“อา” สติของฮูหยินสองเตลิดเปิดเปิง นางเห็นกับตาว่าฮูหยินสามนอนอยู่ในโลง นางหมดลมหายใจแล้ว ศพก็แข็งแล้ว เหตุใดถึง…
พอพบเจอกับสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายได้ฮูหยินสองแทบอยากจะเป็นลม
นางอยากเป็นลม แต่ก็ทำไม่ได้
สัมผัสเย็นที่มือของนางชัดเจนเป็นพิเศษเตือนให้นางรู้ว่าตนกำลังเผชิญกับสิ่งใดอยู่
ฮูหยินสองไม่กล้ามองไปตรงๆ นางหันหน้าไปทางอื่น พยายามอดทนอดกลั้นความกลัวแล้วพูดเสียงสั่นออกไปว่า “น้องสะใภ้สาม ข้าไม่ได้ฆ่าท่าน ท่าน.. ท่านอย่ามาหาข้าเลย…”
“ไม่ใช่ท่านแล้วเป็นผู้ใดกัน!” น้ำเสียงที่เคยนุ่มนวลของนางนั้นแข็งกระด้างไม่ต่างจากร่างกาย แถมยังเย็นชาอีกด้วย “พี่สะใภ้สอง เราสองคนเข้ากันได้ดีเสมอ ข้าเชื่อว่าท่านต้องรู้แน่ว่าผู้ใดเป็นคนฆ่าข้า แต่ท่านกลับช่วยเหลือพวกเขา แถมยังช่วยพวกเขารังแกเสี่ยวชี พี่สะใภ้สอง ท่านก็คือผู้สมรู้ร่วมคิด!”
คำว่าสมรู้ร่วมคิดนี้ทิ่มแทงใจฮูหยินสองเป็นอย่างมาก
“ไม่ใช่ ข้าไม่ใช่!” ฮูหยินสองเกือบจะร้องไห้ออกมา “ข้าไม่ได้ตั้งใจ แต่ข้าไม่มีทางเลือก!”
ฮูหยินสามไม่พูดอันใดต่อ แต่จับมือนางแน่นกว่าเดิม
ฮูหยินสองร้องไห้แล้วพูดว่า “ท่านมีเสี่ยวชี ส่วนข้ามีซานเอ๋อร์กับลิ่วเอ๋อร์ ซานเอ๋อร์ยังไม่ได้รับราชการ ลิ่วเอ๋อร์ก็ยังเล็ก! ข้าจะทำอย่างไรได้จะให้หันหลังให้ตระกูลหมิงหรือ บุรุษสร้างเรื่องขึ้นมาก็ถือว่าเป็นเรื่องของครอบครัว ภรรยาและบุตรไม่สามารถทำอันใดได้ ข้าเองก็ไม่อยากถูกพวกเขามาจ้ำจี้จ้ำไช!”
ฮูหยินสามลากนางเข้ามาในโลง…
ฮูหยินสองใช้มืออีกข้างดันโลงศพไม้เอาไว้พยายามที่จะหลุดพ้น “น้องสะใภ้สาม ข้าขอร้องท่านล่ะ! ข้าจะช่วยท่านดูแลเสี่ยวชี ท่านอย่าทำร้ายข้าเลย ลิ่วเอ๋อร์ยังเล็กข้ายังจากไปไม่ได้!”
“ท่านมีลูกแล้วข้าไม่มีหรือ ท่านดูผู้อื่นรังแกลูกข้า แถมยังช่วยผู้อื่นจับตาดูลูกข้าอีก พี่สะใภ้สองข้าไม่เชื่อท่าน”
“ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ” ฮูหยินสองขอร้อง “เขาพูดออกมาแล้วข้าจะทำอย่างไรได้ นอกจากนี้ข้าไม่ได้ทำอะไรเสี่ยวชีเลย เพียงแค่สั่งให้ชิวหยู่คอยดูแลนางให้ดี…”
“ท่านโกหก ชิวหยู่คอยจับตาดูลูกข้าอยู่ตลอดไม่ให้นางติดต่อกับผู้อื่น”
“คือ…”
“พี่สะใภ้สอง ท่านทำบาป ท่านต้องชดใช้!” ฮูหยินสามบอกอย่างเย็นชา “ข้ารู้หากต้องจำใจทำอีกครั้งท่านก็จะทำ ท่านทำร้ายข้า แล้วยังทำร้ายเสี่ยวชีอีก ข้าจะต้องตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ กับลูกของท่านแน่”
“ไม่!” ฮูหยินสองโพล่งออกมา “ถ้าท่านต้องการแก้แค้นก็ให้มาลงที่ข้า! ข้าเป็นผู้ทำเอง ข้าจะชดใช้ให้ท่าน แต่ได้โปรดอย่าทำร้ายลูกของข้า!”
