พอยามบ่าย หมิงเวยก็ได้พบคนที่เจี่ยงเหวินเฟิงไปขอยืมตัวมา
“รบกวนแม่นางแล้ว” หมิงเวยพูด “ที่เรือนมีพิธีศพอีกทั้งยังดูแลต้อนรับได้ไม่ทั่วถึง หากแม่นางต้องการสิ่งใดโปรดแจ้งข้ามาได้เลย”
คนที่มาคืออาหว่าน นางดูต่างจากการแต่งกายงดงามก่อนหน้านี้แล้วยังต่างจากชุดข้าราชการเมื่อตอนเช้าด้วย ตอนนี้นางแต่งกายในชุดเรียบง่ายซึ่งดูสอดคล้องกันดีกับฐานะของนาง
นางตอบว่า “คุณชายตอบรับคำขอของใต้เท้าเจี่ยงเลยให้ข้ามาติดตามแม่นางหมิงในช่วงสองสามวันนี้ เชิญแม่นางหมิงรับสั่งได้ตามที่ท่านต้องการเลยเจ้าค่ะ”
“ตอนนี้ข้าเพียงต้องการเฝ้าศพท่านแม่เท่านั้น คงไม่มีอันใดจะสั่งเจ้า” หมิงเวยบอก “เชิญแม่นางทำตัวตามสบายได้เลย”
อาหว่านพยักหน้านางพบว่าด้านหลังของนางมีพื้นที่ที่ไม่เตะตาผู้คนอยู่จึงลากเก้าอี้ตัวเล็กไปนั่งตรงนั้นแล้วหยิบหนังสือที่ไม่รู้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไรขึ้นมาอ่าน
ชิวหยู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าสาวใช้ของคุณชายผู้นี้หยิ่งผยองจนเกินไป ถึงนางจะมาจากจวนตระกูลโหว แต่สาวใช้ก็เป็นได้แค่สาวใช้ อีกทั้งยังทำกิริยาเช่นนี้ในห้องเซ่นไหว้ผู้ตายเรือนผู้อื่นอีกใช้ได้ที่ไหนกัน!
นางคิดอย่างนั้น แล้วก็ได้ยินอาหว่านพูดขึ้นว่า “รบกวนพี่สาวท่านนี้ช่วยชงชาให้ข้าสักกา ในจวนนี้มีชาเม็ดแตงแห่งลิ่วอันใช่หรือไม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นใบชาชั้นสูง ลดคุณภาพลงมาหน่อยก็ได้ แต่ท่านช่วยชงกับน้ำจากแหล่งน้ำพุธรรมชาติให้ข้าที ในจวนตระกูลหมิงคงมีการเตรียมน้ำจากแหล่งน้ำพุธรรมชาติใช่หรือไม่”
ชิวหยู่ได้ฟังก็ตกใจ “แม่นางดื่มชาพิถีพิถันเพียงนี้เชียวหรือ”
อาหว่านตอบอย่างเฉยเมย “พิถีพิถันอย่างไรกัน ชาที่คุณชายของเราดื่ม ไม่ใช้น้ำจากหิมะแต่เป็นน้ำค้าง ใบชาที่มีตำหนิเพียงเล็กน้อยก็ไม่นำมาชงชา ข้าในฐานะสาวใช้ ไม่ได้พิถีพิถันอันใดเลย เพียงแต่เลือกในสิ่งที่ดีที่สุดก็เท่านั้น”
ในใจของชิวหยู่คิดว่านางน่ารำคาญ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธออกไปตรงๆ นางทำได้เพียงมองไปที่หมิงเวย
หมิงเวยตอบ “แม่นางอาหว่านเป็นแขก นางบอกอะไรเจ้าก็ดูแลนางดีๆ ก็แล้วกัน”
ชิวหยู่ทำได้เพียงสั่งให้คนไปชงชาตามที่นางต้องการมา
