ตอนที่ 13 โจ๊กมันเทศ
เสบียงอาหารที่ขายได้ส่วนหนึ่งทุกปี ล้วนใช้ซื้อดินสอ น้ำหมึก และตำราให้กับไป๋เสี่ยวเฟิง เป็นเช่นนั้นเรื่อยมา เสบียงอาหารของสกุลไป๋จึงตึงมือยิ่งนัก
ส่วนบ้านของลุงหูมีที่ดินอยู่สองหมู่ แม้ว่าในตระกูลจะมีเพียงสองคน กินใช้นับว่าเพียงพอ แต่ก็ต้องซื้อของใช้ประจำวันเข้ามาในบ้าน บางครั้งยังป่วยไข้ เสบียงอาหารนี้ก็ตึงมือยิ่งเช่นกัน
นางถอนใจเสียงหนึ่ง แล้วตั้งไฟบนเตาดินก่อน จากนั้นค่อยต้มน้ำหม้อหนึ่ง ก่อนจะโยนข้าวสองกำมือที่ล้างเรียบร้อยแล้วเข้าไปในหม้อ
หลังจากเติมฟืนเข้าไปในเตาแล้ว นางถึงจะเดินออกจากห้องครัว กล่าวถามหูเฟิงที่ยืนตากเสื้อผ้าอยู่ใต้ชายคาเรือนว่า “หูเฟิง ผักที่บ้านนี้อยู่ที่ใดหรือ”
หูเฟิงหันกลับมาชำเลืองมองนางครั้งหนึ่ง เขาชี้ไปยังสิ่งของที่คล้ายกับก้อนตะปุ่มตะป่ำสีดำในมุมของห้องครัวโดยไม่ใส่ใจ
นั่นคือผักหรือ? นางหยิบจากในมุมออกมากำมือหนึ่ง แล้วเดินออกมาถามหูเฟิง “นี่คือผักอะไร”
หูเฟิงไม่ได้สนใจนาง เขาเดินเข้าไปในเรือนแล้ว
เฮอะ! หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นใบ้?
นางล้างก้อนตะปุ่มตะป่ำสีดำ เปลือกของมันหนามากจริงๆ จึงใช้มืดปอกเปลือกของมันออก หลังจากปอกเปลือกเรียบร้อยแล้ว กลิ่นหอมสดชื่นสายหนึ่งก็โชยเข้าสู่จมูก ซึ่งกลิ่นนั้นช่างเหมือนกับมันเทศอย่างยิ่ง
เด็กสาวหั่นมาชิมชิ้นเล็กๆ เหมือนกับมันเทศอย่างที่คิดไว้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเปลือกของมันเทศนี้ถึงน่าเกลียดและเป็นสีดำเช่นนี้
มีมันเทศก็ใช้ได้ ไม่ถึงกับต้องดื่มน้ำแกงข้าวเพียงอย่างเดียว
นางล้างมันเทศอีกสองสามหัว หลังจากปอกเปลือกแล้วก็หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะโยนเข้าไปต้มกับข้าวในหม้อที่น้ำเพิ่งเดือด
นางชอบกินโจ๊กมันเทศมากมาแต่ไหนแต่ไร มันทั้งหอมหวานและนุ่มนวล ทั้งยังทำให้อิ่มท้องได้ง่าย เหมาะกับคนยากจนที่สุด
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางก็ยกโจ๊กมันเทศหอมฉุยมาขึ้นโต๊ะ หลังจากเติมมันเทศในข้าวที่มีน้ำเยอะๆ แล้ว มันก็ข้นขึ้นมาก ดูแล้วทำให้อยากอาหารอย่างยิ่ง ผนวกกับกลิ่นหอมๆ นี้ ก็ทำให้คนยากจะความคุมความอยากอาหารได้
ไม่ต้องรอให้ลุงหูไปเรียกกินข้าว หูเฟิงก็เดินออกมาด้วยตัวเอง ครั้นเห็นโจ๊กมันเทศบนโต๊ะ เขาก็เลิกคิ้วขึ้น พลางกวาดสายตามองไป๋จื่อ
ลุงหูยิ้มพลางกล่าว “ที่แท้ก้อนนี้ก็ทำอาหารได้เช่นนี้ด้วย พวกข้าต้มน้ำสะอาดแล้วก็กินเลยมาแต่ไหนแต่ไร”
“ก้อน? นี่ไม่ใช่มันเทศหรอกหรือ? เหตุใดท่านถึงเรียกมันว่าก้อนเล่า” ไป๋จื่อมีสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
ฝ่ายลุงหูสงสัย “ที่แท้เจ้านี้เรียกว่ามันเทศหรือนี่? พวกข้าก็เพิ่งเคยกินเป็นครั้งแรก นี่เป็นสิ่งที่หูเฟิงขุดมาได้จากในป่า ทีแรกยังไม่กล้ากิน ทว่าข้าวในถังไม่พอแล้วจริงๆ ถึงได้ต้มมันกินอยู่สองครั้ง ครั้นกินเข้าไปแล้วไม่เป็นอะไร ก็เลยวางใจได้”
ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะไม่รู้ ว่านี่คือมันเทศ…
ขณะที่นางถือมันเทศในครั้งแรก ก็เหลือบสิ่งที่เหมือนกับหน่ออ่อนมากมายอยู่ข้างใต้ จึงกล่าวอีกว่า “มันเติบโตได้ด้วยตนเอง ข้าเห็นสองหน่ออ่อนในห้องครัว พรุ่งนี้ขุดดินปลูกมันไว้ในสวน ผ่านไปสองสามเดือนก็จะออกผล ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยบ่อยนัก ปลูกง่ายยิ่ง”
ครั้นลุงหูฟังแล้วก็กระจ่างแจ้ง เขายิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยมยิ่ง พรุ่งนี้หลังจากลงเมล็ดในดินแล้ว ก็จะเกลี่ยดินในสวน ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ก็ไม่ถือว่าเสียแรงไปมากเท่าไร ไม่ได้เสียหายอะไร”
หูเฟิงจับจ้องโจ๊กเบื้องหน้า พลางกล่าว “กินได้หรือยัง” เมื่อได้กลิ่นหอมๆ นี้แล้ว ท้องของเขาก็ส่งเสียงจ๊อกๆ อย่างไม่พอใจ
ตอนกลางวันทำไร่ทำนาทั้งวัน มื้อกลางวันไม่ได้กิน รอจนถึงมือเย็นเช่นนี้
ลุงหูรีบกล่าว “กินข้าวๆ ข้าก็หิวจนหน้าอกจะติดกับแผ่นหลัง[1]ตั้งนานแล้ว”
นอกจากไป๋จื่อ พวกเขาล้วนเพิ่งเคยกินโจ๊กมันเทศเป็นครั้งแรก รสชาติหอมหวานและนุ่มละมุนนี้ ลุงหูกินเข้าไปแล้วก็ยิ้มกริ่ม
ไม่นานทุกคนก็กินโจ๊กหม้อหนึ่งจนหมด จ้าวหลานกับไป๋จื่อตั้งใจกินให้น้อยหน่อย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นบ้านของคนอื่น อีกทั้งยังเป็นชายร่างใหญ่ที่หิวโซมาตลอดทั้งวัน คงไม่ดีนักหากจะไปแย่งพวกเขากิน แถมในหม้อก็ไม่ได้มีมากมายเท่าไร
……….
ตอนที่ 14 ชีวิตยุ่งเหยิง
หูเฟิงกินเสร็จแล้วก็วางชามลง เขาเดินไปโดยไม่พูดอะไรมากความสักคำ
ไป๋จื่อมองเงาหลังของหูเฟิงด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะถามเสียงเบา “ลุงหู เหตุใดหูเฟิงถึงไม่ชอบพูดล่ะเจ้าคะ”
ลุงหูถอนใจเสียงหนึ่ง “พูดขึ้นมาแล้ว หูเฟิงก็นับเป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง สามปีก่อนข้าขึ้นเขาไปตัดฟืน ขากลับมาพบเขาอยู่ในร่องน้ำมืดๆ ใต้ตีนเขา ตอนนั้นเขาได้รับบาดเจ็บหนัก โดยเฉพาะตรงศีรษะ มีเลือดไหลออกมามากทีเดียว ข้าเห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จึงแบกเขากลับมาที่บ้าน ทั้งยังเชิญหมอมารักษาด้วย ใครจะรู้ว่าเขาตื่นขึ้นมาแล้วจะจำอะไรไม่ได้สักอย่าง แม้แต่ชื่อของตนเองก็ลืมจนสิ้น จึงติดตามข้าโดยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรมาถึงสามปี”
“ที่จริงพวกเจ้าดูเขาสิ เหมือนคนยากจนในป่าเขาเช่นพวกเราที่ไหนกัน ทั้งรักสะอาด รู้จักหนังสือ แถมยังเป็นวรยุทธ์ เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เพียงแต่ลืมว่าตนเองเป็นใครไปชั่วคราว แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดเขาถึงจะจำได้”
ไป๋จื่อเป็นหมอหัวกะทิในโรงพยาบาลชั้นนำของศตวรรษที่ยี่สิบสาม นางเรียนวิชาแพทย์แผนจีนก่อนอายุสิบแปด หลังจากอายุสิบแปดแล้วก็เรียนแพทย์แผนปัจจุบัน สามารถฝังเข็ม ปรุงยา ผ่าตัดเปิดกะโหลก และต่อแขนที่ขาดได้
หลังจากได้ฟังคำของลุงหู ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือ เมื่อสมองของหูเฟิงได้รับความกระทบกระเทือนแล้ว ภายในกะโหลกมีเลือดอุดตันเป็นจำนวนมาก ทำให้ลิ่มเลือดกดทับเส้นประสาทส่วนกลาง บางคนสูญเสียการมองเห็น บางคนสูญเสียสติปัญญา และบางคนสูญเสียความทรงจำเพราะเหตุนี้
อาการเช่นนี้ไม่นับว่าแปลกในศตวรรษที่ยี่สิบสาม จะรักษาก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายเช่นกัน เพียงผ่าตัดเปิดกะโหลก กำจัดเลือดที่อุดตันในสมอง ไม่นับว่าเป็นการผ่าตัดใหญ่ด้วยซ้ำ ทางด้านสถิติ การผ่าตัดนี้ก็มีโอกาสสำเร็จถึงเก้าสิบในร้อยส่วน
ไป๋จื่อเคยทำการผ่าตัดเช่นนี้มาไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง อัตราประสบความสำเร็จก็ร้อยเต็มร้อย
เพียงแต่น่าเสียดายที่ตอนนี้นางอยู่ในยุคโบราณ ที่นี่ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ย่อมไม่อาจทำการผ่าตัดได้
ขณะนี้ฝนด้านนอกหยุดแล้ว ฟ้ายังสว่างอยู่ ช่วงกลางวันในฤดูร้อนยาวนาน หากคำนวณเวลาดูแล้ว ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาประมาณหกโมงเย็น อย่างน้อยอีกหลายชั่วโมงกว่าท้องฟ้าจะมืด
จ้าวหลานให้ไป๋จื่อหอบผ้าห่มออกจากบ้านของลุงหู เพื่อไปยังเรือนไม้ขนาดเล็กด้านหลังลานบ้าน แม้เรือนหลังนั้นจะเล็ก แต่กลับพอดีให้คนสองคนอยู่อาศัย ภายในนั้นไม่มีเตียง มีแต่ข้าวของกองอยู่ ไป๋จื่อใช้ของเก่าให้เป็นประโยชน์ นำแผ่นไม้เหล่านั้นมาวางรวมกัน แล้วจึงปูหญ้าแห้งลงไปด้านบนเล็กน้อย นับว่าเป็นเตียงนอนได้ชั่วคราว
นางมองเสื้อผ้าที่มีคราบเลือดและดินโคลนบนตัวจ้าวหลาน ก่อนจะรีบลุกขึ้นปิดประตูเรือนไม้ “ท่านแม่ ท่านเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าสะอาดเถิด ถือโอกาสตอนที่ฟ้ายังสว่าง ข้าจะไปซักเสื้อผ้าให้ท่านเอง”
จ้าวหลานลังเลเล็กน้อย “เกรงว่ามือของข้าจะขยับไม่ได้ จะเปลี่ยนได้อย่างไร”
ไป๋จื่อยากจะได้ใช้ชีวิตเช่นนี้ ทว่านางก็ขันอาสา “ข้าช่วยท่านเอง รับรองว่าจะไม่ถูกแผลของท่าน”
นางเป็นหมอ ย่อมต้องรู้ว่าควรจะทำอย่างไร นางช่วยจ้าวหลานเปลี่ยนเสื้อผ้าบนตัวอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ต้องกำจัดคราบเลือดบนเสื้อผ้านี้ออกไปโดยเร็วที่สุด ยิ่งเวลาผ่านไป คราบสกปรกก็จะยิ่งซักออกได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นยุคที่ไม่มีน้ำยาขจัดคราบอย่างแรงเสียด้วย
ตัวนางเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดชุดหนึ่ง แล้วยัดเสื้อผ้าสกปรกที่ถอดเปลี่ยนลงในกะละมังไม้ อาศัยความทรงจำในหัวสมอง ไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ
เมื่อมาถึงริมแม่น้ำที่หน้าหมู่บ้าน ตรงนั้นมีคนรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย แต่ละคนต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์ ไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงอะไรอยู่
จู่ๆ เสียงที่แทบจะทำลายขอบฟ้าสายหนึ่งก็ดึงขึ้น “เจอแล้วๆ ประคองขึ้นมา ประคองอิงจื่อขึ้นมา”
นางเบียดเข้าไปในฝูงชน เห็นหูเฟิงกำลังหอบร่างสตรีที่อายุพอๆ กับตนเองขึ้นมาบนฝั่ง ทั้งสองคนตัวเปียกโชก แขนของสตรีผู้นั้นดูอ่อนปวกเปียก สีหน้าซีดขาว แทบจะไม่มีสติแล้ว
[1] หน้าอกติดกับแผ่นหลัง เป็นคำอุปมาอุปไมย มักใช้เมื่อบรรยายถึงอาการหิวมากๆ เทียบได้กับหิวไส้กิ่ว หรือใช้บรรยายถึงลักษณะของคนยากจน ผอมกร่อง