“หึๆ…” ฮูหยินสามเพียงแค่ยิ้มเยาะแต่ไม่ตอบอันใด
ฮูหยินสองรู้สึกสิ้นหวัง ตระกูลหมิงไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา นางจึงไม่ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้จึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรหากพบเจอผีเข้า
ด้วยความรีบร้อนนางจึงนึกถึงสิ่งที่คนเฒ่าคนแก่พูดมา คนเมื่อตายจากไปแล้วจะไม่ไปไหน เพราะในใจมีเรื่องที่ไม่อาจปล่อยวางได้ แต่หากทำตามความต้องการของพวกเขาได้พวกเขาก็จะจากไปเอง
“น้องสะใภ้สาม ท่านบอกมาเถิด ท่านอยากให้ข้าทำอันใด ข้าจะช่วยท่าน! แต่ช่วยปล่อยข้าไปเถิด”
น้ำเสียงของฮูหยินสองมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย “น้องสะใภ้สาม ข้าขอร้อง! ข้าไม่เคยทำร้ายผู้ใด เหตุใดข้าถึงต้องมาลงเอยเช่นนี้ด้วย!”
ฮูหยินสองร้องไห้ “ท่านโชคไม่ดีข้าจะทำอย่างไรได้! ข้าจะช่วยท่านได้อย่างไร การที่ต้องแต่งงานกับผู้ที่ไร้คุณธรรมก็ถือว่าตลอดชีวิตนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ผู้ใดจะไม่เคยหลงผิดบ้าง คนอย่างข้าจะช่วยท่านได้อย่างไรแม้แต่ตัวข้าเองยังช่วยตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
ฮูหยินสามไม่ได้พูดอันใดชั่วขณะ ไม่รู้ว่ารู้สึกหวั่นไหวกับคำพูดของนางหรือเปล่า
ฮูหยินสองพูดต่อว่า “ข้ารับปากท่านว่าจะดูแลเสี่ยวชีให้ ดีหรือไม่ ท่านวางใจได้ ข้าจะดูแลนางเหมือนเป็นลูกของตนเอง ไม่ให้ผู้อื่นรังแกนางได้ รอให้กำหนดเฝ้าศพแสดงความกตัญญูผ่านพ้นไป จะให้นางออกเรือนกับตระกูลดีๆ ส่งนางออกเรือนอย่างสง่างาม ไม่ให้นางทนทุกข์กับความยากลำบากอย่างที่พวกเราได้รับ…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ฮูหยินสองก็รู้สึกเสียใจ นางเศร้าโศกจริงๆ “น้องสะใภ้สาม เหตุใดข้าจะไม่เข้าใจท่าน ลูกสาวคนโตของข้าถูกรังแกจนต้องออกเรือนที่แดนไกล ข้าในฐานะมารดาเจ็ดแปดปีที่ไม่ได้เจอนางเลยสักครั้ง ข้าส่งคนไปดูนางทุกปี แต่ทุกปีนางไม่เคยฝากจดหมายกลับมาเลย ข้ารู้ว่าในใจของนางโทษข้า! แล้วข้าจะทำอย่างไรได้”
หลังจากร้องไห้ไปฮูหยินสองก็พูดว่า “ข้าจะช่วยท่านดูแลเสี่ยวชี ไม่ให้นางต้องลำบาก หากหลานชายฝั่งตระกูลท่านดีจริง ข้าจะให้เสี่ยวชีออกเรือนไปกับเขา แต่หากเขาไม่ดี ข้าจะเลือกคนดีๆ ให้กับนางด้วยตัวเอง ไม่แสวงหาความมั่งคั่ง หาบุรุษที่บุคลิกดีประพฤติดี แบบนี้ท่านวางใจได้หรือไม่”
เมื่อไม่มีการตอบสนองกลับมาฮูหยินสองจึงพูดต่อไปว่า “ข้าทำได้เพียงเท่านี้ ข้าไม่สามารถแก้แค้นให้ท่านได้ ข้าไม่มีความสามารถ! นอกจากนี้…”
“ฮูหยิน! ฮูหยินเจ้าคะ!”