ผู้ใดจะรู้ว่าอาหว่านยังพูดต่ออีกว่า “คนแก่กับเด็กพวกนั้นมักทำงานสะเพร่า ทำตามที่สั่งไม่ค่อยจะถูก หากกลิ่นหอมของชาเปรอะเปื้อนด้วยสิ่งที่ไม่ควรเปรอะเปื้อน ชาก็จะมีรสสัมผัสที่ไม่ดี”
ชิวหยู่จึงทำได้แค่ตอบนางกลับไป “แม่นางรอสักครู่ ข้าจะไปจัดการให้”
แล้วก็เรียกคนให้มาอยู่แทนนาง
พอนางเดินออกไปอาหว่านก็ลดเสียงให้เบาลง “คุณชายได้ยินมาจึงอยากถามแม่นางหมิงสักคำถาม ไม่ว่าจะเป็นคนตายในแบบใดท่านล้วนสามารถทำให้เปิดปากพูดออกมาได้จริงหรือไม่”
หมิงเวยตอบกลับไป “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง เพียงแต่หากคนผู้นั้นเสียชีวิตแล้วเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ได้เข้าไปพัวพันกับญาณชีวิต หากเป็นเช่นนี้ข้าอาจต้องใช้เวลาพอสมควร”
“ได้ ตราบใดที่แม่นางหมิงสามารถทำได้ คุณชายจะยอมทำตามคำขอของท่านเรื่องหนึ่ง”
หมิงเวยถาม “เรื่องอะไรก็ได้งั้นหรือ”
อาหว่านตอบ “แน่นอนว่าไม่ใช่เจ้าค่ะ คุณชายไม่ยอมถูกท่านเอาเปรียบเป็นแน่ ไม่ว่าแม่นางหมิงจะทำอันใดสำเร็จก็จะได้รับรางวัลในระดับเดียวกัน”
หมิงเวยตอบ “คุณชายหยางช่างสมกับเป็นผู้ซื่อสัตย์จริงๆ”
อาหว่านสงสัยว่าคำพูดของนางนั้นเป็นการเยาะเย้ยหรือไม่ แต่นางกลับดูสงบเหมือนคำพูดนั้นเป็นเพียงประโยคบอกเล่าธรรมดาเท่านั้น
พูดกันอีกได้สองประโยคสาวใช้ที่ชิวหยู่เรียกก็เข้ามาในห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย ทั้งสองคนจึงหยุดสนทนากันเพียงแค่นั้น
หมิงเวยยังคงเฝ้าศพต่อไป อาหว่านเองก็อ่านหนังสือต่อไปเช่นกัน
………..
ฮูหยินสองรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก เกิดเรื่องวุ่นวายทั้งวันมีแต่คนเข้ามาสอบถามในจวนตระกูลหมิง จะให้นางทำเป็นไม่สนใจก็ไม่ได้ นางจึงทำได้เพียงแค่อดทน
นางเหนื่อยมาก และอดไม่ได้ที่จะบ่นนายท่านสี่กับฮูหยินสี่ ถึงแม้ทั้งสองเรือนจะไม่ได้แบ่งออกจากจวน แต่ฮูหยินสามก็เป็นคนฝั่งเรือนรอง
นายท่านสี่ทำตัวเหม่อลอยเหมือนผู้ที่วิญญาณออกจากร่าง แม้แต่ฮูหยินสี่เองก็เกิดป่วยขึ้นมาเสียได้ ทำได้เพียงให้แม่นมมาช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ส่วนเรื่องภายนอกก็ยกให้เป็นหน้าที่ของตน
นี่ตนทำบาปอะไรไว้กันแน่!
