“แม่นางหมิง เชิญนั่ง” หยางชูพูดเช่นนั้น แต่สายตากลับมองไปที่ตลาด
หมิงเวยมองตามแล้วก็เห็นเงาของหญิงสาวที่มีกิริยาอ่อนหวานสวมหมวกคลุมใบหน้ากำลังเลือกผ้าเช็ดหน้าอยู่หน้าแผงลอยฝั่งตรงข้ามกับตลาด
“นางรูปร่างดูคล้ายแม่นางหมิงไม่น้อย” หยางชูพูด “แต่คงไม่งดงามเท่ากับท่านเป็นแน่”
หมิงเวยตอบ “คุณชายหยางช่างมีวิธีการชมเชยผู้คนได้พิเศษเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“นั่นเป็นเพราะว่าแม่นางหมิงงดงามเป็นพิเศษอย่างไรเล่า”
หมิงเวยรู้สึกขยะแขยงเล็กน้อยจึงกล่าวว่า “คุณชายหยางไม่ได้กลิ่นอะไรเป็นพิเศษเลยหรือเจ้าคะ อย่างเช่นกลิ่นเท้า…”
แล้วคำว่า ‘ชายร่างใหญ่แคะเท้า’ ก็ปรากฏขึ้นในความคิดของหยางชูทันที กลับกลายเป็นเขาเองที่ขยะแขยง
มีชุดน้ำชาอยู่บนโต๊ะหมิงเวยจึงชงชาให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นใบชาหรือน้ำ ล้วนเป็นของที่หาได้ยากยิ่ง ถือว่าวันนี้นางได้ประโยชน์จากเขาไม่น้อยเลย
จิบไปหนึ่งคำหมิงเวยก็วางถ้วยชาลง “คุณชายหยาง ท่านไม่ได้มีเรื่องด่วนที่อยากพูดคุยกับข้าหรอกหรือ อีกสักพักแม่นางอาหว่านคงกลับมา นางดูไม่ค่อยพอใจที่เราสองคนอยู่ด้วยกันนะเจ้าคะ”
“แม่นางหมิงช่างรีบร้อนเสียจริง” หยางชูหัวเราะคิกคัก “เอาล่ะ ในเมื่อสาวงามกล่าวเช่นนี้ข้ายังจะมัวลังเลอันใดอีก อย่างไรข้าก็รักหยกถนอมบุปผา[1]มาโดยตลอดอยู่แล้ว”
เขาสะบัดมือแล้วหน้าต่างก็ปิดลง ภาพสุดท้ายที่คนจากด้านนอกหน้าต่างเห็นคือเขาเอื้อมมือไปกุมมืออันบอบบางที่ประคองถ้วยชาอยู่
เฮ้ หรือว่าสาวงามที่มาจะเป็น…สาวงามที่เพิ่งสูญเสียมารดาไป!
ช่างไร้ยางอายเสียจริง!
ทันทีที่หน้าต่างปิดลง หมิงเวยก็ยกถ้วยชาขึ้นจรดริมฝีปากในขณะที่เขายังกุมมือนางอยู่ ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่นางทำเช่นนี้ แทนที่จะหลีกเลี่ยงเขาอย่างตั้งใจ หยางชูสัมผัสกับความว่างเปล่านั้นแล้วต้องเปลี่ยนเป้าหมายอย่างช่วยไม่ได้ เขาจึงทำทีเป็นหยิบถ้วยน้ำชาอีกถ้วยแทน
“ท่านจะแคะเท้าหรือไม่ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ท่านไม่ใช่บุรุษร่างใหญ่อย่างแน่นอน”
“ทำไมท่านถึงคิดเช่นนั้นเจ้าคะ”
“ท่านขี้เหนียวเกินไป” เขาตอบ “ท่านรู้หรือไม่ว่าบุรุษหากกลายเป็นหญิง สิ่งแรกที่เขาจะทำคืออันใด”
หมิงเวยครุ่นคิดอย่างจริงจัง “สัมผัสหน้าอก”
“พรืด” หยางชูหัวเราะออกมา “ท่านเข้าใจเป็นอย่างดีทีเดียว”
หมิงเวยเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ นางดื่มชาต่อ
“ท่านช่วยขยายความอีกหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีความคิดว่าหากลองเป็นสตรีแล้วจะรู้สึกอย่างไร” เห็นได้ชัดว่ามีความหมายพิเศษแอบแฝง
หมิงเวยครุ่นคิด สายตาของหยางชูฉายแววเสน่หาเขาโน้มตัวไปหานางแล้วพูดเสียงเบา “พวกเรามาลองกันดีหรือไม่”
เสียงของเขาทุ้มต่ำอยู่ระหว่างเด็กหนุ่มกับบุรุษเต็มวัย หางเสียงนั่นฟังแล้วรู้สึกมีความเจ้าชู้เป็นพิเศษ พูดด้วยเสียงต่ำเช่นนี้ อีกทั้งยังอยู่ใกล้กันมากทำเอาคนฟังรู้สึกขนลุก
หมิงเวยยกมือลูบหูตนเองแล้วพูดว่า “หากเป็นข้าล่ะก็ ข้าจะลองทำอย่างอื่น”
“โอ้” หยางชูเลิกคิ้วเล็กน้อย และมองนางด้วยรอยยิ้ม
“หากกลายเป็นสตรีล่ะก็ สำหรับสตรีนางอื่นแล้วคือเพศเดียวกัน พวกนางจะไม่ระวังตัวแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเราจะได้อาบน้ำได้นอนด้วยกัน…จริงสิ ช่วงนี้แม่นางอาหว่านกับข้าไม่แยกออกจากกันเลย…”
เมื่อเห็นสีหน้าของหยางชูเปลี่ยนไปนางก็หัวเราะออกมา “คุณชายหยาง ทักษะของท่านยังไม่เพียงพอนะเจ้าคะ!”
