ตอนที่ 215 เกี่ยวอะไรกับเจ้า?
หูเฟิงเข็นรถเข้ามาหา เมื่อเห็นท่าทางของนาง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม “เมื่อครู่พวกเจ้าคุยเรื่องอะไรกัน”
ไป๋จื่อถอนใจเสียงหนึ่ง “หัวหน้าหมู่บ้านพูดว่า เขามีหลานชายอายุสิบหกปีอยู่คนหนึ่ง ก็เลยจะเป็นพ่อสื่อให้ เขาคิดว่าข้าเหมาะสม จึงคิดจะให้ข้ากับหลานชายของเขาพบกัน”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนจะชำเลืองมองไป๋จื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วส่ายหน้า “สายตาของหัวหน้าหมู่บ้านใช้ไม่ได้เลย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไป๋จื่อก็ถลึงตามองเขา พลางลูบใบหน้าเล็กของตนเอง “ใช้ไม่ได้ตรงไหน ข้านับว่างดงามตั้งแต่เกิดกระมัง แม้ตอนนี้จะดูผอมไปบ้าง เตี้ยไปหน่อย แต่ข้ายังเด็กอยู่เลยนะ ข้ายังโตได้อีก” นางไม่เชื่อว่าตนเองจะมีร่างกายผอมบางเช่นนี้ไปตลอด อย่างไรก็ต้องสูงขึ้นอีกสักหนึ่งศีรษะกระมัง
หูเฟิงมองใบหน้าเล็กที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของนาง แววตาคู่นั้นเป็นประกายราวกับหมู่ดวงดาว จมูกรั้น ริมฝีปากสีดอกท้อ ผิวขาวละเอียด น่ามองกว่าตอนที่เขาเพิ่งพบนางจริงๆ ถึงอย่างไรตอนนั้นบนใบหน้าของนางก็มีแต่รอยช้ำ มองไม่ออกโดนสิ้นเชิงว่านางหน้าตาเป็นเช่นไร
สตรีในความทรงจำของเขามีไม่มาก ไม่รู้ว่าคนที่สวยกว่านางมีลักษณะอย่างไร แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ไป๋จื่อนับว่าเป็นผู้ที่มีใบหน้างดงามที่สุดที่เขาเคยพบแล้ว
“ดังนั้น เจ้ายินยอมหรือ” ท่าทางของเขาดูเหมือนถามไปโดยไม่คิดอะไร แต่สายตากลับจับจ้องที่ใบหน้าของหน้าเขม็ง ในหัวใจเกิดความรู้สึกเครียดเกร็งอย่างน่าประหลาด แม้กระทั่งหัวใจเต้นเร็วขึ้นด้วย
ไป๋จื่อยักไหล่ “เกี่ยวอะไรกับเจ้า” เขาอยากรู้ แต่นางไม่บอกหรอก ใครใช้ให้เมื่อครู่เขาบอกว่าสายตาของหัวหน้าหมู่บ้านใช้ไม่ได้กัน
สีหน้าของหูเฟิงดูไม่สบอารมณ์ เขาทำหน้าเคร่ง “วันนี้ควรฝังเข็มให้ข้าแล้ว เจ้าอย่าลืมล่ะ”
หากเขาไม่พูดออกมา นางก็เกือบจะลืมไปแล้วจริงๆ ช่วงนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย สำหรับอาการป่วยของหูเฟิงแล้ว นางไม่ได้ใส่ใจนึกถึงเลย อาจจะเป็นเพราะโรคของเขาไม่ได้รักษาหายได้ในหนึ่งหรือสองวัน นางจึงไม่ได้รู้สึกว่าต้องเร่งด่วนถึงเพียงนั้น
“อ้อ!” นางรู้สึกผิดอย่างยิ่ง หูเฟิงน่าจะร้อนใจมากกระมัง ร้อนใจอยากจะฟื้นความทรงจำ แต่นางกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องของเขาเลยจริงๆ ทว่านึกขึ้นมาได้ตอนนี้ นางก็ต้องก็ฝังเข็มให้เขาสักสองเข็ม ต้มยาสำเร็จรูปให้เขาดื่มสักสองจอก นางยุ่งขึ้นมาจนลืมเขาไปเสียสนิท
ระหว่างทางกลับบ้าน หูเฟิงไม่พูดไม่จาสักคำ เมื่อกลับถึงบ้านก็เข้าไปที่ห้องของตนเองทันที ทั้งยังมีสีหน้าบึ้งตึง ราวกับว่าคนทั้งโลกติดหนี้เขาไม่ยอมคืนอย่างไรอย่างนั้น
หูจ่างหลินช่วยไป๋จื่อยกถังไม้ลงจากรถ ก่อนจะถามว่า “หูเฟิงเป็นอะไรไป สีหน้าดูแปลกๆ ไปนะ”
