หลังจากความวุ่นวายได้ผ่านพ้นไปทุกคนจึงพากันแยกย้ายออกไป เหลือเพียงฮูหยินสามที่อยู่พูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าตามลำพัง
“ท่านป้า เรื่องท่านเทพธิดาหลิวลูกยังไม่ได้บอกท่าน…”
“เรื่องราวหลังจากนั้นข้ารู้แล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าพูดขัดนางบอกเสียงเบา “เจ้าทุ่มเทอย่างหนักในการดูแลเสี่ยวชี หลายปีมานี้เจ้าเองก็พยายามหนักมาก ตอนนี้เสี่ยวชีหายดีแล้ว คุณงามความดีของเจ้าตระกูลหมิงจะไม่มีวันลืม”
ฮูหยินสามก้มหน้าลง “ลูกเป็นแม่ของเสี่ยวชี การดูแลนางเป็นเรื่องที่แม่อย่างข้าควรทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ ไม่ถือว่าลำบากอันใดเพียงแต่สิ่งที่ท่านเทพธิดาหลิวทำเมื่อครั้งก่อน พบว่ามีผีร้ายตนหนึ่งและตอนนี้…”
“เจ้าระวังคำพูดด้วย!” ฮูหยินผู้เฒ่าขัดจังหวะนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สะใภ้สาม เจ้าเองก็ออกเรือนมาหลายปีแล้วคงรู้กฎของพวกเราเป็นอย่างดีมิใช่หรือ ครั้งที่แล้วข้าเห็นแก่เสี่ยวชีจึงอนุญาตให้เชิญท่านเทพธิดาเข้ามาในจวน ไม่ใช่เพื่อให้เจ้ามาคลั่งในพวกภูติผี เจ้าเชื่อในคำพูดของแม่หมองั้นหรือ พวกเขาก็แค่ทำเพื่อเงินจึงพูดมากไปก็เท่านั้น นอกจากนี้เจ้าสี่ได้มาล้อมที่ที่ผีสิงอยู่แล้วมิใช่หรือ วันหลังสั่งไม่ให้คนไปแถวนั้นก็เพียงพอแล้ว”
“ท่านป้า…”
ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ “เวลานี้ยังไม่เช้า เจ้าพาเสี่ยวชีกลับไปเถอะ นางเพิ่งหายดีคงยังสับสนอยู่เล็กน้อย ดูแลนางให้ดีเป็นเรื่องสำคัญมาก”
ฮูหยินสามขยับริมฝีปาก แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอันใดต่อ “เจ้าค่ะ…”
“เรียกเสี่ยวชีเข้ามา”
“เจ้าค่ะ” หมิงเวยถูกพามาหยุดอยู่ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ไม่มีสีหน้าถมึงทึงแบบเมื่อสักครู่แล้ว นางกอดหมิงเวยแล้วพูดกำชับไม่หยุด “เจ้านั่งอยู่เสียนานเมื่อยหรือไม่ หลานเพิ่งหายดีต้องพักผ่อนเยอะๆ กินเยอะๆ ถ้าเจ้าพวกลิงทโมนพวกนั้นไปกวนหลานก็ไม่ต้องสนใจ ย่ามียาดีมากมาย เดี๋ยวจะให้แม่ของเจ้าจัดเตรียมให้เจ้า”
หมิงเวยตอบทีละคำถาม “ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ หลานทราบแล้ว หลานจะกินเยอะๆ ขอบคุณท่านย่าเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางฉลาดเฉลียวเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งจึงสั่งคนให้เปิดคลังสมบัติของตน เห็นอะไรดีก็ยกให้หลานนำกลับไป บอกว่าหมิงเวยถึงวัยอันควรแล้ว ควรรู้จักแต่งตัว ก่อนหน้านี้นางป่วยเลยไม่ได้ให้ ตอนนี้จึงอยากชดเชยให้แก่นาง…
ด้วยเหตุนี้เสี่ยวชีที่เพิ่งหายดีจึงเหมือนเศรษฐีตัวน้อย พอกลับมาที่สวนอวี๋ฟาง ฮูหยินสามไม่ได้พานางกลับห้อง แต่พานางไปที่ห้องหลิวจิ่ง
“เสี่ยวชี เข้ามาสิ” เหล่าสาวใช้ถูกสั่งให้รออยู่ข้างนอก ฮูหยินสามจึงจัดการจุดธูปด้วยตัวเอง
“จิ่วเทียนเสวียนหนี่…” หมิงเวยพึมพำขณะมองรูปปั้นเทพเจ้าบนโต๊ะ
“ลูกรู้จักงั้นหรือ” ฮูหยินสามวางธูปไว้บนมือนางแล้วพูด “ตั้งแต่ท่านพ่อของลูกจากไป พวกเราแม่ลูกก็กลับมาที่ตงหนิง แม่จึงบูชาเสวียนหนี่เหนียงเหนียงองค์นี้ จุดธูปกราบไหว้ทุกวัน คัดลอกคัมภีร์ทุกคืนหวังว่าเสวียนหนี่เหนียงเหนียงจะคุ้มครองเจ้าให้อยู่รอดปลอดภัย”
นางเปิดตู้แล้วหยิบคัมภีร์ที่คัดลอกกองโตออกมา สิ่งเหล่านี้เป็นคัมภีร์ที่นางคัดลอก นานๆ ครั้งนางจะเอาไปเผาทีจนตอนนี้สะสมจนมีจำนวนมากขึ้นเยอะแล้ว
“แม่ไม่คิดเลยว่าอาการป่วยของลูกหายดีแล้วว่ากันว่าเสวียนหนี่เหนียงเหนียงจะลงโทษการกระทำที่ไม่ดี[1] ให้พรอันประเสริฐแก่สรรพสัตว์ที่แท้มันก็เป็นความจริง” รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮูหยินสามเป็นความหมายที่ไม่สามารถอธิบายได้
หลังจากไหว้สามครั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็หันไปมองหมิงเวยที่ยังงุนงงอยู่ “ลูกก็ไหว้ด้วยสิไหว้ขอบคุณเสวียนหนี่เหนียงเหนียง”
นางไม่ใช่ไม่รู้ แต่ที่นางไม่เข้าใจก็คือคนส่วนใหญ่มักบูชาและเคารพพระโพธิสัตว์กวนอิม ปี้เซี๋ยหยวนจวิน หรือไม่ก็เทพหมาจู่ น้อยนักที่จะบูชาเสวียนหนี่เหนียงเหนียง
เทพเจ้าองค์นี้เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม แล้วหมิงเวยก็เปลี่ยนความคิด นางนึกอะไรขึ้นมาได้ นางรีบเข้าไปจับมือฮูหยินสาม “ท่านแม่ ลูกจำได้แล้ว”
“จำอะไรได้อย่างนั้นรึ”
หมิงเวยมองไปที่รูปปั้นของเทพเสวียนหนี่เหนียงเหนียงบนแท่นบูชา “ลูกจำได้ว่าลูกล่องลอยอยู่เป็นเวลานาน แล้ววันหนึ่งลูกก็เห็นเทพธิดาองค์หนึ่ง นางบอกว่ามีคนขอพรให้ลูกอยู่ ดังนั้นเลยให้ลูกอยู่รับใช้ท่านหลังจากนั้นไม่นานลูกก็ได้ยินเสียงเรียกของท่านแม่แล้วท่านเทพก็ผลักลูก ท่านบอกว่าโชคชะตาของลูกได้จบลงแล้ว ให้ลูกได้กลับมาตอบแทนท่านแม่”
ฮูหยินสามเบิกตากว้างปากของนางสั่นระริก “เป็นเสวียนหนี่เหนียงเหนียงจริงๆ หรือ”
หมิงเวยพยักหน้ายืนยัน “ลูกถึงจำท่านเทพได้” ฮูหยินสามน้ำตาไหล นางร้องไห้ไปกราบไหว้ไป “ขอบคุณเสวียนหนี่เหนียงเหนียงอย่างยิ่ง ขอบคุณเสวียนหนี่เหนียงเหนียง…”
ฮูหยินสามหยุดร้องไห้ไม่ได้ จนกระทั่งแม่นมถงมาถึงฮูหยินสามร้องไห้ในอ้อมแขนของนาง “แม่นม เสวียนหนี่เหนียงเหนียงท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ท่านนำเสี่ยวชีกลับมา” ฮูหยินสามกอดแม่นมถง นางน้ำตาไหล “ความทุกข์ทรมานทั้งหมดคุ้มค่าแล้ว หลายปีมานี้คุ้มค่าแล้ว…”
“คุ้มค่าจริงๆ เจ้าค่ะ” แม่นมถงน้ำตาซึม “ตอนนี้คุณหนูหายดีแล้วฮูหยินต้องดูแลตัวเองดีๆ นะเจ้าคะ เสวียนหนี่เหนียงเหนียงมองลงมาจากข้างบน คนดีมักได้รับผลตอบแทนที่ดี คนเลวต้องได้รับผลกรรม!”
ประโยคสุดท้ายนั้นแม่นมถงถึงกับกัดฟันแน่นด้วยความแค้น หมิงเวยมองดูเจ้านาย และสาวใช้กอดกันร้องไห้อย่างเงียบๆ นางเงยหน้ามองรูปปั้นเทพเจ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ผู้ใดกันที่เป็นคนเลว
………
คืนนี้ฮูหยินสามนอนกับหมิงเวย
“ท่านแม่ ท่านพ่อเป็นคนเช่นไรหรือเจ้าคะ” ฮูหยินสามขยับเอาหัวชนกัน ไหล่แตะไหล่กับลูกของตน แววตาของนางอ่อนโยนเป็นพิเศษเมื่อนึกถึงความทรงจำในอดีต “ท่านพ่อของเจ้างั้นหรือ เขาน่าจะเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโลกเลยล่ะ เขาเป็นคนที่มีความสามารถรอบตัว อ่อนโยนมีน้ำใจ ตอนที่แม่พบเขาครั้งแรก แม่ก็คิดว่าจะมีคนดีแบบนี้อยู่บนโลกได้อย่างไรกัน”
“ครั้งแรกหรือเจ้าคะ”
“อืม ตอนนั้นท่านน้าชายของลูกยังเรียนอยู่ที่ตงหนิง ตระกูลจี้ตกต่ำมาหลายปีแล้ว ปีนั้นฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี เป็นเรื่องยากที่จะประคับประคองได้ แม่เลยปักคัมภีร์ให้วัดเป่าหลิงเพื่อช่วยเหลือครอบครัว มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่ไปที่วัดเพื่อมอบคัมภีร์ แต่ไม่ทันระวังเลยตกลงไปในกับดักของนายพราน แม่ร้องของความช่วยเหลือก็ไม่มีใครสนใจ ผู้ใดจะคิดว่าท่านพ่อของเจ้าจะเดินผ่านมาพอดี…”
ฮูหยินสามตกอยู่ในห้วงความทรงจำนางเล่าเหตุการณ์ช่วงต้นๆ ให้ฟังอย่างช้าๆ
“…ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เขาเป็นบัณฑิตที่ร่างกายไม่แข็งแรง แต่เขาก็ยังแบกแม่ขึ้นภูเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ แม่เลยได้รับการช่วยชีวิตไว้ซึ่งเขากลับไม่แม้แต่จะทิ้งชื่อไว้ แต่มีคนบอกแม่ว่าเขาเป็นคุณชายแห่งตระกูลหมิง”
“แล้วการแต่งงานระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ เป็นมาอย่างไรหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสามดูเหมือนจะนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น น้ำเสียงอ่อนหวานมีความเศร้าปะปนอยู่ “ตระกูลจี้ตกอับ แม่รู้ตัวเองดีว่าไม่คู่ควรกับตระกูลหมิง เป็นเพียงแค่การบังเอิญพบกันก็เท่านั้น ไม่กี่วันหลังจากนั้นแม่ที่ไปซื้อพู่กันและหมึกมาให้ท่านน้าชายก็ได้พบเขาอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานตระกูลหมิงก็ส่งแม่สื่อมาที่หน้าบ้าน”
“งานแต่งงานนี้เดิมทีท่านย่าของลูกไม่เห็นด้วย แต่ท่านพ่อของลูกฉลาด เขาขอร้องวิงวอน แม้ตระกูลจี้จะตกอับ แต่ชื่อเสียงและความเก่าแก่ก็ยังคงอยู่ สุดท้ายทางนั้นจึงเห็นด้วย”
“เสี่ยวชี” ฮูหยินโอบกอดบุตรสาว “พ่อกับแม่แต่งงานกันมาแปดปีมีแค่เจ้าคนเดียว ไม่คิดเลยว่าท่านพ่อของเจ้าจะจากไปเช่นนี้ เจ้าต้องทำตัวดีๆ ให้ท่านพ่อที่อยู่บนสวรรค์สบายใจ เช่นนั้นแม่จึงจะถือว่าได้ทำเพื่อท่านพ่อของเจ้าได้แล้ว…”
หมิงเวยมองคุณหนูเจ็ดที่อยู่ในม่านพลัง
ถึงแม้จะเหลือเพียงหนึ่งจิตสามวิญญาณ เวลานี้จิตยังหลุดลอยไปอีก จิตใจสับสนมากยิ่งขึ้น ยิ่งได้ยินคำพูดของฮูหยินสามใบหน้าขาวซีดนั้นเหมือนจะมีน้ำตาไหลออกมา
……………………………………..
[1] ลงโทษการกระทำที่ไม่ดี : แนวคิดของลัทธิเต๋าที่เชื่อว่าการลงโทษการกระทำที่ไม่ดีคือการส่งเสริมความดี สำนวนนี้จึงหมายถึงเจตนายกย่องประกาศ ให้กำลังใจส่งเสริมการทำความดี