กริชพุ่งปักลงบนพื้น ออกแรงวาดเป็นวงกลมจนดินเปียกถูกขุดออกและมีหลุมบ่อปรากฏขึ้น หยางชูรีบขุดพื้นดินด้านข้างแล้วผลักหมิงเวยลงไป ส่วนเขาก็กระโดดตามลงไปด้วย
ในเวลาที่จำกัดหลุมนี้จึงมีขนาดเล็กมาก อาศัยกำแพงหินที่ยื่นออกมาทำให้แทบจะไม่เพียงพอสำหรับสองคน
หยางชูขยับมือกางร่มขนาดใหญ่แล้วยัดมันลงในมือของหมิงเวย
“ยังตื้นเกินไป ข้าต้องขุดอีกท่านถือบังเอาไว้หน่อย”
หมิงเวยเหลือบมองร่ม “มันคือผ้าชนิดใดหรือพอถูกน้ำมันจะไหม้หรือไม่”
หยางชูขุดไปพูดกับนางไป “ท่านคิดว่าข้าโง่เพียงนั้นเลยหรือ หากมันติดไฟแล้วข้าจะให้ท่านถือทำไมกัน”
หมิงเวยยื่นมือไปสัมผัส “เอ๋ เหมือนจะเป็นหนังปลาชนิดหนึ่ง”
“เป็นหนังของฉลามจากทะเลตะวันออก น้ำกับไฟทำอันใดไม่ได้หรอก”
หมิงเวยพยักหน้า “สมกับที่เป็นคุณชายตระกูลโหว ขนาดร่มยังเป็นของหายาก”
หยางชูไม่ตอบอันใด เขายังคงขุดต่อไป
น้ำมันเชื้อเพลิงยังคงไหลหยดลงมาแม่แต้เศษกิ่งไม้ยังถูกโยนลงมาด้วย
หมิงเวยขดตัวอยู่ในหลุมฟังเสียงน้ำมันหยดกระทบร่มอยู่พักใหญ่
“ในช่วงต้นปีข้าติดตามท่านอาจารย์ท่องไปทั่วยุทธภพ ที่ที่เคยเดินทางผ่าน สถานที่ที่มีอาหารรสเลิศที่เป็นที่นิยม” จู่ๆ นางก็พูดขึ้นมา
“พวกเขาเลือกใช้ก้อนหินเรียบๆ มาล้างให้สะอาดแล้วเอาไปย่างบนไฟจากนั้นก็ทำอาหารวางไว้บนก้อนหินเพื่อปรุงให้สุกร้อน…”
“ซู่ซ่า!” น้ำมันราดรดลงบนร่ม กิ่งไม้ก็ร่วงหล่นตามมา
“ปัง!” มีเสียงดังขึ้นตามด้วยไอร้อน
สุดท้ายก็จุดไฟ!
หยางชูพูด “พวกเราอยู่ด้านล่าง ก้อนหินอยู่ด้านบนเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ถูกต้องสักเท่าใด”
หมิงเวยคิด “ก็จริง มีวิธีการปรุงอีกวิธีหนึ่งคือล้างอาหารให้สะอาดห่อด้วยใบบัวแล้วนำฝังดิน จากนั้นจุดไฟเผาด้านบน ตอนที่อยู่ในป่ากับท่านอาจารย์ ข้าชอบกินแบบนี้มาก อาหารที่ถูกย่างไม่ค่อยกรอบแต่ก็ชุ่มฉ่ำ…”
“….” หยางชูดันดินเปียกขึ้นเพื่อปิดกั้นคลื่นความร้อนและถามนางว่า
“ท่านต้องเปรียบเทียบเช่นนี้ด้วยหรือ”
หมิงเวยขอโทษ “มื้อเที่ยงกินอาหารบิณฑบาตยังไม่อิ่มเลยข้าเลยทนไม่ไหว”
ไฟเริ่มรุนแรงขึ้น และแม้ว่าจะถูกบังด้วยร่มหนังฉลาม แต่ความร้อนก็ยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หายใจยากลำบากขึ้น
หยางชูทำได้เพียงพยายามขุดต่อไปอย่างถึงที่สุด มีเพียงดินเปียกด้านล่างเท่านั้นที่สามารถทำให้พวกเขาเย็นลงได้
“ติง!” ดูเหมือนกริชจะไปสัมผัสอะไรบางอย่างเข้า เขาเลิกคิ้วแล้วใช้แรงขุดต่ออีกหน่อยเพื่อยกดินออกมา
“อิฐงั้นหรือ” หยางชูแทงอยู่สองครั้ง “คงไม่สามารถขุดสุสานของผู้อื่นได้”
หมิงเวยสำลักควันไฟจนไอออกมาแล้วพูดว่า “ที่นี่ไม่สามารถเป็นสุสานได้ ฮวงจุ้ยไม่ดี ผู้ใดจะคิดมาฝังศพที่นี่กัน สมองคงมีปัญหาแน่”
“แล้วนี่คืออันใดกัน”
หมิงเวยลองสัมผัสและสงสัย “วัสดุเช่นนี้เป็นสุสานจริงๆ…”
หยางชูมองนาง “พวกเราขุดต่อไปดีหรือไม่ หากเป็นสุสานของผู้อื่นจริงๆ ขุดต่อไปเช่นนี้คงต้องอยู่กับซากศพ”
หมิงเวยเงยหน้ามอง “ท่านอยากโดนย่างจนกลายเป็นไก่ยัดไส้ห่อใบบัวอบหรืออยู่เป็นเพื่อนซากศพกันล่ะ”
……….
