ตอนที่ 17 หาเรื่องให้ทรมาน
โชคยังดีที่นางฟื้นขึ้นมาได้ ไม่เช่นนั้นหลิวซื่อโวยวายเช่นนั้น นางกับแม่สามีอาจจะต้องเข้าคุกจริงๆ
“พูดเหมือนกับเจ้าเป็นคนทำเรื่องเหล่านี้อย่างนั้นแหละ” หลิวซื่อถากถาง
จางซื่อแค่นหัวเราะ กล่าวว่า “แม้ข้าจะไม่ใช่คนทำ แต่ข้าก็ไม่มีทางตีคนทั้งเป็น แล้วยังเสียเงินเช่นนี้หรอก”
นางชำเลืองมองสะใภ้ใหญ่ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวกลับเรือนไป ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางก็ไม่มีทางทำอาหารมื้อนี้เด็ดขาด
เมื่อได้เริ่มทำแล้ว ทุกคนก็จะคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่นางควรทำไปโดยปริยาย ต่อไปคิดจะกำจัดภาระหน้าที่คงเป็นไปไม่ได้
ครั้นพูดถึงเงิน หญิงชราก็เริ่มเป็นทุกข์ รีบโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ “งานในสกุลสองสามวันนี้ ก็ให้พวกเจ้าสองคนทำไปก่อน ห้ามผู้ใดขี้เกียจทั้งนั้น อาหารเย็นวันนี้สะใภ้ใหญ่เป็นคนทำ ส่วนพรุ่งนี้ให้สะใภ้รองเป็นคนทำ สลับหมุนเวียนไปเช่นนี้ จะได้ไม่มีใครต้องเสียเปรียบ”
หลิวซื่อกำลังจะอ้าปากเรียกร้อง ทว่าเจ้าใหญ่ที่อยู่ข้างๆ กล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “ท่านแม่บอกแล้วว่าให้เจ้าทำ ไหนเลยจะยังพูดมากอยู่ได้? ยังไม่รีบไปทำอีก ทุกคนหิวกันหมดแล้ว”
นางเห็นสามียักคิ้วหลิ่วตาให้ ไม่รู้ว่าเขาวางแผนอะไรอยู่ แม้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็เห็นเรื่องราวไม่มีทางเจรจากันได้อีก จึงทำได้เพียงกล่าวว่า “ได้ ข้าจะไปทำ ทว่าต้องมีคนหนึ่งเป็นลูกมือให้ข้า ข้าจะทำกับข้าวมากมายด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร?”
หญิงชราพลันกล่าวด้วยความรำคาญ “เหตุใดจะทำคนเดียวไม่ได้? ปกตินางเด็กเจ้าเล่ห์นั่นก็ทำคนเดียวไม่ใช่หรือ? เจ้าอายุเท่านี้แล้ว รับผิดชอบงานของเด็กสาวคนเดียวไม่ได้หรืออย่างไร?”
หลิวซื่อไม่กล้าต่อปาก ทำได้เพียงเดินไปทางห้องครัวอย่างว่าง่าย ฝ่ายเจ้าใหญ่ยิ้มพลางกล่าว “ข้าเป็นลูกมือให้เจ้าเอง”
เจ้าใหญ่ตามหลิวซื่อไปที่ห้องครัวแล้ว หญิงชราจึงหันไปมองเจ้ารองแทน“ทำงานในที่ดินเสร็จแล้วหรือ”
เจ้ารองเกาหัว “ยังขอรับ เหลืออีกเล็กน้อย พรุ่งนี้ค่อยทำต่อ”
ผู้เป็นมารดาขมวดคิ้ว “ข้าจำได้ว่าที่ดินที่สกุลเราใช้ปลูกกล้ามีเพียงครึ่งหมู่ แล้วอย่างไร? พวกเจ้าสี่คนไปทำทั้งวันก็ยังทำไม่สำเร็จหรือ?”
