“ตอนข้าอายุสิบปี มีสงครามเกิดขึ้น ท่านอาจารย์พาข้าไปยังสถานที่ที่เกิดสงครามเพื่อนำทางวิญญาณ ข้าเห็นกำแพงเมืองหลังเกิดการจลาจลด้วยตาตนเอง ทุกที่มีแต่ไฟและศพ เรียกว่าโศกนาฏกรรมของมนุษย์”
“ในระหว่างนั้นข้าก็พบเข้ากับกลุ่มทหารศัตรู ท่านอาจารย์ทำได้แค่ซ่อนข้าไว้ในถังเก็บน้ำชั่วคราวแล้วห้องนั้นก็ถูกจุดไฟเผา ขื่อห้องนั้นตกลงมาและลุกไหม้ข้างๆ ถังเก็บน้ำ ข้ารู้สึกเหมือนตนเองเป็นปลาในหม้อต้ม…”
หยางชูเหงื่อไหลพรั่งพรู
วันนี้เขาสวมเสื้อสีขาวเพื่อให้เข้ากับอานม้าสีทอง รวบผมด้วยกว้านทองคำ เสื้อผ้าของเขาก็มีลวดลายสีทองไม่น้อย พฤติกรรมเอิกเกริกของเขาทำให้ตอนมาช่างดูสง่างาม แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ
อีกทั้งดินเปียกที่ขุดขึ้นมานั้นเปื้อนตัวเขาไปหมด…ไม่อยากจะบรรยายสภาพของเขาในตอนนี้เลย
หยางชูรู้สึกว่าเขาไม่เคยลำบากเช่นนี้มาก่อนในชีวิต แต่หมิงเวยก็ยังคงเล่าเรื่องน้ำแกงปลาอย่างสมจริงสมจังอยู่ข้างเขา…
ทำไมต้องบรรยายว่าตัวเองเป็นอาหารทุกครั้งด้วยนะ นางอยากอาหารมากหรืออย่างไร
หยางชูเชื่อว่าสตรีข้างกายเขานั้นสมองต้องมีปัญหาแน่ๆ
“ท่านช่วยประหยัดแรงหน่อยได้หรือไม่” เขาพูด “ข้าแทบหายใจไม่ออก แต่ท่านยังมีเวลาพูดเรื่องนี้อยู่อีกหรือ”
หมิงเวยคลี่ผ้าเช็ดหน้าออกมาพัด พูดอย่างสงบจิตสงบใจ “ข้าไม่มีอันใดทำ แน่นอนว่ามีเวลาว่างอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นท่านมาช่วยข้า!” หยางชูกัดฟัน “ตอนนี้ต้องแข่งกับเวลาเพื่อเอาชีวิตรอด หากขุดมันได้เร็วกว่านี้ก็มีความหวังที่จะรักษาชีวิตได้มากขึ้น!”
หมิงเวยเหยียดแขนออกให้เขาเห็นร่างกายอันบอบบางของตน “สตรีที่ยังไม่ออกเรือนอย่างข้ามือไร้แม้แรงผูกไก่[1] จะทำงานได้อย่างไรกันเจ้าคะ สิ่งที่ท่านกำลังเจาะอยู่คืออิฐ ข้าเพียงแค่รู้วิทยายุทธ์ ไม่มีแรงเพียงพอที่จะใช้กำลังภายในหรอกเจ้าค่ะ หรือว่าต้องใช้หัวตีดี”
“….” สีหน้าของหยางชูไร้อารมณ์ความรู้สึก ทำได้เพียงกำกริชแน่นแล้วออกแรงแทงลงไป
หมิงเวยมองไปที่ใบหน้าบึ้งตึงของเขาแล้วทอดถอนใจ “ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านที่เป็นเช่นนี้ช่างดูมีความเป็นบุรุษมากขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าจะทำให้ตนเองเป็นบุรุษไร้เดียงสาทำไม ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นหมาป่าแต่แกล้งทำเป็นหมาตัวเล็ก…”
“ติง!” เสียงกริชที่แทงผ่านอิฐนั้นคมชัด
หยางชูหันมามองนาง แววตาที่เคยยิ้มเล่นหูเล่นตานั้นเวลานี้มีประกายแห่งความเยือกเย็น ดูกระหายเลือดมาก
แต่หมิงเวยก็ไม่ได้กลัวแต่อย่างใด นางตรวจดูใบหน้าของเขาอย่างถี่ถ้วน
“ใช่เลยแบบนี้ หมาป่าปลอมอย่างไรก็ยังเป็นหมาป่า…”
“ติง!” เสียงดังขึ้นอีกครั้ง แล้วจู่ๆ หมิงเวยก็รู้สึกว่ามือที่เคยว่างเปล่ามีอิฐก้อนหนึ่งร่วงตกลงมา
อากาศเย็นแต่มีกลิ่นอับลอยออกมา ช่วยคลายความอยากหายใจของพวกเขาทันที หยางชูไม่มีเวลามาเล่นลิ้นกับนาง เขายืดศอกออกกวาดอิฐออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นหลุมดำหลุมหนึ่ง
เขาตะโกนเรียกเหล่าองครักษ์ “ไม่มีที่ให้ซ่อนแล้ว ขุดที่นี่ เร็วเข้า!”