ใช่ นางทำบาปจริงๆ
ฮูหยินสองยิ้มอย่างขมขื่น ต่อให้จะมองหน้ากันไม่ติดอย่างไร แต่พอเกิดเรื่องก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่ดี นางเลือกทำอันใดได้บ้างล่ะ เป็นสตรี ออกเรือนกับผู้ใดก็คงต้องอยู่กับคนผู้นั้นไปตลอดชีวิต ไม่ว่าชีวิตจะดีหรือร้ายก็ตาม แต่เพราะนางไม่ยอมรับชะตากรรมของตัวเอง บุตรก็มีแล้ว จะให้ไม่จัดการอันใดเลยก็ไม่ได้
นี่เป็นการทำลายความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของนาง หากมีครั้งแรกแล้วก็ย่อมต้องมีครั้งที่สอง เรื่องในเรือนยังไม่ทันจบก็มีเรื่องขุดพบโครงกระดูกในสวนขึ้นมาอีก
ในเวลาเพียงไม่กี่วันผู้อื่นจะคิดว่าตระกูลหมิงเป็นคนประเภทใดกัน!
น้องเขยข่มเหงพี่สะใภ้ที่เป็นหม้ายทำให้นางถึงกับต้องฆ่าตัวตาย
มีโครงกระดูกถูกฝังอยู่ในสวน เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน
ถึงนางไม่ได้ออกหน้า แต่เรื่องนี้ก็เข้าถึงหูของนางแล้ว
บางคนคาดเดาว่าเป็นสาวใช้ที่ถูกโบยจนตาย บางคนก็บอกว่าสาวใช้ตายแล้วอย่างไร ไม่ไปรายงายต่อราชการแต่กลับฝังไว้ในสวนจะต้องเป็นสตรีจากตระกูลผู้ดีสักคนเป็นแน่
ในช่วงเวลาอันสั้นผู้คนภายนอกได้มองว่าตระกูลหมิงไม่ต่างอะไรกับหอนางโลมไปเสียแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปผู้ใดเล่าจะยินดีแต่งเข้าตระกูลหมิง และผู้ใดจะกล้ามาสู่ขอสตรีจากตระกูลหมิงกัน
ไม่มีเงาของความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งที่เคยมี ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเสื่อมเสียได้ถึงเพียงนี้! มันทำให้นางกลัวเวลาที่ได้ยินว่ามีคนมาเยี่ยมเยียนที่จวน
นางยุ่งยาวไปจนถึงกลางดึกในที่สุดทุกอย่างก็จบลง เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงสายของวัน ฮูหยินสองจึงไปที่ห้องเซ่นไหว้ผู้ตายเพื่อดูลาดเลา
ภายในห้องเซ่นไหว้ผู้ตายเงียบสงัด หมิงเวยกำลังนั่งคุกเข่าโดยมีชิวหยู่ยืนอยู่ข้างกายนาง ส่วนแม่นางอาหว่านนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ที่มุมห้อง
ฮูหยินสองแอบบ่นเงียบๆ ในใจ
ไม่รู้ว่าใต้เท้าเจี่ยงผู้นั้นคิดอันใดอยู่ถึงได้ขอให้คุณชายหยางส่งคนมา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่สามารถไว้วางใจตระกูลหมิงได้ ไม่เช่นนั้นจะส่งผู้อื่นมาดูแลเสี่ยวชีหรือ ชื่อเสียงของคุณชายหยางผู้นั้นเป็นอย่างไรให้สาวใช้มาติดตามเสี่ยวชีเช่นนี้จะให้ผู้อื่นคิดอย่างไรกัน
หมิงเวยเห็นฮูหยินสองเดินเข้ามาจึงย่อกายแสดงความเคารพ “ท่านป้าสอง”
ฮูหยินสองเข้าไปช่วยประคองนาง “หลานนั่งคุกเข่าที่นี่นานแล้ว ควรพักสักหน่อยเถิด ยังเหลือพรุ่งนี้อีกวันอย่าทำให้เข่าได้รับบาดเจ็บเลย”