ไป๋จื่อหัวเราะแห้งๆ “ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ ปกติเขาก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ”
หูจ่างหลินร้องอ๋อเสียงหนึ่ง ลูกชายของเขา เขาย่อมรู้จักดี ก่อนที่ไป๋จื่อและจ้าวหลานจะย้ายมาอยู่ด้วยกัน หูเฟิงมีท่าทางเช่นนี้จริงๆ ทำหน้าบึ้งทั้งวัน ราวกับว่าทุกคนล้วนติดเงินเขาอย่างไรอย่างนั้น ทว่าตั้งแต่ไป๋จื่อย้ายมา ในบ้านก็เริ่มมีสีสันขึ้นมา ชายหนุ่มไม่ได้มีสีหน้าเย็นชาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นเมื่อก่อน พูดมากขึ้น และบางครั้งก็ยังยิ้มจางๆ ด้วย แม้กระทั่งสนิทชิดเชื้อกับผู้อื่นมากกว่าเดิม เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดูคบหาง่ายขึ้นเรื่อยๆ
ท่าทางของหูเฟิงในวันนี้ นับว่าผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง หรือว่าพวกเขาสองคนจะทะเลาะกัน
หลังจากเก็บของเรียบร้อย ไป๋จื่อก็นำกระเป๋าเข็มเข้าไปในห้องของหูเฟิง เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือใต้หน้าต่างเช่นเคย ในมือถือหนังสือเก่าขาดเล่มหนึ่ง กำลังอ่านอย่างตั้งใจ
และไม่ใช่ว่าเขาตั้งใจเกินไปหรือไม่ เขาจับจ้องอยู่ที่หน้ากระดาษหนึ่งนานเหลือเกิน ไม่พลิกอ่านหน้าใหม่เสียที
เพื่อคลายบรรยากาศน่าอึดอัดใจ ไป๋จื่อกล่าวว่า “ขืนเจ้าจ้องต่อไปเช่นนี้ หนังสือต้องทะลุเป็นรูแน่”
หูเฟิงเหล่มองนางครั้งหนึ่ง แล้วปิดหนังสือดัง ‘ปึง’ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
……….
ตอนที่ 216 ไม่ได้แต่งออกไปทั้งชีวิต
แก้แค้น เขากำลังแก้แค้นอย่างแน่นอน
นางทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“ต้องฝังเข็มแล้ว” นางกล่าวเสียงละมุน
ชายหนุ่มตอบรับเบาๆ เสียงหนึ่ง ยังคงนั่งหลังตรงเหมือนพู่กันดังเดิม ขณะเดียวกันก็หลับตาด้วย
เขาตัวสูงมาก ถึงแม้จะนั่งอยู่ นางยืนอยู่ข้างหลังเพื่อฝังเข็มให้เขา รู้สึกว่าเปลืองแรงมากทีเดียว ต้องเขย่งปลายเท้าถึงจะใช้ได้
วัดด้วยสายตาแล้ว อย่างน้อยน่าจะสูงถึงหนึ่งหมี่แปดเลยทีเดียว
ส่วนสูงของคนผู้หนึ่งจะเพิ่มได้มากถึงเท่าใด ยีนที่ส่งทอดผ่านกรรมพันธุ์เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างแน่นอน ทว่าการดูแลตัวเองในวันข้างหน้าก็สำคัญเช่นเดียวกัน หากไม่ใช่ครอบครัวร่ำรวยเงินทอง จะมีเด็กจากครอบครัวยากจนสักกี่คนกัน ที่จะสูงได้ถึงเพียงนี้
อย่างเช่นเมิ่งหนาน ส่วนสูงของเขาพอๆ กับหูเฟิง พฤติกรรมของทั้งสองคนก็มีจุดที่คล้ายคลึงกันอย่างมาก แม้กระทั่งบางครั้งหูเฟิงก็ดูเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเมิ่งหนาน หิวก็ไม่พูด เหนื่อยก็ไม่บ่น ทุกการกระทำของเขาแตกต่างกับคนในหมู่บ้านอย่างยิ่ง
นางอยากรู้เป็นจริงๆ ว่าแท้จริงแล้วหูเฟิงเป็นใครกันแน่
ก่อนที่ความทรงจำของเขาจะหายไป แท้จริงแล้วเขามีชีวิตอย่างไร เหตุใดผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้ว กลับยังไม่มีใครมาตามหาเขาอีก
ไป๋จื่อกำลังตกอยู่ในภวังค์ ในมือจับเข็มเอาไว้ แต่ยังไม่ได้เริ่มลงเข็มเสียที
