อย่างไรว่ามีศพอยู่ตรงนั้น น้องสี่คอยจับตาดูนางตลอดเวลา นางไม่ได้ทำอันใดกับดินตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย!”
“มีอันใดแปลกกัน” คนผู้นั้นกล่าวเหน็บแหนมเบาๆ “ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินวิธีการของนางต่ำไป เข้าใจวิชาแผดเผาวิญญาณ รู้วิธีสกัดวิญญาณชั่วร้าย นางต้องเป็นเสวียนชื่อที่มีฝีมือมาก!”
“นางเป็นเสวียนชื่อแล้วอย่างไร”
“หากนางเป็นเสวียนชื่อล่ะก็ มันก็ง่ายที่จะเห็นว่าวิญญาณชั่วร้ายนั่นมาจากที่ใด”
“เอาล่ะ” นายท่านสองเลิกถามเรื่องนี้ “แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดี เจี่ยงเหวินเฟิงใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้เพื่ออยู่ในจวนต่อ ไม่แน่ว่าเพราะเหตุนี้อาจทำให้เขามีโอกาสชันสูตรศพ แล้วถึงเวลานั้น…”
ชายผู้นั้นขัดจังหวะเขา “อย่าไปสนใจเรื่องที่ไม่ใช่สาระสำคัญเลย สิ่งที่เลวร้ายที่สุดได้ไปอยู่ในมือของพวกเขาแล้ว”
นายท่านสองตกใจ พอตั้งสติได้ก็เอ่ยถาม “ท่านหมายถึงโครงกระดูกที่ขุดออกมาน่ะหรือ”
“ใช่”
“มันจะมีประโยชน์อันใด” นายท่านสองเห็นต่าง “กลายเป็นโครงกระดูกไปแล้ว พวกเขาคงดูไม่ออกหรอกว่าเป็นผู้ใด”
เขาหัวเราะเยาะ “ท่านประเมินความสามารถของเจี่ยงเหวินเฟิงต่ำเกินไป ตราบใดที่เขาพยายาม อย่างไรก็ต้องตรวจสอบได้อยู่แล้วว่าเป็นผู้ใด ยิ่งไปกว่านั้นเสวียนชื่อสามารถเรียกดวงวิญญาณได้…” ทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรบางอย่างออกขึ้นมา
“หรือว่าเขามาที่นี่เพื่อโครงกระดูกนั่น”
นายท่านสองรู้สึกสับสน “ที่เขามาที่นี่เพื่อการนี้หรอกหรือ เก่งกาจอะไรเพียงนั้นกัน จะว่าไปท่านยังไม่บอกข้าเลยว่าโครงกระดูกนั่นตกลงเป็นของผู้ใดกันแน่”
ชายผู้นั้นกุมหน้าผาก “คนของหวงเฉิงซือ”
“หวง หวงเฉิงซือ!” นายท่านสองแทบจะกระโดดขึ้น
หวงเฉิงซือ! ผู้เป็นหูตาของฝ่าบาท!
นายท่านสองเกลียดผู้ที่อยู่บนบัลลังก์นั่นมานานหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นจริงๆ
“ท่านไปแหย่คนของหวงเฉิงซือนั่นได้อย่างไร”
“ท่านจะพูดเรื่องนี้ทำไมกัน” ชายผู้นั้นถามกลับแล้วบอกว่า “ตอนนี้อยู่เงียบๆเข้าไว้จะเป็นการดีกว่า เจี่ยงเหวินเฟิงพาคนเข้ามาที่นี่แล้ว หากเคลื่อนไหวอันใดตอนนี้มีแต่จะถูกจับผิดได้โดยง่าย”
“ท่านจะไม่ทำอันใดเลยหรือ หากเขาตรวจสอบแล้วพบขึ้นมา…”
“รอข่าวจากจวิ้นอ๋อง” เขาหลับตาและพูดอย่างเงียบๆ “จวิ้นอ๋องตัดเรื่องนี้ออกไปไม่พ้นหรอก เขาย่อมวิตกกังวลมากกว่าพวกเราเสียอีก”
…………
“เขาเป็นผู้ใดหรือ” หมิงเวยถาม “เขาคงเป็นคนที่สำคัญมากพอถึงขนาดที่พวกท่านต้องมาตามหาอย่างใหญ่โตเช่นนี้”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “คุณหนูเจ็ดรู้จักหวงเฉิงซือหรือไม่”
“รู้จักเจ้าค่ะ”
“เขาเป็นสายลับของหวงเฉิงซือ เขาเป็นคนติดตามคดีกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋อง”
หมิงเวยเข้าใจในทันที “เป็นอย่างนี้นี่เอง…”
เมื่อกล่าวถึงคดีกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋อง หมิงเวยในร่างก่อนได้เห็นการคาดเดามากมายในบันทึกพงศาวดาร
หลิ่วหยางจวิ้นอ๋องเป็นโอรสของจิ้นอ๋อง ย้อนกลับไปในตอนที่ไท่จื่อ ฉินอ๋องและจิ้นอ๋องต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์ ทั้งสามพระองค์ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตลงในท้ายที่สุด
ไท่จื่อไม่มีทายาท ส่วนฉินอ๋อง และจิ้นอ๋องได้ทิ้งสายเลือดของพวกเขาเอาไว้โอรสของฉินอ๋องคือฉีตงจวิ้นอ๋อง ส่วนโอรสของจิ้นอ๋องก็คือหลิ่วหยางจวิ้นอ๋อง
เมื่อสิบปีก่อนเพราะการก่อกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องถูกเปิดเผยจึงต้องโทษถูกประหารทั้งครอบครัว
พงศาวดารมีการคาดเดาไปมากมาย นางคิดว่าฮ่องเต้เหวินตี้ไม่มั่นใจว่าพี่ชายของเขาจะทิ้งลูกหลานไว้หรือไม่จึงได้หาข้ออ้างเพื่อตัดรากถอนโคนเสียให้สิ้นซาก
หลังจากนั้นฉีตงจวิ้นอ๋องก็ถูดถอดยศ นักบันทึกพงศาวดารได้นำมายืนยันข้อสรุปนี้ ฟังจากที่เจี่ยงเหวินเฟิงเล่ามาแล้วดูเหมือนการกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องจะเป็นเรื่องจริง
“เหตุใดเขาถึงเสียชีวิตที่ตงหนิงหรือเจ้าคะ”
“ในปีที่เกิดเหตุการณ์ของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋อง เขาถูกตัดสินให้จำคุกส่วนครอบครัวล้วนต้องโทษประหารทั้งหมด แต่ยังมีบางเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน คนของหวงเฉิงซือจึงติดตามหาเบาะแสเหล่านี้แล้วจากนั้นเขาก็หายตัวไป”
“หมายความว่าพวกท่านก็ไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ตงหนิง”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “สายลับของหวงเฉิงซือทุกคนมีอิสระมาก พวกเขาสามารถเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นเวลานานโดยไม่ต้องติดต่อกับผู้ใดก็ได้ ฉะนั้นในระยะเวลาอันยาวนานนี้ไม่มีผู้ใดทราบว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเขา จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้มีคนนำแผ่นป้ายไปที่ศาลต้าหลี่ พวกเราถึงได้ทราบว่าเขาเสียชีวิตแล้ว”
“อย่างไรหรือเจ้าคะ”
“คนที่ส่งมอบแผ่นป้ายเป็นคนที่เขาไหว้วานไว้ล่วงหน้า บอกว่าพบเบาะแสและกำลังเดินทางไปที่ตงหนิง หากเขาไม่กลับมาภายในหนึ่งปี ขอให้คนผู้นี้นำแผ่นป้ายนี้ไปที่ศาลต้าหลี่ แต่กลับมีเรื่องไม่คาดฝันขึ้นคนที่เขาเตรียมไว้เกิดประสบอุบัติเหตุ และเพิ่งได้กลับเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้”
หมิงเวยฟังแล้วก็ถอนหายใจ “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสิ่งชั่วร้ายถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้”
เจี่ยงเหวินเฟิงบอกว่า “หากคุณหนูเจ็ดสามารถมองเห็นวิญญาณได้ ข้ามีเรื่องจะขอร้องท่านสักเรื่อง”
“ข้าน้อยมิบังอาจให้ใต้เท้าขอร้องข้าน้อยหรอกเจ้าค่ะ” หมิงเวยตอบ “ใต้เท้าอยากให้ข้าน้อยทำอันใด เชิญสั่งมาได้เลยเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงมองไปยังโครงกระดูกที่อยู่บนเสื่อ “คนผู้นี้จงรักภักดีอย่างถึงที่สุดในชีวิตของเขา หลังจากตายไปกลายเป็นภูติผีคงทำให้เขาทนไม่ได้ เนื่องจากคุณหนูเจ็ดเข้าใจเคล็ดวิชาอย่างลึกซึ้ง ช่วยหาวิธีให้เขาได้ไปเกิดใหม่อย่างสะอาดเพื่อที่จะไม่สูญเสียวิญญาณในอนาคตด้วยเถิด”
หมิงเวยหัวเราะ “ถึงใต้เท้าไม่บอกข้าน้อย ข้าน้อยก็จะทำเช่นนั้นอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิต ใต้หล้าคือความรับผิดชอบของข้าน้อย”
พูดถึงตรงนี้นางก็โค้งคำนับ “ข้าน้อยอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้วถึงเวลาที่ต้องกลับไปเฝ้าศพท่านแม่แล้ว มิฉะนั้นคนบางคนจะร้อนใจเข้า”
เจี่ยงเหวินเฟิงตอบ “แค่คุณหนูเจ็ดเข้ามาในห้องนี้พวกเขาก็ร้อนใจแล้ว” เขาคิดไปพักหนึ่ง “เหลยหง”
“ขอรับใต้เท้า”
“เจ้าไปหาคุณชายเพื่อขอยืมคนมาปกป้องคุณหนูเจ็ด หากคนพวกนั้นถึงคราวจนตรอก เราจะได้รับมือทัน”
“ขอรับ”
หมิงเวยย่อกายคำนับอีกฝ่าย “ขอบคุณใต้เท้าที่เป็นกังวล รบกวนใต้เท้าเหลยอีกรอบแล้ว”
“เป็นเรื่องสมควรแล้ว” เจี่ยงเหวินเฟิงกล่าวด้วยความจริงใจ “คุณหนูเจ็ดทำเพื่อพวกเรา เราจำเป็นต้องดูแลความปลอดภัยให้ท่านอยู่แล้ว”
ทั้งสองฝ่ายพูดอีกสองสามคำแล้วหมิงเวยก็เดินออกจากห้องเล็ก
นางยืนอยู่หน้าห้องเล็กแล้วหมุนตัวกลับไปมองต้นหลิว สิ่งชั่วร้ายนั่นถูกสกัดด้วยหยกแขวน โลหิตชั่วร้ายมืดมนไร้แสงสว่าง
แบบนี้ยิ่งทำให้ญาณชีวิตที่เข้าไปพัวพันชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อได้รับการยืนยันว่าโครงกระดูกนี้เป็นสายลับของหวงเฉิงซือทำให้การคาดเดาบางส่วนของนางก่อนหน้านี้ถูกพลิกกลับ
คนผู้นี้ตายในจวนตระกูลหมิง แน่นอนว่าต้องถูกใครบางคนสังหาร
ผู้ที่ฆ่าเขานั้นต้องมีความเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋อง
ถ้าอย่างนั้นการใช้ประโยชน์ของญาณชีวิตเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อเลี้ยงมันไว้อย่างแน่นอน คงไม่เลี้ยงผู้ที่ตนเองฆ่าให้กลายเป็นวิญญาณร้ายหรอก ผู้ใดจะทำเรื่องโง่ๆ เช่นนั้นกัน
หากไม่ใช่เจตนาก็ต้องเป็นอุบัติเหตุ
มีผู้ที่เคราะห์ร้ายสูญเสียจิตวิญญาณ และบังเอิญไปพัวพันกับสิ่งชั่วร้ายนี้เข้า
ผู้ที่สูญเสียจิตวิญญาณในสวนแห่งนี้…คุณหนูเจ็ดงั้นหรือ
แต่ว่าคุณหนูเจ็ดเกิดมาโง่เขลา นางเสียจิตวิญญาณของนางไปเมื่อสิบห้าปีก่อน แต่คนผู้นี้เสียชีวิตไปเมื่อสิบปีก่อน เวลาไม่ตรงกัน
หรือว่ามีสิ่งที่เป็นสื่อกลางในหมู่พวกนี้กัน
……………………………………………..