ตอนที่ 31 ผลบัวหิมะ
ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าไร ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงตีนเขา ไป๋จื่อทั้งเหนื่อยทั้งหิว จนเบื้องหนาพร่าเลือนเต็มไปด้วยดวงดาว ไข่ไก่ลูกนั้นที่กินไปเมื่อเช้าย่อยไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว บัดนี้ในท้องว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรทั้งนั้น ปากก็แห้งผากเหมือนถูกจุดไฟเผา
หูเฟิงชี้ไปที่พงหญ้าที่อยู่ไม่ไกลนัก พลางกล่าวว่า “ตรงนั้นมีลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง ไปล้างหน้า ดื่มน้ำสิ”
เมื่อได้ยินว่าน้ำ ไป๋จื่อก็กลืนน้ำลายในทันที แล้วรีบวิ่งไปยังพงหญ้านั้นด้วยความรวดเร็ว ด้านหลังพงหญ้ามีลำธารสายเล็กที่สะอาดเป็นอย่างยิ่งอยู่จริงๆ นางนั่งยองลงวักน้ำขึ้นมาดื่มก่อนหลายอึก ครั้นความกระหายน้ำหายไปแล้วถึงจะล้างหน้า น้ำในลำธารเย็นชื่นใจนัก ทำให้นางกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย จากนั้นนางก็นั่งลงบนพงหญ้าที่อยู่ด้านหลัง ถอนหายใจพร้อมกับกล่าวว่า “หากจับปลาในลำธารนี้ได้สักสองตัวก็คงดี” นางลูบท้องที่ร้องจ๊อกๆ ไม่ยอมหยุด
ขณะนี้หูเฟิงล้างหน้าเสร็จแล้วเช่นกัน เขาลุกขึ้นกล่าวว่า “ไปเถิด ขืนพักต่อไป ตอนเที่ยงก็ขึ้นเขาไม่ได้แล้ว”
ไป๋จื่อถอนหายใจอีกครั้ง ลุกขึ้นอย่างยอมรับชะตากรรม เมื่อกำลังจะก้าวเท้าจากไป สายตาของนางกวาดเห็นพืชที่เอียงล้มเพราะนางเพิ่งนั่งทับเมื่อครู่ ดูแล้วเป็นพืชที่หาได้ทั่วไป ทั้งยังดอกไม้เล็กๆ สีเหลืองอยู่รวมกันหลายดอก คล้ายกับดอกเก๊กฮวยเป็นอย่างยิ่ง และคล้ายกับดอกไม้ป่ามากมายที่เห็นระหว่างทางเช่นกัน
นางยกขาก้าวข้ามไป ทว่าเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ นางก็หยุด “รอเดี๋ยว” นางหมุนตัวโดยพลัน เดินไปข้างๆ พืชที่เอียงล้มต้นนั้น เพื่อมองดูดอกไม้สีเหลืองขนาดเล็กที่คล้ายกับดอกเก๊กฮวยอย่างละเอียด
หูเฟิงก็หมุนตัวกลับไปเช่นเดียวกัน ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “เจ้าอย่าบอกข้านะ ว่าดอกไม้ป่านี่เป็นสมุนไพร”
ไป๋จื่อดมกลิ่นของพืชต้นนั้น ก่อนจะหัวเราะหึๆ “เจ้าเดาถูกแล้ว ดอกไม้นี้เป็นสมุนไพร เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกหมอของพวกเจ้าที่นี่ รู้จักใช้สมุนไพรรักษาโรคชนิดนี้หรือไม่”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วได้รูปสวยเบาๆ “พวกเจ้าที่นี่”
“พูดผิดๆ พวกเราที่นี่” ไป๋จื่อรีบเงยหน้าขึ้นหัวเราะ เพื่อเปลี่ยนประเด็น นางเร่งชี้ไปยังดอกไม้สีเหลือง พร้อมกับกล่าวว่า “ดอกไม้นี้เป็นสมุนไพร รากของมันมหัศจรรย์นัก กินดีนักแล” นางปลดตะกร้าสะพายหลังลงอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบพลั่วเล็กๆ จากข้างในออกมาเริ่มขุด แต่หลังจากขุดไปได้พักหนึ่งแล้วก็หอบหายใจไม่หยุด
หูเฟิงเห็นนางจริงจังมาก ท่าทางไม่เหมือนว่ากำลังล้อเล่น จึงนั่งยองๆ ลงฉวยพลั่วมาจากในมือนาง “เจ้าพักสักหน่อย ข้าจะขุดเอง”