แล้วหันไปพูดกับหมิงเวย “ข้าจะลงไปก่อน ท่านรอให้ข้าเรียกถึงกระโดดลงไปได้ เข้าใจหรือไม่”
เวลานี้หมิงเวยไม่ค้านอะไรเขาอยู่แล้ว นางพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นหยางชูกระโดดลงไป นางก็ถอนหายใจเบาๆ
คนผู้นี้ดูเหมือนจะเยาะเย้ยถากถางโลกอย่างไรอย่างนั้น แต่ที่จริงแล้วเขาแค่ปกปิดตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ไม่ให้เผยช่องโหว่ แม้นางจะกระชากหน้ากากอันสง่างามของเขาออก แต่นางก็ไม่แน่ใจว่าคนที่มีสัตว์ร้ายอยู่ในใจอย่างเขานั้นคือเขาตัวจริงหรือเปล่า
ท่องไปทั่วหล้ามาหลายปีนางไม่เคยเห็นผู้ใดซับซ้อนเช่นนี้มานานแล้ว
แม้อายุเขาจะไม่มาก แต่ผ่านประสบการณ์เช่นใดมากันถึงได้กลายเป็นคนเช่นนี้ได้
เสียงของหยางชูดังมาจากด้านล่าง “ท่านลงมาได้”
หมิงเวยหัวเราะเมื่อได้ยิน ไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาจะเป็นเช่นไร แต่อย่างน้อยเขาก็มีความเมตตาอยู่ในใจ ไม่เช่นนั้นสิ่งแรกที่เขาควรทำกับผู้ที่เห็นความลับของเขา คือนางควรถูกปิดปากแล้วเสียด้วยซ้ำ
เมื่อคิดเช่นนั้นนางก็กระโดดลงไป เป็นการตกลงมาที่ไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ หยางชูพยุงนางก่อนจะปล่อยให้นางล้มลงกับพื้นอีก
หมิงเวยสูดลมหายใจ “ที่นี่ไม่มีหยินชี่ ไม่ใช่สุสาน”
หยางชูพยักหน้าคิดว่านางมองไม่เห็นจึงพูดออกไป “อืม ที่นี่มีทางเดิน มีอากาศบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นพวกเราไม่ตายแน่”
“เอ๋” นางเอียงหัวแล้วคิด “แปลก…เหตุใดที่นี่ถึงมีทางเดิน!”
หยางชูยังคงเงียบพลางหยิบไข่มุกราตรีออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา ด้วยแสงจางๆ ของไข่มุกราตรี เผยให้เห็นบรรยากาศโดยรอบของทั้งสองคน
ที่นี่เป็นทางหินที่สร้างขึ้นอย่างไม่รอบคอบเท่าใดนัก อิฐล้วนขรุขระ ทางเดินทอดยาวจนไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดตรงที่ใด
ผ่านไปสักพักองครักษ์หลายคนก็กระโดดลงมาจากด้านบน
“คุณชายขอรับ!” ทันทีที่พวกเขากระโดดลงมาก็คุกเข่าลง “ผู้ใต้บังคับบัญชาละเลยหน้าที่ของตนเองทำให้คุณชายตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย คุณชายโปรดลงโทษด้วยขอรับ!”