แม้จะเป็นรอบยิ้ม แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่เย็นชา แต่การโต้กลับเมื่อครู่นี้เตือนเขาได้อย่างชัดเจนเลยว่า นางไม่มีความสุข อย่างน้อยนางไม่อยากล้อเล่นกับเขาในเรื่องเช่นนี้
เป็นเพราะการตายของฮูหยินสามงั้นหรือ
โอ้ จริงสิ นางมองฮูหยินสามเป็นมารดาแท้ๆ นี่นา พิธีศพของมารดาเพิ่งจัดไป มาเกี้ยวกับบุรุษเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่สมควรเป็นอย่างมาก
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้บอกตามตรงว่าในใจของหยางชูรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สายตาของเขาแย่ได้ถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้มองนางเป็นคุณหนูเจ็ดตั้งแต่แรกเลยไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย
หรือว่า…
“ท่านไม่มีเรื่องอื่นแล้วหรือเจ้าคะ” หมิงเวยถาม
“หืม..”
“ท่านกันแม่นางอาหว่านออกไปเพื่อเรื่องนี้หรือ”
หยางชูสะบัดพัดในมือแล้วยิ้ม “นี่เป็นการคุยส่วนตัวแน่นอนว่าต้องหลีกเลี่ยงผู้อื่นเพื่อมากระซิบรักกันไม่ใช่หรือ” ไม่เช่นนั้นผู้ที่คอยสอดส่องอยู่จะเชื่อได้อย่างไรกัน
หมิงเวยคิด เขาแสดงละครถึงเพียงนี้แล้ว แม้แต่ตนเองก็ยังหลอกมาแล้ว ผู้อื่นไม่เชื่อคงไม่ได้แล้วล่ะ ทันใดนั้นประตูถูกเคาะสองครั้งตามด้วยเสียงของอาหว่าน “คุณชายเจ้าคะ”
“อ้อ เข้ามา” เขากระแอมไอหนึ่งครั้งปกปิดความเขินอายของตนเอง
อาหว่านสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว พ่อครัวของที่นี่รีบขยับตัวทำอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานอาหารทุกอย่างก็เตรียมพร้อม และบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารเย็นและอาหารร้อน
“คุณชายเจ้าคะ นี่เป็นสุราดอกท้อที่ดีที่สุดในตงหนิง คุณชายลองชิมดูนะเจ้าคะ” อาหว่านรินสุราอย่างเอาใจใส่
หยางชูหัวเราะ “วันนี้ข้าให้รางวัลเจ้า ไม่ต้องปรนนิบัติข้าหรอก นั่งทานเถอะ”
“งั้นบ่าวไม่เกรงใจแล้วนะเจ้าคะ!” อาหว่านยิ้มแล้วนั่งลง
หยางชูยื่นมือออกไปลูบหัวนางและมองด้วยสายตาอ่อนโยน ตอนที่เจ้านายและสาวใช้พูดคุยกัน หมิงเวยก็ขยับตะเกียบ
นางทานปลานึ่งหนึ่งชิ้น ผัดวุ้นเส้นอีกไม่กี่คำ สุดท้ายก็ดื่มน้ำแกงเนื้อแกะชามเล็ก หยางชูยังไม่ทานสักคำ เขาเพียงแต่ดื่มเหล้าอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นนางวางตะเกียบลงเขาก็พูดว่า “อาหารไม่ถูกปากหรือ”
หมิงเวยดื่มชาล้างปาก “คุณชายหยางต้องการพบข้าในวันนี้คงไม่ใช่แค่เชิญมาทานอาหารใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หยางชูหัวเราะ “แม่นางหมิงช่างรีบเสียจริง พวกเรามีเวลาว่างทั้งบ่าย ค่อยๆ พูดคุยกันก็ได้” หมิงเวยส่ายหน้าแต่ไม่พูดอันใด
