ไม่ต้องพูดถึงชาตินี้ชาติที่แล้วหมิงเวยก็ไม่คิดที่จะออกเรือน
ในฐานะปรมาจารย์แห่งชีวิตจะต้องรับผิดชอบใต้หล้า แต่เพราะใต้หล้านั้นกว้างใหญ่ สิ่งที่ปรมาจารย์แห่งชีวิตต้องแบกรับไว้จึงหนักเกินไปการออกเรือนจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก
แน่นอนว่าเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือนางยังไม่พบผู้ที่ทำให้นางตกหลุมรัก
หากได้พบเข้าแล้วล่ะก็เหตุผลข้างต้นก็จะกลายเป็นเรื่องไร้สาระไป…
ผู้ที่รักจริงไม่ว่าฟ้าจะถล่มดินจะทลายหากรักกันจริงค่อยว่ากันใหม่ สิ่งที่เรียกว่าชีวิต ไม่เคยทำให้ผู้คนเชื่อถือ แต่กลับทำให้ผู้คนพยายามที่จะช่วงชิงมันมา
สำหรับในชาตินี้เรื่องที่นางต้องทำมันยิ่งใหญ่เกินไปจะเอาอารมณ์ใดมาคิดออกเรือนกันเสียสมาธิเปล่าๆ!
แต่พอฮูหยินสองได้ยินคำพูดนี้นางกลับตีความเป็นอีกความหมายหนึ่ง
“หลาน หรือว่าหลานกับคุณชาย…”
ฮูหยินสองเสียงสั่น แม้ว่านางจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดผลเช่นนี้ แต่นางก็ยังคงมีความหวังอันริบหรี่ พอได้ยินหมิงเวยกล่าวเช่นนี้นางรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน
ในตอนนั้นบุตรสาวคนโตกลับมาจากสวนซิ่น นางร้องไห้และบอกเรื่องหนึ่งกับตน
ราวกับฟ้าถล่มลงมา
หมิงเวยรู้ว่าฮูหยินสองกำลังเข้าใจผิด แต่นางยังไม่พร้อมที่จะอธิบายจึงถอนหายใจแล้วตอบกลับไปว่า “ท่านป้าสองไม่ต้องลำบากใจแทนหลานหรอกเจ้าค่ะ เรื่องของท่านแม่ หลานจะไปที่จวนท่านลุงที่เมืองหลวง เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟังและขอถอนหมั้นเอง ส่วนอนาคตหลังจากนี้หลานยังไม่อยากคิดไกลเพียงนั้น”
นางฝืนยิ้ม “ท่านป้าสองไม่ได้อยู่เมืองหลวงมาหลายปีแล้ว การติดต่อกับเส้นสายเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยากเกินไป ความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จนั้นมีน้อย หลานไม่อยากอับอายเจ้าค่ะ”
“เสี่ยวชี!” จู่ๆ ฮูหยินสองก็เข้ามากอดนางและร้องไห้ หมิงเวยสะดุ้ง
นางแสดงจริงจังเกินไปงั้นหรือ…
“ท่านป้าสอง…”
“ขอโทษ ป้าขอโทษ! ป้าขอโทษท่านแม่ของหลาน ขอโทษหลานด้วย” ฮูหยินสองพูดพลางร่ำไห้ “หลานวางใจเถอะ รอหลานไปที่เมืองหลวง ป้าจะไปกับหลานด้วย ไปขอให้ท่านลุงของหลานยกโทษให้ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของหลาน หวังว่าท่านลุงจะเห็นใจหลาน ไม่ถอนหมั้นหลาน…”
หมิงเวยตบหลังนางเบาๆ แล้วมองขึ้นไปที่ขื่อ
มันมีประโยชน์เช่นนี้เองดูเหมือนว่านางจะประเมินความรู้สึกผิดในใจของฮูหยินสองต่ำไป ซึ่งเตือนสตินางได้ว่า
“ท่านป้าสองไม่ต้องกังวลไป ไม่ใช่ความผิดของท่านแม้แต่น้อย แต่เป็นของหลานเอง…”
ใช้เวลานานกว่าอารมณ์ของฮูหยินสองจะคงที่
“อย่างไรป้าก็จะช่วยไปคุยกับท่านลุงของเจ้าให้เอง” ฮูหยินสองกล่าวอย่างหนักแน่น “ส่วนท่านป้าสองของหลานฝั่งนั้นป้าก็จะไปพูดให้เองเช่นกัน!”