หยางชูโบกมือ “เวลานี้ไม่ต้องพูดถึงลงโทษไม่ลงโทษหรอก เจ้าลุกขึ้นเถอะ! แล้วคนอื่นๆ ล่ะ”
หัวหน้าองครักษ์ตอบ “พี่น้องที่เฝ้าอยู่ด้านนอกกำลังพยายามขุดดินเพื่อออกไปอยู่ขอรับ คุณชายไม่ต้องกังวลไป”
หยางชูมององครักษ์ที่ใบหน้าดำไปด้วยเขม่าแล้วถอนหายใจ “ข้าหวังว่าพวกเขาจะไม่เป็นอันใด ตอนนี้พวกเรามาหาทางออกกันก่อนเถอะ”
“ขอรับ”
องครักษ์ที่เข้ามาที่นี่มีทั้งหมดสี่นาย สองนายอยู่ด้านหน้า อีกสองนายอยู่ด้านหลัง ห้อมล้อมพวกเขาไว้แล้วเลือกเส้นทางเพื่อสำรวจ
หมิงเวยเดินไปพูดไปว่า “อุโมงค์นี้สร้างขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบ ดูเหมือนจะไม่ใช่สุสานใต้ดิน แต่อาจเป็นสถานที่ที่วัดเป่าหลิงสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไฟ”
หยางชูตอบ “วัดเป่าหลิงเป็นวัดขนาดใหญ่ซึ่งมีอายุยาวนานกว่าร้อยปีและรุ่งเรืองมากจึงไม่น่าแปลกใจที่มีการสร้างอุโมงค์เช่นนี้ขึ้น”
“คุณชายขอรับ!”
องครักษ์ที่คอยเปิดทางอยู่ข้างหน้าตะโกนขึ้น “ดูนี่สิขอรับ”
ในขณะที่พูดคุยกันพวกเขาก็เดินทางมาถึงสถานที่ที่ค่อนข้างกว้างขวาง พื้นดินเต็มไปด้วยไห และมีกลิ่นที่อธิบายไม่ได้ลอยแตะที่ปลายจมูกของพวกเขา
หนึ่งในองครักษ์เปิดไหขึ้นแล้วรายงาน “เป็นผักดองขอรับ”
หมิงเวยยิ้ม “ดูเหมือนจะเป็นอุโมงค์ที่วัดเป่าหลิงสร้างขึ้นจริงๆ ปกติใช้สำหรับเก็บอาหาร หากเกิดไฟไหม้ขึ้นก็สามารถซ่อนตัวได้” นางพยักหน้า “ดีเลย หากกลับไปแล้วสร้างพระพุทธรูปทองคำให้วัดเป่าหลิงกันเถอะ!”
หยางชูถอนหายใจด้วยความโล่งอก ห้องเก็บอาหารใต้ดิน ผลลัพธ์นี้ดีกว่าที่เขาคิดไว้มาก หากนี่เป็นทางลับ ที่นี่คงเป็นฐานที่ตั้งของฉีตงจวิ้นอ๋อง เป็นการเชื่อมต่อที่ไม่ดีเลย
“ไปกันเถอะ!” หมิงเวยตบฝุ่นในมือ “ออกไปแล้วค่อยพูดกัน” แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็เดินทางต่อไป
อุโมงค์ของวัดเป่าหลิงนี้ยาวมาก พวกเขาผ่านห้องใต้ดินมาหลายห้อง บางห้องใช้สำหรับเก็บผักดอง บางห้องเก็บธัญพืชแล้วยังมีห้องเก็บของ เห็นได้ว่าพระสงฆ์ในวัดเป่าหลิงมีชีวิตที่ดีมีอาหารเพียงพอให้พวกเขากินตลอดครึ่งปี…
ในขณะที่เดินหยางชูก็เคาะกำแพงไป…
“ว่างงั้นหรือ” หยางชูแปลกใจ เหล่าองครักษ์หยุดรอรับคำสั่งจากเขา หยางชูเลิกคิ้วแล้วมองสำรวจรอบๆ
หวงเฉิงซือเชี่ยวชาญเรื่องทำตัวลับๆ ล่อๆ มีลับลมคมใน แน่นอนว่าพวกเขาต้องมีความชำนาญในเรื่องกลไก
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบว่าไหที่อยู่ตรงมุมนั้นน่าสงสัยจึงสั่งองครักษ์
“เจ้าไปขยับดู”
“ขอรับ” พอองครักษ์เคลื่อนย้ายไห กำแพงก็เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น!
…………………………………
[1] มือไร้แม้แรงผูกไก่ : ร่างกายอ่อนไร้เรี่ยวแรง