บุตรชายคนรองหัวเราะแห้ง “วันนี้อากาศร้อนอย่างยิ่ง พวกข้าก็กลัวร้อนจนป่วยไป แล้วจะต้องใช้เงินของสกุลหมดไปกับการรักษา จึงหยุดพักตากลมไปพักหนึ่ง เสียเวลาไปสองสามชั่วยาม”
หญิงชราเบิกตาโพลง พร้อมกับกล่าว “เจ้ารู้ว่าอากาศร้อน? แล้วคนปลูกกล้าในหมู่บ้านพวกเราไม่รู้ว่าอากาศร้อนหรืออย่างไร? เช่นนี้ข้าก็คร้านจะพูดจาไร้สาระกับพวกเจ้าแล้ว เป็นอันว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าต้องตั้งสติให้ดี ทำงานในที่ดินเสร็จแล้ว ก็มีงานในทุ่งนาอีกที่ยังไม่ได้ทำ นาน้ำห้าหมู่ จ้าวหลานทำไปแล้วสองหมู่ สามหมู่ที่เหลือก็ถือโอกาสสองสามวันนี้ลงต้นกล้าทั้งหมด ไม่เช่นนั้นก็จะเสียต้นกล้าไปเปล่าๆ ทั้งยังเสียเวลาเก็บเกี่ยว ถึงตอนนั้นก็รอดูพวกเจ้ากินลมตะวันตกเฉียงใต้[1]ได้เลย”
สีหน้าของเจ้ารองดูขมขื่นเป็นอย่างยิ่ง แต่ไหนแต่ไรเขากับพี่ใหญ่ไม่เคยทำงานในทุ่งนาเลย จ้าวหลานรับผิดชอบคนเดียวทั้งหมด ทั้งยังทำได้อย่างงดงาม ไม่เคยทำให้เวลาเก็บเกี่ยวล่าช้า
ทว่าวันนี้ งานเหล่านั้นล้วนเป็นหน้าที่ของพวกเขา นี่ไม่เท่ากับหาเรื่องทรมานหรอกหรือ?
“ท่านแม่ พูดถึงวันนี้ที่ท่านก่อเรื่องวุ่นวายแล้ว ท่านตีคนจนมีสภาพเช่นนั้นได้อย่างไร? หากมีจ้าวหลานอยู่ เหตุใดพวกเราต้องกังวลเรื่องงานของสกุลเราด้วย?” เจ้ารองคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกลำบากใจแทบตาย
หญิงชราแค่นหัวเราะ “ตีก็ตีไปแล้ว ยังจะทำอะไรได้อีก”
เจ้ารองยักไหล่ “ข้าขอไม่ยุ่งเรื่องนี้ก็แล้วกัน ข้าขอพูดกับท่านสักครั้ง ว่าข้าไม่เชี่ยวชาญงานในทุ่งนา ท่านให้พี่ใหญ่ไปทำเถิด พรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองสักครั้ง ท่านให้เงินข้าสักหน่อยสิ”
ฝ่ายมารดาได้ยินแล้วก็มองตาขวางโดยพลัน “เจ้าไม่ทำงานในทุ่งนาแล้วจะเข้าเมืองไปทำอะไร? จะเก็บเสบียงอาหารในเมืองได้รึ?”
……….
ตอนที่ 18 เก็บเสบียงอาหาร
เจ้ารองรีบร้อนกว่าวว่า “ท่านแม่อย่าได้พูดเช่นนั้น ข้าเข้าเมืองครั้งนี้ อาจจะเก็บเสบียงอาหารได้จริงๆ”
หญิงชรามองหน้าตาจริงจังของเขา ดูแล้วไม่เหมือนกำลังพูดโกหก จึงรีบถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น รีบพูดเร็ว”
เจ้ารองเข้าไปกระซิบข้างๆ หูของมารดา จงใจพูดเสียงเบา “ท่านแม่ วันนี้ตอนที่ข้าทำงานอยู่ในที่ดิน ระหว่างนั้นไปขับถ่ายในพงหญ้า ได้ยินคนที่มารับสินค้าพื้นเมืองจากในเมืองสองคนสนทนากัน พวกเขาบอกว่าร้านซาลาเปาของสกุลสวีจะเปิดกิจการในวันพรุ่งนี้ เตรียมหมั่นโถวไว้หนึ่งร้อยลูก และจะเชิญคนห้าคนแข่งกินหมั่นโถว ผู้ใดกินได้มากที่สุด ก็จะได้แป้งหมี่ถุงหนึ่งเป็นของรางวัล”
“ท่านแม่ แป้งหมี่ถุงหนึ่งเชียวนะ พอให้พวกเรากินทั้งตระกูลได้ตั้งนานเท่าไร” เจ้ารองยิ้มไม่ยอมหุบ ราวกับแป้งหมี่ถุงหนึ่งนี้อยู่ที่หน้าประตูสกุลไป๋ของพวกเขาแล้ว
สตรีสูงวัยสกุลไป๋ทำหน้าตาไม่เชื่อ “บนโลกนี้ยังมีเรื่องดีพรรค์นี้อยู่อีกหรือ เชิญพวกเจ้ากินหมั่นโถวโดยไม่คิดเงิน กินเสร็จแล้วยังให้แป้งหมี่เจ้าตั้งถุงหนึ่ง สมองของเถ้าแก่ร้านซาลาเปาสกุลสวีมีน้ำเข้าไปหรืออย่างไร?”