“ขอบคุณท่านป้าสองที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ แต่หลานสบายดี” พูดจบหมิงเวยก็ลุกขึ้นด้วยท่าทีปกติ
นางคุกเข่าอยู่นานจึงเดินโซเซเล็กน้อย ฮูหยินสองตำหนินางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ตอนที่ท่านแม่ของหลานยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่นางเป็นกังวลมากที่สุดก็คือหลาน ตอนนี้แม่ของหลานจากไปแล้วหลานต้องดูแลตัวเองดีๆ อย่าทำให้ท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์ไม่สบายใจ”
“หลานเข้าใจเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองกล่าวต่อ “นี่ก็เย็นแล้ว หลานไปหาอะไรทานสักหน่อยเถอะ จากนั้นก็ไปงีบสักพัก หากหลานไม่หลับตาพักเลยจะทนต่อได้อย่างไรกัน”
หมิงเวยขอบคุณนางแล้วเดินตามชิวหยู่ไปที่ห้องเล็กข้างๆ อย่างเชื่อฟัง
อาหว่านเองก็เดินตามไปด้วย ฮูหยินสองมีความคิดอยู่ในหัวเต็มไปหมด นางเดินไปยังโลงศพของฮูหยินสามโดยไม่รู้ตัว
ฮูหยินสามนอนหลับอย่างสงบในโลงศพ ตอนนางยังมีชีวิตอยู่ใบหน้าของนางสดใสและมีเสน่ห์ แต่ในยามนี้ช่างดูมืดมน ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่จะงดงามเพียงใด ยามตายล้วนไม่น่ามองกันทุกคน
ฮูหยินสองหัวเราะเบาๆ แววตาของนางช่างดูโศกเศร้า
“น้องสะใภ้สาม…ท่านอย่าได้โทษข้าเลย” นางพูดเบาๆ “ท่านรักเสี่ยวชีเท่าชีวิต ข้าเองก็มีลูกที่ต้องปกป้อง ผู้ใดใช้ให้เราเกิดมาเป็นสตรีเล่า เราจะไปทำอันใดได้”
ฮูหยินสองลูบโลงอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อันที่จริงข้ารู้อยู่แล้วท่านพี่มักไปหาท่านที่นั่น คนที่นอนร่วมเรียงเคียงหมอนอย่างข้าอยากรู้จริงๆ เหตุใดถึงไม่คิดปิดบังกันสักนิด”
“แต่ข้าก็ทำอันใดไม่ได้! คนไร้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีผู้นั้น ขนาดลูกสาวของตนเองต้องพบเจอกับเรื่องเช่นนั้นแต่กลับไม่จัดการอันใดเลย ยังจะหวังอะไรจากเขาได้อีก! ข้าไม่รู้ว่าเขาวาดหวังอะไรในภายภาคหน้า แต่ในวันนี้สำหรับพวกเราแล้วคงทำได้เพียงมีชีวิตไปวันๆ เท่านั้น รอเพียงลูกเติบใหญ่แต่งงานแล้วให้กำเนิดบุตรชายก็ถือว่าชีวิตนี้ได้ผ่านพ้นไปอย่างดีแล้ว”
“ท่านเอาแต่โทษตัวเองที่ชีวิตนี้ของท่านช่างย่ำแย่ หากเกิดใหม่ในชาติหน้า ก็อย่าเกิดมามีใบหน้าเช่นนี้เลย!”
ฮูหยินสองกล่าวจบก็เดินจากไปมือของนางยังไม่ทันผละออกจากโลงศพไม้ จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นยะเยือก จากนั้นข้อมือของนางก็ถูกจับด้วยมืออันเย็นเฉียบ
“อา!” ฮูหยินสองร้องอุทาน และเมื่อนางก้มศีรษะลงก็ต้องตกใจกลัว
ดวงตาของฮูหยินสามที่เมื่อสักครู่ปิดสนิทในเวลานี้ได้เบิกตากว้าง โดยที่มือข้างหนึ่งของนางจับข้อมือของตนเอาไว้!
…………………………………………………..