หมิงเวยทำตามความตั้งใจของนางทำตัวคล้อยตามนาง ไม่ได้พูดขัดอันใดออกไปอีก
ส่วนในอนาคตจะทำเยี่ยงไรนั้น อย่างไรซะฮูหยินสองก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจได้ แล้วฮูหยินสองก็จากไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นราวกับว่ากำลังวิ่งไปที่สนามรบ
อาหว่านทานบ๊วยแช่อิ่ม นางพูดว่า “ท่านนี่ไม่จริงใจเลยเสียจริง! นางกลัวว่าจะทะเลาะกับนายท่านสองเพื่อท่าน ชายเป็นใหญ่ในบ้าน ฝ่ายหญิงทะเลาะ ผู้ที่ลำบากก็มีแต่ฝ่ายหญิงเท่านั้น”
หมิงเวยหัวเราะ “ข้าไม่ได้เกลียดนางที่ไม่ช่วยชีวิตท่านแม่ แต่นางไม่มีความสามารถพอที่จะช่วยได้ ในเมื่อนางทำเรื่องทุ่มหินซ้ำคนตกบ่อไปแล้วการที่จะได้รับความยุติธรรมกลับคืนมาบ้างก็เป็นเรื่องที่สมควรมิใช่หรือ”
อาหว่านคิด “ก็มีเหตุผลเจ้าค่ะ”
“พูดอีกอย่างก็คือให้นางทะเลาะกับนายท่านสองเพื่อที่นางจะได้รับรู้ว่าสามีของตนนั้นเป็นคนอย่างไรซึ่งสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งที่เรากำลังจะทำต่อไป”
อาหว่านครุ่นคิด “ท่านคิดจะใช้ประโยชน์จากนาง”
“สิ่งใดเรียกว่าใช้ประโยชน์กัน”
หมิงเวยอธิบายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “นางมีไฟอยู่ในใจแล้วมันก็ลุกโชนขึ้นเมื่อตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับบุตรสาวของนาง แต่นางไม่สามารถต่อต้านอันใดได้เพราะนั่นคือสามีของนาง และเป็นหัวหน้าครอบครัว หากเกิดเรื่องกับนายท่านสอง ลูกของนางก็จะติดสอยห้อยท้ายตามไปด้วย นี่เป็นการเชื่อฟังด้วยความจำใจเท่านั้น นางไม่ได้อยากเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยจริงๆ”
“แต่ข้าให้เหตุผลกับนางไปอย่างหนึ่ง และยังแก้ความกังวลของนางเพื่อให้นางได้ปลดปล่อยไฟในใจให้ได้มากที่สุด การแก้แค้นให้บุตรสาว การกันลูกๆ ออกจากโคลนตมนี้ เจ้าคิดว่านี่เป็นการใช้ประโยชน์จากนางงั้นหรือ”
“….” อาหว่านจ้องมองนางอยู่นานแล้วสุดท้ายก็พ่นคำสี่คำออกมา
“สำบัดสำนวน!”
หมิงเวยยิ้มอย่างไม่อาย “ขอบคุณสำหรับคำชม”
“ข้าไม่ได้ชมท่านนะเจ้าคะ!”
“แต่ข้าฟังเป็นคำชม”
“…..”
…………
แสงแดดส่องเข้ามาอย่างอบอุ่น และดอกไม้ในสวนอวี๋ฟางก็บานสะพรั่ง หมิงเวยนั่งอยู่ใต้ชายคา นางนำขลุ่ยที่ขัดเสร็จเรียบร้อยแล้วจ่อที่ริมฝีปากและลองเป่าไปสองสามครั้ง
“ฝีมือของข้ายังไม่ดีเท่าท่านอาจารย์!” นางพูด
อาหว่านที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามขึ้น “อาจารย์ของท่านคือ…”
“แน่นอนว่าต้องเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตรุ่นก่อน”
อาหว่านแค่นหัวเราะเป็นการตอบแบบขอไปทีเสียจริง สิ่งที่นางอยากฟังคือคำตอบเช่นนี้หรือ ที่นางอยากรู้คือชื่อแซ่หรือชาติกำเนิด เรื่องที่ทำให้สะท้านฟ้าสะเทือนดินอะไรเทือกนั้น
ปรมาจารย์แห่งชีวิตหายตัวไปนานแล้วจากเครือข่ายข่าวกรองของหวงเฉิงซือก็ไม่พบเบาะแสอันใดมากมายนัก หมิงเวยยิ้มแต่ไม่ได้สนทนากับนางต่อ ใบหน้างามเป่าขลุ่ยต่อไป
นางไม่สามารถพูดเกี่ยวกับที่มาของท่านอาจารย์ได้ในตอนนี้ จากการคำนวณเวลา อีกสองปีท่านอาจารย์ถึงจะถือกำเนิดขึ้น
จะให้นางบอกที่มาของท่านอาจารย์…ผู้ที่ยังไม่มีตัวตนในโลกใบนี้ได้อย่างไรกัน
เสียงดนตรีที่เดิมทีติดขัดก็เปลี่ยนเป็นไหลลื่น ค่อยๆ เชื่อมต่อกันเป็นบทเพลง การเล่นดนตรีในพิธีศพของผู้อาวุโสเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่โชคดีที่เสียงขลุ่ยช่างโดดเดี่ยวอ้างว้างซึ่งเข้ากับบรรยากาศยิ่งนัก
เมื่อมีคนเดินผ่านสวนอวี๋ฟางแล้วได้ยินเสียงขลุ่ยก็ทำได้แต่ถอนหายใจในใจ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปในทุกๆ บ่ายหมิงเวยจะเป่าขลุ่ย
พอเวลาผ่านไปเหล่าสาวใช้ก็เริ่มชินคิดเพียงว่าคุณหนูเจ็ดกำลังโศกเศร้าจึงต้องการบรรเทาจิตใจ นางช่างน่าสงสาร โง่มาสิบกว่าปี กว่าจะหายดีได้นั้นไม่ง่ายเลย แต่กลับต้องมาสูญเสียมารดาอีก นายท่านสองไม่โปรดปรานหลานสาวผู้นี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับนางอย่างไรดี!
หลังจากเป่าไปไม่กี่วัน ตัวฝูก็วิ่งเข้ามาหาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า
“คุณหนูเจ้าคะ เลือดชั่วร้ายบนตัวของเงานั่นจางลงไปมากแล้วเจ้าค่ะ!”
หมิงเวยยิ้มแล้วถามกลับไป “เจ้าไม่กลัวแล้วงั้นหรือ”
ตัวฝูตอบ “บ่าวไม่กลัวเจ้าค่ะ! ผีพวกนั้นไม่มีอันใดน่ากลัวเลย ขอเพียงเรียนรู้วิชาแล้วสามารถล้มพวกมันได้ก็ดีเจ้าค่ะ!”
“ตัวฝูกล้าขึ้นแล้วจริงๆ!” หมิงเวยชมนางแล้วถามอีกครั้ง “คาถาที่ข้าสอนเจ้าไปเมื่อวาน เจ้าทำได้แล้วหรือไม่”
“ยังไม่ค่อยได้เจ้าค่ะ…” ตัวฝูอายเล็กน้อย นางรู้สึกว่าตัวเองโง่เกินไปสิ่งที่คุณหนูสอนต้องเรียนอยู่หลายครั้งกว่าจะจำได้
“ไม่เป็นไร หากไม่ได้ก็เรียนกันหลายๆ รอบ”
“เจ้าค่ะ” ตัวฝูเดินจากไปอย่างมีความสุขนางกลับไปท่องคาถาต่อ
อาหว่านไม่พอใจ “ข้าเรียนรู้ได้เร็วเหตุใดท่านจึงไม่สอนข้าล่ะเจ้าคะ”
หมิงเวยเหลือบมองนาง “ได้ยินว่าเจ้าต้องการเข้าเสวียนตูกวานเพื่อเรียนรู้ ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถรอบด้านเพียงใด การให้พวกเขารับเป็นศิษย์ต้องจ่ายในราคาที่สูง…”
“ท่านต้องการเงินทำไมไม่บอกมาล่ะเจ้าคะ!” อาหว่านพูด “กลับไปข้าจะไปบอกกับคุณชาย”
“เจ้ามีเงินก่อนแล้วค่อยมาพูดดีกว่า!” หมิงเวยตอบแล้วยื่นมือไปหานาง
“ท่านจะทำอันใดรึ” อาหว่านงุนงง
“เจ้าให้เท่าไร ข้าก็สอนให้เท่านั้น”
อาหว่านมองนางสักพักจากนั้นก็ถอดสร้อยข้อมือของตนออกอย่างขมขื่น
“สิ่งนี้มีค่าอย่างน้อยที่สุดคือห้าร้อยตำลึง!” นางคิดอย่างไม่พอใจแล้วกล่าวอีกประโยคไปว่า “ข้าไม่เคยเห็นผู้ดีคนไหนที่ขี้เหนียวเท่านี้มาก่อนเลย!”
“นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เคยล้มลุกคลุกคลานมาก่อนต่างหาก” หมิงเวยเก็บสร้อยข้อมือ “ตอนนี้ข้าไม่มีบิดามารดา ทรัพย์สินในเรือนก็ไม่มีส่วนแบ่งให้บุตรสาวอย่างข้า ข้าจะวางแผนให้ตนเองไม่ได้เลยหรือ มา! ข้าจะสอนคาถาที่มีมูลค่าห้าร้อยตำลึงให้เจ้า”
…………………………………