“สมองเขาไม่มีน้ำเข้าไปเสียหน่อย จะเข้าร่วมการแข่งขันก็มีเงื่อนไขอยู่ ไม่ใช่ว่าใครจะเข้าร่วมก็ได้ จะต้องจ่ายเงินก่อนต่างหาก” เจ้ารองกล่าว
“จ่ายเงินเท่าไร” นางกล่าวถาม
เจ้ารองยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง “ไม่มาก ห้าสิบเหวิน[2]”
หญิงชราคำนวณดูแล้ว ก็กล่าวด้วยความสงสัยอีก “ห้าสิบเหวินนี้พอซื้อหมั่นโถวสิบลูก พวกเจ้าแข่งขันเสร็จแล้วจะได้คืนมาหรือไม่”
“แน่นอนอยู่แล้ว ขอเพียงชนะการแข่งขัน ไม่เพียงได้ห้าสิบเหวินคืน ยังได้แป้งหมี่อีกถุงหนึ่งด้วย คุ้มค่านัก!” เจ้ารองกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ถ้าคิดคำนวณเช่นนี้ก็คุ้มค่ามากจริงๆ หญิงชราพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าเข้าไปในเมือง ทว่าจะต้องแบกแป้งหมี่ขาวนั่นกลับมา บ้านของพวกเราจะได้ลิ้มรสชาติของหมั่นโถวแล้ว”
เจ้ารองหัวเราะฮ่าๆ รีบยื่นมือไปทางมารดา “ข้าขอเงินด้วย”
หญิงชรากลับไปหยิบเงินในเรือน เจ้ารองรีบตามเข้าไป ครั้นเห็นมารดาหยิบทองแดงกำหนึ่งออกมาจากในหีบไม้ลงกลอน ทั้งยังนับทีละเหรียญ เขาก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มกริ่ม “ท่านแม่ ให้ข้าหกสิบเหวินเถอะ ข้าจะได้มีเงินติดตัวไว้ รับรองว่าข้าจะไม่ใช้เรื่อยเปื่อย”
ในใจของหญิงชราคิดถึงเพียงแป้งหมี่ขาวถุงนั้น ทั้งยังคิดว่าห้าสิบเหวินก็ไม่ได้มากมายอะไร จึงนับหกสิบเหวินส่งให้เขาไป
หลิวซื่อที่อยู่ในห้องครัวควักข้าวสารในถังออกมาล้างสองกำมือ เมื่อเห็นสามีเข้ามาด้วย นางก็รีบถาม “เหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงยักคิ้วหลิ่วตาให้ข้า”
เจ้าใหญ่มองดูข้างหลัง เห็นว่าไม่มีใครตามมา คราวนี้ถึงได้พูดเสียงเบาว่า “อีกเดี๋ยวต้มโจ๊กเสร็จแล้ว ซ่อนโจ๊กก้นหม้อไว้สักถ้วยหนึ่ง คืนนี้พวกเราหิวอีกจะได้กิน”
หลิวซื่อชะงักงัน ถลึงตากล่าวว่า “ท่านแม่รู้เข้าคงไม่ดีแน่”
ทั้งวันกินแค่โจ๊กใสกับผักสด ไม่มีไขมันแม้สักนิด ครั้นตกดึกก็มักจะหิวจนทนไม่ไหว หากซ่อนอาหารไว้กินตอนกลางคืนได้จริงๆ ย่อมดีอย่างยิ่ง
เจ้าใหญ่หัวเราะเสียงเบา “เจ้าช่างโง่ยิ่งนัก วันนี้เจ้าทำกับข้าว ก็ใส่ข้าวลงไปอีกสักกำมือจะเป็นไรไป ต้มเสร็จแล้วก็ถือโอกาสตอนที่พวกเขาไม่สนใจ ซ่อนไว้สักถ้วยหนึ่ง ใครจะไปรู้ได้เล่า”
หลิวซื่อค่อยๆ มีอารมณ์ขันขึ้นมาบ้าง “ก็ได้ ตกลง ข้าจะเชื่อฟังเจ้า” บัดนี้ความรู้สึกที่ถูกสั่งให้ทำอาหารในตอนแรกหายไปเหมือนหมอกควันสลาย
เมื่อเห็นเจ้าใหญ่หมุนกายจะจากไป นางก็รีบเรียกไว้ “นี่…เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าจะเป็นลูกมือให้ข้า แล้วนี่จะไปที่ไหน”
เจ้าใหญ่ตอบโดยไม่หันหน้าไปมอง “งานเล็กน้อยแค่นี้ต้องให้ข้าเป็นลูกมือเจ้าด้วยหรือ? เจ้าทำเองเถิด ข้าจะไปนอนสักหน่อย ตอนกลางวันแดดข้างนอกแรงนัก มีทั้งยุงทั้งแมลงวัน ข้านอนหลับไม่ค่อยได้ ตอนนี้ลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้ว อีกเดี๋ยวตั้งโต๊ะแล้วก็ไปเรียกข้าด้วย”
[1] กินลมตะวันตกเฉียงใต้ หมายถึง อดตาย ไม่มีอะไรจะกินนอกจากลม
[2] เหวิน (文) เป็นค่าเงินจีนในสมัยโบราณ เป็นเหรียญทองแดงผสม มีรูตรงกลาง