เด็กสาวย่อมขอให้เป็นเช่นนั้น ก่อนจะรีบนั่งลงพักเหนื่อยอยู่ข้างๆ
เขาแรงเยอะนัก ลงพลั่วหนึ่งครั้งเท่ากับไป๋จื่อลงพลั่วสามครั้ง ไม่นานนักก็ขุดจนถึงส่วนราก
หูเฟิงชี้สิ่งที่อยู่ในดินเลน แล้วถามว่า “คือสิ่งนี้หรือ”
ไป๋เฟิงเข้าไปมองใกล้ๆ นางรีบพยักหน้า สีหน้าเบิกบานนัก “ใช่ มันนี่แหละ”
นางยื่นมือไปขุดดินเลน แล้วถอนสิ่งที่เหมือนกับมันเทศสองสามหัวออกมา
ชายหนุ่มถามนาง “นี่คือมันเทศป่าหรือ” สิ่งนี้ดูแล้วคล้ายกับก้อนสีดำที่เขาขุดได้จากการขึ้นเขาเมื่อครั้งก่อนทีเดียว
ไป๋จื่อส่ายหน้า ก่อนจะหยิบหัวหนึ่งไปล้างในลำธาร “นี่เรียกว่ามันเบญจมาศ หรือเรียกว่าผลบัวหิมะ อร่อยมากๆ เจ้าลองชิมดูสิ” นางส่งมันเบญจมาศที่ล้างดีแล้วให้หูเฟิง ส่วนตนเองก็หยิบอีกหัวหนึ่งไปล้าง
หูเฟิงหยิบผลบัวหิมะมาดมดู ทว่าไม่ค่อยหอมนัก จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “นี่กินได้จริงๆ หรือ”
เด็กสาวคร้านจะพูดจาไร้สาระกับเขา นางเองหิวจนแทบไม่ไหวแล้ว กินไปก่อนสักพักค่อยอธิบายกับเขาก็ยังไม่สาย
นางขอกริชจากหูเฟิง จากนั้นก็ปอกเปลือกของผลบัวหิมะทิ้ง ปอกไปพลาง กินไปพลาง หูเฟิงเห็นแล้วก็รู้สึกน้ำลายสอเช่นกัน
ไป๋จื่อยื่นผลบัวหิมะที่ปอกเรียบร้อยและกินไปแล้วครึ่งหนึ่งใส่มือของหูเฟิง “เจ้ากินนี่ก่อน” นางยัดผลบัวหิมะที่เหลือครึ่งหนึ่งใส่มือของอีกฝ่าย แล้วนำหัวที่อยู่ในมือของเขามาปอกเปลือกต่อ
ราวกับภูตผีดลใจ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะหิวจนหน้ามืด เขากัดมันคำหนึ่งโดยที่ไม่คิด และไม่สนว่าบนผลบัวหิมะครึ่งหัวนี้ จะเปื้อนน้ำลายคนอื่นไปแล้วหรือไม่…
……….
ตอนที่ 32 อำพรางที่เกิดเหตุ
เมื่อมันคำหนึ่งเข้าไปในปาก รสชาติหวานสดชื่นจู่โจมปุ่มรับรสของเขาในทันที…ผลบัวหิมะครึ่งหัวนี้ เขากินมันจนหมดเกลี้ยงภายในสองสามคำ
หลังจากกินหมดแล้ว เขาก็ขุดผลบัวหิมะอีกสองลูกจากในหลุมไปล้างในลำธารตามสัญชาตญาณ
ทั้งสองคนนั่งกินอย่างดุเดือดที่ริมลำธารอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง ก็นับได้ว่ากินอิ่มแล้ว
หูเฟิงเก็บกริชขึ้นมา คราวนี้ถึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถามให้ชัดเจนว่าของสิ่งนี้คืออะไร
ไป๋จื่อราวกับรู้ว่าเขาอยากถาม จึงเอ่ยปากก่อน “มันเบญจมาศนี้ หรือเรียกอีกอย่างว่าผลบัวหิมะ กินได้เหมือนกับมันเทศ วางใจเถิด”
ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วหันกลับไปมองผลบัวหิมะที่เหลืออยู่ในดินไม่กี่หัว “ข้าจะขุดอีกหลุมเพื่อนำกลับไป”
“ตอนนี้อย่าเพิ่งขุดเลย ตอนพวกเราลงเขามาค่อยขุด จะได้ไม่ต้องแบกขึ้นเขา เช่นนั้นเหนื่อยนัก” ไป๋จื่อรีบพูด
เขาคิดดูแล้วก็เป็นเช่นนั้น จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นนำติดตัวไปอีกสองสามหัวเถอะ เจ้าล้างสักหน่อย หากพวกเราหิวระหว่างขึ้นเขาจะได้กินอีก” เขาขุดผลบัวหิมะสองสามหัวที่เหลือในดินออกมาพร้อมกัน หลังจากล้างให้สะอาดแล้วก็เสียบลำต้นมันเบญจมาศที่เพิ่งขุดออกมากลับไป จัดการกลบดินเลนที่กระจัดกระจายจนเรียบ ทำเหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่ คนอื่นจะได้ไม่รู้และขุดไป
ไปจื่อยกนิ้วโป้งให้เขา “เยี่ยม อำพรางที่เกิดเหตุเป็นด้วย”
หูเฟิงไม่ได้พูดอะไร หน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มจางๆ
หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็เริ่มขึ้นเขา จากตีนเขาขึ้นไประยะทางหนึ่ง นอกจากหญ้ารกชัฏแล้ว แม้แต่กิ่งไม้ก็มองไม่เห็น อยากจะล่าสัตว์หรือเก็บสมุนไพรดีๆ ยังต้องเข้าไปในเขาลึกกว่านี้ถึงจะใช้ได้
หูเฟิงไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก เขาจึงนำทางนางมาถึงไหล่เขาอย่างชำนิชำนาญ ตั้งแต่ไหล่เขาเป็นต้นไป ทิวทัศน์ระหว่างทางเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ระยะห่างระหว่างต้นไม้ค่อยๆ ถี่ขึ้น กิ่งก้านกระจายตัวไปทั่วทุกที่ ใบไม้ใต้ต้นไม้กองสุมกันหนาหนัก แสงมืดสลัวลงเรื่อยๆ เช่นกัน ราวกับว่าจากป่าเขาธรรมดา เข้าสู่ป่าดึกดำบรรพ์ที่น่ากลัว
นางเข้าใกล้ข้างกายของหูเฟิงตามสัญชาตญาณ มือเล็กๆ จับชายเสื้อของเขาไว้แน่น ดวงตาทั้งสองข้างกวาดมองทั่วทั้งสี่ทิศแปดทางอย่างระแวดระวัง
แต่ไหนแต่ไรหูเฟิงไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้เขา ยิ่งไม่ชอบให้ใครถูกตัวเขา จึงยื่นมือไปคิดจะดันไป๋จื่อออก ทว่าเมื่อเขาเห็นดวงตาตื่นกลัวเจือความตื่นเต้นคู่นั้น เขาก็ค่อยๆ เก็บมือที่ยกขึ้นกลับไป เวลานี้เขาพลันรู้สึกว่า มีเด็กน้อยเกาะติดอยู่ข้างกายเช่นนี้ ความจริงแล้วก็รู้สึกดีทีเดียว
“กลัวหรือ” เขาถามเสียงเบา
นางส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น “ไม่กลัว มีอะไรให้ต้องกลัวกัน”
หลังสิ้นเสียง จู่ๆ ก็มีลมกรรโชกพัดมาจากในป่า ลมพัดม้วนเศษใบไม้ปลิวว่อน รุนแรงหนาวเหน็บจนต้องหรี่ตา
นี่เป็นเพียงลมผ่านป่าธรรมดาสำหรับหูเฟิง ทว่าสำหรับไป๋จื่อที่ไม่เคยเข้ามาในป่าเขาลึกเช่นนี้ นี่กลับเป็นลมปีศาจระลอกหนึ่ง ทำเอานางตกใจกลัวจนต้องโผเข้าใส่หน้าอกของหูเฟิง นางหลับตาปี๋ มือทั้งสองข้างกำเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่น ในสมองเต็มไปด้วยภาพผีสางนางไม้ที่เคยเห็นในโทรทัศน์ก่อนหน้านี้
หูเฟิงมองเด็กสาวที่โผเข้าใส่อกเขาเบื้องหน้านี้ เมื่อครู่ยังบอกว่าไม่กลัวอยู่แล้ว แต่ก็ตกใจกลัวจนกลายเป็นเช่นนี้ในทันที แค่ลมระลอกเดียวเท่านั้น ไม่รู้เลยจริงๆ ว่านางกลัวอะไรอยู่
“จื่อยาโถว…เจ้าบอกว่าไม่กลัวไม่ใช่หรือ”
ไป๋จื่อลืมตา ดวงตากลมโตแบ่งสีดำขาวชัดเจนกลอกไปมารอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าทั้งสี่ด้านเงียบสงบ นอกจากเสียงหัวใจเต้นอันคงที่ของหูเฟิงตรงหน้า ก็ราวกับว่าไม่มีเสียงอื่นใดแล้ว
นางกลืนน้ำลาย สูดหายใจเข้าลึก แล้วเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ผู้ใดบอกว่าข้ากลัว ข้าไม่ได้กลัว เมื่อครู่ข้ากลัวว่าจะมีฝุ่นเข้าตา ก็เลย…ก็เลยหลบสักหน่อย”