ฮูหยินสองรู้สึกเพียงร่างกายของนางสั่นแล้วนางก็ตื่นขึ้นมา เมื่อสาวใช้เห็นว่านายของตนตื่นแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เหตุใดฮูหยินถึงได้มาหลับตรงนี้กันล่ะเจ้าคะ คืนนี้อากาศหนาว กลับไปนอนพักเถอะเจ้าค่ะ หลายวันนี้มีเรื่องมากมาย ฮูหยินควรหาเวลาพักบ้างนะเจ้าคะ”
ฮูหยินสองเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากและกล่าวขอบคุณนาง
นางลังเลอยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงเดินไปยังด้านหลังของโลงศพอย่างกล้าหาญ ฮูหยินสามยังนอนอยู่ตรงนั้น จากนั้นนางจึงเดินไปยังห้องเล็กที่อยู่ด้านข้าง หมิงเวยยังนอนหลับอยู่ แม่นางอาหว่านผู้นั้นนอนอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว ส่วนชิวหยู่นั่งงีบอยู่บนเก้าอี้
ฮูหยินสองครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วจึงปลุกชิวหยู่ให้ตื่นขึ้น
“ฮูหยินมีอันใดหรือเจ้าคะ” ชิวหยู่งัวเงียแล้วรอคำสั่งจากนาง
ฮูหยินสองกดเสียง “เจ้าดูนางมาสองวันแล้วกลับไปนอนพักสักสองสามชั่วยามเถอะ”
ชิวหยู่ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “บ่าวทนได้เจ้าค่ะ อีกอย่างต้องมีคนรับใช้คุณหนูเจ็ด”
“ไม่เป็นไร วันรุ่งขึ้นเจ้าค่อยตื่นแล้วกลับมาที่นี่อีกที”
เจ้านายช่างมีน้ำใจกับนางเช่นนี้มีหรือที่ชิวหยู่จะไม่ดีใจ นางกล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็วแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างแผ่วเบา
เมื่อทั้งบ่าวและเจ้านายเดินออกไป หมิงเวยและอาหว่านที่หลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน
“เมื่อครู่ท่านทำอันใด” อาหว่านครุ่นคิด “ฮูหยินสองท่านนั้นจู่ๆ ก็เรียกให้สาวใช้ออกไป”
หมิงเวยลุกขึ้นนั่งและจัดทรงผมของตน “แม่นางเห็นแล้วหรือ”
อาหว่านตอบ “ทันทีที่นางเดินเข้าห้องมาท่านก็แอบล้วงความลับอย่างเงียบๆ แล้ว นางเดินเข้ามาในห้องนี้นางก็หลับไปทันทีแล้วอย่างนี้ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าท่านใช้วิชากับนาง”
หมิงเวยดื่มน้ำ “แม่นางคิดว่าการตายของท่านแม่ของข้ากับโครงกระดูกที่ถูกพบในสวน ผู้ใดเป็นคนทำ”
“คงเป็นนายท่านสักคนในตระกูลหมิงไม่ใช่หรือเจ้าคะ นายท่านหกไม่ได้มีความสามารถเพียงนั้น สิบปีก่อนเขายังเด็กเกินไปก็เหลือแค่นายท่านสองกับนายท่านสี่ คงเป็นใครสักคนในสองท่านนี้”
“ถ้าอย่างนั้นในเรือนนี้ผู้ใดคุ้นเคยกับพวกเขามากที่สุดกัน”
อาหว่านอยากกลอกตา แต่เพื่อภาพลักษณ์นางจึงอดกลั้นเอาไว้ “แน่นอนว่าก็ต้องเป็นฮูหยินของพวกเขาสิเจ้าคะ”
หมิงเวยพยักหน้า “ผู้ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะทราบเรื่องสกปรกของพวกเขามากที่สุดก็คือฮูหยินสองและฮูหยินสี่ ท่านอาสะใภ้สี่สองสามวันนี้ป่วย ข้าจึงไม่ได้พบนาง ส่วนท่านป้าสองข้ามองเห็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของนาง หากกระตุ้นนางเพื่อค้นหาความจริงก็คงทำได้ง่ายกว่ามาก”
“ถ้าเช่นนั้นท่านได้ยินอันใดมาหรือ”
หมิงเวยหัวเราะ “ยังขาดส่วนสำคัญไปเล็กน้อย”
นางเล่าบทสนทนาในความฝันของฮูหยินสองให้ฟังอีกรอบ
“น่าเสียดาย” อาหว่านออกความเห็น “หากช้ากว่านี้อีกเพียงนิด เราอาจจะได้รู้ความจริงจากปากของฮูหยินสองก็เป็นได้นะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องกังวลไป” หมิงเวยตอบ “ค่อยๆ กระตุ้นเกราะในจิตใจของนางทีละนิดก็พอ”
………………………………………………