หยางชูทำได้เพียงพูดกับนางไปว่า “ยังมีคนมาไม่ถึง ท่านโปรดรอสักครู่”
ดวงตาของหมิงเวยเป็นประกาย “ใต้เท้าเจี่ยงงั้นหรือเจ้าคะ”
หยางชูถอนหายใจ “ท่านดูมีความสุขที่ได้พบเขามากกว่าข้าอีกนะ”
นางกำลังจะเปิดปาก แต่เขากลับยกมือห้ามนางไว้ “เอาล่ะ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่อยากทำให้ตนเองอับอาย”
หมิงเวยหัวเราะ “คุณชายหยาง ท่านดูเจริญตากว่าเมื่อครู่นี้อีกนะเจ้าคะ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของนางหยางชูแทบอยากจะเป็นบ้า เขากล่าวว่า “ที่แท้แม่นางหมิงชอบแบบเป็นทางการนี่เอง ได้! ถ้างั้นคราวหน้าข้าจะเป็นทางการกับท่านมากขึ้น”
“……”
“ก้อกๆ!” เสียงเคาะประตูดังขึ้นตามด้วยเสียงของอาหว่าน “คุณชาย มาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
ประตูเปิดออก และคนที่เข้ามาคือเจี่ยงเหวินเฟิง
หมิงเวยยืนขึ้นย่อกายคารวะเขา “ใต้เท้าเจี่ยง”
เจี่ยงเหวินเฟิงดูเหนื่อยล้า สงสัยว่าเขาคงเพิ่งปลีกตัวจากคดีมา
“คุณหนูเจ็ด” เจี่ยงเหวินเฟิงแสดงคารวะตอบ
อาหว่านลุกขึ้นเปลี่ยนท่าทีเป็นสุภาพนอบน้อม “ใต้เท้าเจี่ยง เชิญนั่งเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปเปลี่ยนอาหารบนโต๊ะให้”
เจี่ยงเหวินเฟิงโบกมือ “ไม่เป็นไร ข้าทานมาเรียบร้อยแล้ว”
อาหว่านตอบ “ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยจะไปเปลี่ยนกาน้ำชาให้นะเจ้าคะ”
อาหารบนโต๊ะถูกแทนที่ด้วยน้ำชาและของว่าง ทั้งสามคนนั่งร่วมโต๊ะกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสามคนนั่งประจันหน้ากัน
“ข้าอาศัยช่วงเวลาพักกลางวันออกมา เวลามีไม่มากนัก ข้าขอเล่าสรุปสั้นๆ เลยก็แล้วกัน” เจี่ยงเหวินเฟิงบอก “สาเหตุการตายของเกิงซานนั้นแปลกมาก คอของเขาถูกบิดอย่างคมชัดและรวดเร็ว ข้าหาขออ้างอยู่ในจวนตระกูลหมิงเป็นเวลาสองวัน แต่กลับไม่พบเบาะแสในบริเวณที่เขาถูกฝังเลยแม้แต่น้อย เบาะแสต่างๆ ถูกปกปิดจนมิดเป็นเวลาสิบปี ดังนั้นจุดนี้ข้าคงไม่มีความสามารถมากพอ คุณหนูเจ็ดคงต้องขอให้ท่านช่วยแล้ว”
หมิงเวยถาม “เกิงซานเป็นเพียงนามแฝงของสายลับผู้นี้ เช่นนั้นข้าน้อยสามารถดูประวัติจริงๆ ของเขาได้หรือไม่เจ้าคะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงหันไปมองหยางชู จริงๆ แล้วเขามีตำแหน่งสูงกว่า แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหวงเฉิงซือซึ่งต้องให้หยางชูเป็นผู้ตัดสินใจ
“ได้”
ดูเหมือนหยางชูจะเตรียมไว้นานแล้วเขาหยิบหนังสือสองสามเล่มออกมาแล้วโยนไปตรงหน้านาง “บันทึกลับของหวงเฉิงซือ เมื่อออกไปจากห้องนี้หวังว่าแม่นางหมิงจะลืมมันทุกอย่างไปอย่างสมบูรณ์”
………………………………………………..
[1] รักหยกถนอมบุปผา : บุรุษควรทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี