ช่วงเช้าตรู่ยังไม่ถึงเวลาทำงานมีร้านค้ามากมายตั้งเกือบทั่วทุกแห่ง เหล่าผู้คนทานอาหารเช้าไปคุยเรื่องราวล่าสุดกันอย่างออกรส
“เรื่องที่ตระกูลหมิงถูกผีออกมาก่อกวนพวกท่านได้ยินมาหรือไม่” ชายกุลีนายหนึ่งทานบะหมี่ไปคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะไป
คนที่นั่งข้างๆ เขาเป็นพ่อค้าขายของชำ ถือโอกาสที่ยังไม่เปิดร้านออกมานั่งทานข้าวต้มก่อน
“แน่นอน!” พ่อค้าตอบ “มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้เรื่องนี้กัน ได้ยินว่านายท่านหกทำให้พี่สะใภ้ต้องฆ่าตัวตายแล้วในวันที่จัดพิธีศพพวกเขาก็ยกโลงศพไม่ขึ้น!”
“ใช่! ผีที่ก่อกวนตระกูลหมิงนั้นดุร้ายมาก แม้แต่ท่านเหยาที่เป็นซินแสเนตรหยินหยางที่โด่งดังที่สุดในตงหนิงยังถูกผีเข้าสิงเลย! หึๆ ช่างน่าตกใจเสียจริง”
อีกคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมาว่า “ไม่ใช่ว่าท่านเหยาผู้นั้นไม่มีความสามารถหรอกหรือ ไม่แน่ว่าชื่อเสียงของเขาอาจเป็นแค่เรื่องคุยโวก็เป็นได้!”
“เจ้าอย่าพูดจาไร้สาระ!” เมื่อข่าวของตนถูกตั้งเป็นคำถามแทนชายผู้นั้นจึงไม่พอใจ “ท่านยังไม่รู้อะไรไม่เพียงแต่ท่านเหยาเท่านั้น แต่ตระกูลหมิงยังได้เชิญซินแสเนตรหยินหยาง แม่หมอละแวกนี้มาทั้งหมด หลังจากเกิดเรื่องในวันนั้นโลงศพนั่นก็ยกไม่ขึ้นอีกเลย!”
“อย่างนั้นหรอกหรือ” คาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะมีต่ออีก พ่อค้าจึงถามต่อว่า “แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“เป็นอย่างไรงั้นหรือ ตอนนี้ศพก็ยังตั้งอยู่ในห้องเซ่นไหว้ผู้ตายอยู่เลย!”
“ไอหยา…ดุร้ายถึงเพียงนี้เชียว!”
“เจ้าคิดดูสิ นางนอนตายตาไม่หลับ! ถูกบังคับให้จบชีวิตแล้วต้องทิ้งบุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนไปอีก ตระกูลหมิงกลับทำเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น”
“ข้าได้ยินว่านายท่านหกถูกโบยจนเกือบตายมิใช่หรือ”
“ถูกโบยจนเกือบตายก็จบแล้วงั้นหรือ” กุลีผู้นั้นหัวเราะเยาะ “ถูกโบยจนเกือบตาย แต่สุดท้ายก็ยังมีชีวิตที่ดีอยู่ ยังสามารถกระโดดโลดเต้นได้ หากเป็นข้าข้าก็ตายตาไม่หลับหรอก!”
คิดถึงคำพูดไม่เป็นมงคงนี้เขาก็ร้อง ‘ถุย’ ออกมา ประกบฝ่ามือเข้าหากันแล้วพึมพำ “ขอให้โชคดี ค้าขายร่ำรวย”
พ่อค้าพูดว่า “สงสัยนายท่านหกผู้นั้นคงต้องชดใช้ด้วยชีวิตแล้วเสียละมั้ง” พอคิดไปคิดมาเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้
“ฮ่าๆ!”
โต๊ะข้างๆ พวกเขาเองก็กำลังสนทนาเรื่องนี้กันอยู่ มีผู้อธิบายอย่างสมจริงสมจัง “แม่หมอเจินจากศาลเจ้ากวนกง พวกท่านเคยได้ยินหรือไม่ นางมักบอกว่าตนแกร่งกล้ากว่าแม่นางหลิว ไม่กลัวผู้ใดหน้าไหนทั้งสิ้น วันนั้นตระกูลหมิงเชิญนางไป นางดีใจจนป่าวประกาศไปทั่ว แต่สุดท้ายพอไปที่จวนตระกูลหมิง…ฮ่าๆๆ!”
“เจ้าอย่าเพิ่งหัวเราะสิ! เกิดอันใดขึ้นกัน!” ผู้ฟังกระวนกระวาย
คนผู้นั้นพูดต่อว่า “นางไปที่จวนตระกูลหมิงไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถูกส่งตัวกลับแล้ว! ได้ยินว่าหลังจากกลับมานางเอาแต่ตะโกนว่ามีผี! ฮ่าๆๆ นางยังกล้าพูดออกมาอีกว่าตนเองเก่งกาจ! ข้ายังคิดเลยว่าในสายทางนี้แม่นางหลิวเก่งกาจที่สุด แต่พอตระกูลหมิงไปเชิญเพียงแค่ฟังนางก็ตอบไปทันทีเลยว่าไม่สามารถรับงานนี้ได้ แม้แต่เดินทางไปนางยังไม่ไปเลย!”
ทุกคนต่างคนต่างแย่งกันพูดมีสิบโต๊ะแต่คุยเรื่องนี้กันถึงแปดโต๊ะ…
………..
โต๊ะที่อยู่มุมสุดมีชายสองคนที่ดูไม่น่าเข้ากันได้นั่งอยู่
ชายผู้หนึ่งเป็นคุณชายแต่งกายชุดหรูหราพร้อมกับรวบผมมวยด้วยหยก พวกเขานั่งหันหน้าเข้าหากันเพื่อไม่ให้ผู้คนเห็นรูปลักษณ์ของพวกเขาได้อย่างชัดเจนนัก
ชายอีกคนเป็นบุรุษแต่งกายชุดดำหน้าตาเฉยเมยคล้ายกับองครักษ์ซึ่งนั่งโต๊ะเดียวกันกับคุณชาย
“คุณชายขอรับ” องครักษ์ชุดดำลดเสียงลง “กลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ ตอนนี้ตระกูลหมิงมีสายตามากมายกำลังจ้องมองพวกเขา ดูแล้วพวกเขาคงไม่กล้าลงมือกับแม่นางหมิงเป็นแน่”
หยางชูค่อยๆ ผสมซอสเผ็ดกับน้ำส้มสายชูพลางพูดว่า “เจ้าคิดถึงอาหว่านงั้นหรือ”
สีหน้าขององครักษ์ชุดดำไม่เปลี่ยน “อาหว่านไม่อยู่ ท่านไม่มีคนคอยปรนนิบัติข้างกาย”
“ฮึ…เจ้าจะบอกว่าเสี่ยวถงที่คอยปรนนิบัติข้าอยู่ไม่ใช่คนงั้นรึ ไว้ข้ากลับไปข้าจะบอกนางให้”
“….” องครักษ์ชุดดำตอบ “ท่านก็รู้ว่าข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
หยางชูหัวเราะ ก่อนที่จะคีบอาหารเข้าปากไป
“อืม รสชาติใช้ได้” เขาพูด “อาสวน เจ้าลองทานหรือไม่”
องครักษ์ชุดดำนามอาสวนได้ลองชิมไปก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อรับประทานอาหารข้างนอก หากเขาไม่ลองชิมก่อนแล้วจะกล้าให้คุณชายเอาเข้าปากได้อย่างไร ก็แค่รสชาติธรรมดาไม่รู้สึกว่าอร่อยตรงที่ใด
เขาคิดว่าคงเป็นอารมณ์ที่แปลกประหลาดของคุณชาย
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว” หยางชูตอบ “เจ้าก็แค่สงสัยแม่นางหมิงใช่หรือไม่ ดูท่านอกจากคนข้างกายเพียงไม่กี่คนแล้ว เจ้าไม่เชื่อถือในตัวผู้อื่นเลย”
อาสวนตอบ “แม่นางหมิงผู้นั้นที่มาที่ไปของนางไม่ชัดเจน ท่านกล้าไว้ใจผู้ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้เช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าไม่เคยเจอนาง” ปากบอกว่าอร่อย แต่หยางชูทานไปเพียงเล็กน้อยก็วางตะเกียบลง
อาสวนสงสัย “นางมีความสามารถเพียงนั้นเชียวหรือ”
“ความสามารถงั้นหรือ ใช่..” หยางชูหัวเราะ “แต่ที่สำคัญที่สุดคือนางงดงามมาก พอได้พบหญิงที่งดงามเพียงนั้น ผู้คนจะไม่ใจอ่อนได้อย่างไรกันเล่า”
“….” อาสวนคิด ใจอ่อนงั้นหรือ…คราวก่อนสายลับหญิงจากแคว้นฉู่ไม่ได้งามบาดตาหรอกหรือ แล้วผลที่ได้ล่ะ เขาไม่ลังเลที่จะหักคอนางเลย!
“ไปกันเถอะ” หยางชูลุกขึ้นบอกให้เขาจ่ายเงิน
อาสวนวางเงินแล้วเดินตามเขา “คุณชาย…”
หยางชูโบกมือ “ข้าตัดสินใจแล้ว”
อาสวนจำเป็นต้องหุบปากลง เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นร้านค้าต่างๆ เริ่มเปิดทีละร้าน และบนท้องถนนก็เริ่มคึกคัก
คนสองคนเดินเล่นกันสักพักหยางชูก็พูดขึ้นว่า “พวกเราเดินไปรอบๆ เช่นนี้ แต่กลับไม่มีสายตาคอยจ้องมอง หรือว่าท่านอากลับตัวกลับใจแล้วกัน”
อาสวนตอบกลับ “เรื่องของตระกูลหมิงถูกเปิดเผย เขาคงกลัวว่าตนเองจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”
“หึๆ กล้าคิดทำการใหญ่แต่กลับขี้ขลาดอะไรเช่นนี้” หยางชูหยิบหน้ากากลิงจากแผงลอยมาสวมบนใบหน้า
อาสวนจ่ายเงินแล้วเดินตามเขา “ที่ท่านกล่าวมาหมายความว่าให้นำจุดอ่อนมาไว้ตรงหน้า ท่านถึงจะเรียกว่ากล้าหาญใช่หรือไม่”
ทั้งสองคนพูดคุยกันจนเดินไปถึงจุดที่เงียบสงบไร้ผู้คน
หยางชูบอกว่า “เจ้าไปหาอาหว่านบอกให้นางจัดการให้ข้าได้พบกับแม่นางหมิงที”
อาสวนตกใจ “คุณชาย…”
หยางชูถอดหน้ากากและพูดอย่างสบายๆ “เนื่องจากนางได้พิสูจน์แล้วว่านางมีประโยชน์มาก ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรแสดงความจริงใจออกมาสิ”
…………
ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าอบอวลไปด้วยกลิ่นยาที่รุนแรง พอรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในพิธีศพ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงล้มป่วย
ฮูหยินสองเข้ามาถามไถ่ “ท่านแม่ วันนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าลืมตาขึ้น น้ำเสียงของนางช่างอ่อนแรง “ไม่เป็นอันใด ในเรือนมีเรื่องวุ่นวาย เจ้าไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ทุกวันก็ได้”
นางถามอีกว่า “เรื่องของสะใภ้สาม พวกเจ้าจะจัดการอย่างไร”
ฮูหยินสองรีบตอบไปว่า “สะใภ้กำลังจะขอความเห็นจากท่าน ตอนนี้ไม่สามารถฝังนางได้ ที่เพิงเองก็ไม่สามารถเก็บตลอดไปได้”
ในเรือนมีคนเฒ่าคนแก่เป็นโชคไม่ดีเลย
แต่โลงศพของฮูหยินสามยังวางตั้งอยู่ ไม่สามารถทำการฝังได้จะให้รื้อถอนในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เหมาะสม!
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “ยังไม่สามารถยกโลงศพได้อีกหรือ…”
“…เจ้าค่ะ”
ทั้งซินแสเนตรหยินหยาง ทั้งแม่หมอก็เชิญมาหมดแล้วแต่ไม่สามารถทำอันใดได้เลย ฮูหยินสองเชื่อแล้วว่าเป็นเพราะฮูหยินสามไม่ได้รับความเป็นธรรม นางจึงไม่ยอมถูกฝังดิน
“รื้อออกซะ” ฮูหยินสองตกใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าตอบว่า “ในเมื่อนางไม่ยอมไปก็ทำได้เพียงเก็บรักษาไว้ดีๆ ระมัดระวังหน่อยเพราะอากาศเริ่มร้อนแล้วอย่าทำให้ศพเน่า แล้วให้ลูกสองเขียนจดหมายไปที่เมืองหลวงให้เชิญเสวียนชื่อมาที่นี่ หากเชิญเสวียนชื่อจากเสวียนตูกวานยาก ก็เชิญแค่คนธรรมดาที่มีความสามารถก็พอแล้ว”
ฮูหยินสองแปลกใจฮูหยินผู้เฒ่าพูดอย่างเป็นแบบแผนเช่นนี้ราวกับว่านางเข้าใจสถานการณ์ดี
“ผู้คนภายนอกพูดกันไม่น่าฟังใช่หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าถามอีกครั้ง
ฮูหยินสองเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าค่ะ”
“อย่าไปสนใจผู้คนเหล่านั้นเลย เรื่องแย่ๆ ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยได้ยินกันมาก่อน ปีนั้นที่เมืองหลวงท่านปู่ของพวกเจ้า…” ฮูหยินผู้เฒ่าพูดถึงตรงนี้นางก็หยุด แล้วก็หัวเราะเยาะตนเอง “ก็ไม่ใช่เรื่องดีอันใด เอาล่ะ เจ้ากลับไปเถอะ”
ฮูหยินสองลุกขึ้น “ท่านแม่พักผ่อนเยอะๆ นะเจ้าคะ”
ปีนั้นสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการพูดถึงก็คือเรื่องที่สามีของนางถูกฝ่าบาทองค์ก่อนทอดทิ้งใช่หรือไม่ นางก็นึกขึ้นได้ว่าตระกูลหมิงเองก็เคยมีช่วงเวลาที่สวยงามมาก่อนเช่นกัน…
………………………………………