ในที่สุดหูเฟิงก็ลืมตา แล้วกวาดสายตามองไป๋จื่อที่ยืนเหม่ออยู่ข้างๆ เขา “เป็นอะไรไป กำลังคิดว่าควรใส่ชุดอะไรไปพบหลานชายของหัวหน้าหมู่บ้านหรือ”
เด็กสาวดึงสติกลับมา “เจ้าพูดมั่วอะไร ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นสักหน่อย”
นางทิ่มเข็มลงไปตรงจุดเฟิงฉือด้านหลังหู “อย่าขยับ” จากนั้นนางก็นำอีกเข็มมาแทงลงตรงจุดเทียนชงเหนือใบหู
หูเฟิงไม่ได้ขยับ แต่ปากกลับไม่หยุดพูด “คิดจะแต่งออกไปเมื่อใด”
ไป๋จื่อไม่สนใจเขา เพียงฝังเข็มต่อ
ชายหนุ่มกล่าวว่า “ได้ยินว่าเดือนหน้าจะมีฤกษ์ดี เหมาะกับการแต่งออกและแต่งเข้า ไม่ใช่ว่ากำหนดเป็นเดือนหน้ากระมัง”
นางยังคงไม่สนใจเขา
“ไม่ใช่เดือนหน้า? หรือว่าจะเป็นเดือนนี้ แต่งออกเดือนนี้ เช่นนั้นไม่รีบร้อนจนเกินไปหรือ?”
“ข้ารู้ว่าคงไม่ง่ายที่จะมีใครยอมแต่งกับเจ้า และเจ้ากลัวเขาจะเสียใจภายหลังกระมัง”
หากทนไม่ได้แล้วจริงๆ เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องทน
ไป๋จื่อแทงเข็มในมือลงไปสามถึงสี่ครั้ง การกระทำนี้ไม่มีประโยชน์ใดต่อร่างกาย ทว่าก็ทำให้เจ็บที่สุดเช่นกัน แม้กระทั่งเจ็บไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย
“เจ้าทำอะไร” แม้จะเป็นหูเฟิงที่มีความอดทนสูง ก็ยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“ใครใช้ให้เจ้าพูดจาเรื่อยเปื่อยกัน หากไม่ให้เจ้าเจ็บเสียบ้าง เจ้าคงคิดว่าข้ารังแกง่ายน่ะสิ”
หูเฟิงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ข้าพูดจาเรื่อยเปื่อยรึ หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าต้องการเป็นพ่อสื่อให้เจ้ากับหลานชายของเขา เจ้าเป็นคนบอกข้าเรื่องนี้เอง”
“เจ้าเป็นหมูหรือ หลานชายของหัวหน้าหมู่บ้านเพิ่งจะอายุสิบหกปี ข้าจะแต่งให้เด็กหนุ่มที่อายุเพียงเท่านั้นได้อย่างไร” ไป๋จื่อกล่าว
ชายหนุ่มตะลึงลานเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อในทันที “ดังนั้น เจ้าไม่ได้ตกลงหรือ”
ไป๋จื่อกลอกตาขาว จนใจเป็นอย่างยิ่ง “เจ้ากำลังพูดจาไร้สาระแล้ว แน่นอนว่าข้าไม่ได้ตกลง อีกอย่าง เจ้าเองก็รู้ชื่อเสียงของข้าในหมู่บ้านหวงถัวดี ทุกคนต่างคิดว่าข้าเป็นแม่ไก่ที่ออกไข่ไม่ได้ แล้วจะให้ข้าไปแต่งงานกับหลานชายของหัวหน้าหมู่บ้านได้อย่างไร เขาเองก็ลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะ ข้าเตือนเขาไปแล้ว เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ ยิ่งไม่จำเป็นต้องคิด”
ใบหน้าที่ขมวดเกร็งของหูเฟิง ในที่สุดก็ปรากฏแววผ่อนคลายขึ้นส่วนหนึ่ง ริมฝีปากที่เม้มไว้เริ่มยกโค้งขึ้นเล็กน้อย “จริงของเจ้า ความอกตัญญูมีอยู่สามประการ ไร้บุตรสืบสกุลนับว่าร้ายแรงที่สุด เรื่องที่เจ้าให้กำเนิดบุตรไม่ได้นี้ อาจจะทำให้เจ้าไม่ได้แต่งออกไปตลอดชีวิตจริงๆ”
ไป๋จื่อไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้นัก “พูดเหมือนมีใครเสียดายที่ข้าจะแต่งออกไปอย่างไรอย่างนั้น ข้าอยู่กับท่านแม่ของข้า อย่างไรก็ดีกว่าแต่งออกไปทำงานต่างวัวต่างม้าไม่ใช่หรือ”