ด้านข้างหินเทพธิดาตัวฝูนั่งอยู่ด้านหน้าศาลเจ้าตามองตรงไป
อาหว่านรออย่างใจจดใจจ่อนางพึมพำในปาก “คุณชายไปคนเดียวไม่เสี่ยงเกินไปงั้นหรือ หากเกิดอันใดขึ้นมาจะทำอย่างไร…”
อาสวนอดไม่ได้ที่จะพูดแทรก “คุณชายไม่ได้ไปคนเดียว พวกเราจัดกำลังคนไว้ด้านล่างแล้ว พวกเขาจะไปกับคุณชาย”
อาหว่านถอนหายใจ “แต่วรยุทธ์ของพวกเขาไม่เก่งเท่าเจ้า!”
แม้จะดีใจที่ได้รับคำชม แต่อาสวนกลับรู้สึกว่า นางเป็นห่วงเกินเหตุไปหรือไม่
ถึงวรยุทธ์ของเขาจะเก่งกาจเพียงใด แต่ก็เทียบไม่ได้กับกำลังคนกลุ่มหนึ่ง
หากเกิดเรื่องขึ้นจริงแล้วเขาอยู่ข้างกายคุณชายก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอันใดได้อยู่ดี
ในขณะนั้นฝั่งตรงข้ามของยอดเขาชุ่ยมู่ก็มีเสียงกึกก้องดังขึ้น
ทั้งสามคนมองไปยังฝั่งตรงข้าม แต่จากมุมนี้พวกเขามองไม่เห็นเลยว่าเกิดอันใดขึ้นในหุบเขา
“นั่นเสียงอันใดน่ะ” ทั้งสามคนแปลกใจ
ผ่านไปไม่นานตัวฝูก็ร้องตะโกนขึ้น “พวกท่านดูนั่น มีควัน!”
“ท่าไม่ดีแล้ว!” อาสวนบอก “พวกเขากำลังจะจุดไฟเผาภูเขา!”
อาหว่านไม่อยากจะเชื่อเลย “นี่พวกเขากล้าจุดไฟเผาภูเขางั้นหรือ หรือคิดจะเผาคุณชาย บังอาจเกินไปแล้ว!”
อาสวนสงบลงอย่างรวดเร็ว “พวกเราประเมินความกล้าของพวกเขาต่ำไป อาหว่านเจ้ากลับไปรายงานใต้เท้าเจี่ยง ข้าจะไปหาเหลยหง ป้ายคำสั่งกองกำลังอยู่ในมือเขา”
“ได้” อาหว่านยัดกระถางธูปใส่มือของตัวฝูแล้วทั้งสองก็ทะยานกระโดดแยกย้ายกันไป
“เดี๋ยว!” ตัวฝูที่ถูกทิ้งไว้ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ควันจากยอดเขาชุ่ยมู่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถมองเห็นเปลวไฟได้จางๆ
ตัวฝูรู้สึกวิตกกังวล คุณหนูและคุณชายไปที่ฝั่งตรงข้ามด้วยกัน หากคุณชายถูกขังอยู่ที่นั่น งั้นแสดงว่าคุณหนูก็ตกอยู่ในอันตรายด้วย
จะทำอย่างไรดี
มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบา มีใครบางคนเหยียบบันไดหินทีละก้าว
ตัวฝูหันกลับไปเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดนางก็ดีใจ “นายท่านสี่!”
‘นายท่านสี่’ เมื่อเห็นนางจึงยิ้มบางๆ “ตัวฝูเองหรือ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว คุณหนูของเจ้าล่ะ!”
คุณหนูกำลังตกอยู่ในอันตราย ตัวฝูไม่กล้าปกปิดมันอีกต่อไปจึงชี้ไปที่ฝั่งตรงข้ามและตะโกนว่า “นายท่านสี่ คุณหนูไปที่ฝั่งตรงข้ามเจ้าค่ะ ที่นั่นเหมือนจะไฟไหม้ ท่านรีบไปช่วยคุณหนูเถิดเจ้าค่ะ”
“งั้นหรือ” สีหน้าของเขาเรียบเฉยส่งสายตาให้เด็กรับใช้แข็งแรงที่ตามเขามา
หนึ่งในนั้นเดินเข้ามาจับตัวฝูไว้
ตัวฝูผู้โง่เขลา “นายท่านสี่ ท่านจะทำอันใดหรือเจ้าคะ”
‘นายท่านสี่’ เดินไปหยุดตรงหน้าศาลเจ้า เขาเอื้อมมือไปแกว่งระฆังที่แขวนอยู่ด้านบน เขาออกแรงจนระฆังที่ถูกลมกัดเซาะเกิดเสียงดัง
…………
“ไฟไหม้ๆ!” ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนแรกที่เห็นควันดำที่ยอดเขาชุ่ยมู่แล้วตะโกนขึ้นมา การค้นพบนี้ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกมาก
ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ภูเขาเขียวชอุ่มไปด้วยพืชพันธุ์ หากเกิดไฟป่าขึ้นมาก็ยากที่จะดับได้โดยง่าย
พระสงฆ์ในวัดเป่าหลิงต่างตื่นตระหนก เจ้าหน้าที่ก็ตื่นตระหนกเช่นกัน
สีหน้าของท่านเจ้าเมืองอู๋เปลี่ยนไปเมื่อเขาเห็นไฟ “เร็ว! เรียกคนไปดับไฟเร็ว!”
วันนี้อากาศปลอดโปร่ง ไม่มีฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แล้วจะเกิดไฟไหม้ได้อย่างไร ท่านเจ้าเมืองอู๋รู้สึกงุนงง แต่เมื่อเขาเห็นฉีตงจวิ้นอ๋องขมวดคิ้วเขาก็เข้าใจทันที
หรือว่า…
เขาโกรธมาก ผู้ใดกันที่เป็นคนคิดเรื่องนี้ ท่านอู่หรือ ไม่ใช่! หรือจะเป็นผู้วางแผนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดงั้นหรือ ต้องเป็นเขาแน่!
น่ารังเกียจ! วางเพลิงภูเขาแล้วจะสิ้นสุดอย่างไรกัน
เรื่องใหญ่เช่นนี้เขาซึ่งเป็นท่านเจ้าเมืองต้องเป็นคนรับผิดชอบ!
เจี่ยงเหวินเฟิงเห็นภูเขาที่ลุกไปด้วยเปลวเพลิงใจเขาก็ดิ่งลงไปอยู่แทบเท้า
ไม่ดีแล้ว เกิดเรื่องขึ้นกับหยางชู เขาเดินออกไปทันที แต่ถูกเจ้าหน้าที่ห้ามไว้
“ใต้เท้าเจี่ยงจะไปที่ใดขอรับ คนในวัดเป่าหลิงมีมากมาย มีทางลงเขาเพียงทางเดียว เกิดเหตุวุ่นวายอย่างคาดไม่ถึงเช่นนี้! ถึงไฟจะไม่ลามมาถึง แต่คนน่าจะเหยียบกันตายเสียก่อน”
“ใช่ๆ!” คนกลุ่มหนึ่งพูดขึ้น
เจี่ยงเหวินเฟิงสะบัดแขนเสื้อ “เกิดเพลิงไหม้ที่ภูเขาผลที่ตามมาทุกคนคงทราบดีอยู่แล้ว ยังไม่รีบไปช่วยกันดับไฟอีก องครักษ์!”
องครักษ์ก้าวมาข้างหน้าทันที “ขอรับใต้เท้า”
“เจ้ารีบไปดับไฟซะ!”
“ขอรับ” ฉีตงจวิ้นอ๋องกำพัดในมือแน่น
เพลิงลุกขึ้นมาแล้ว นั่นหมายความว่านายท่านสามได้เคลื่อนไหวแล้ว ตอนนี้ได้ลงมือไปแล้วขอให้ทุกอย่างสำเร็จก็พอ ต้องห้ามไม่ให้พวกเขาไปช่วยคนกลับมาได้อย่างเด็ดขาด!
……………………………………….