ตอนที่ 73 แสงแรกอรุณ
“เวลาไม่ใช่ปัญหา สามปีแล้ว ข้าไม่ถือที่จะต้องรออีกสามปี” หูเฟิงกล่าว ขอเพียงฟื้นความทรงจำได้ ทำให้เขาเจออดีตของตนเอง ถึงจะมากกว่าสามปี เขาก็ยอมรอเช่นกัน
ไป๋จื่อโบกมือ “ไม่จำเป็นต้องถึงสามปีหรอก ตอนนี้ข้าบาดเจ็บไปทั้งตัว แรงกายยังไม่ฟื้นเต็มที่ ข้าคงฝืนทนฝังเข็มให้ไม่ได้ รออีกสักสองสามวันแผลบนร่างกายของข้าหายดีแล้ว แรงกายกลับมาแล้ว ก็เริ่มรักษาได้เลย สุดท้ายแล้วต้องดูว่าใช้เวลาฟื้นฟูเท่าไร ต้องดูว่าประสิทธิภาพการรักษาเป็นอย่างไร ตอนนี้ยังพูดยาก แต่ไม่ต้องใช้เวลานานถึงสามปีแน่นอน”
หูเฟิงพยักหน้า “ตกลง มีอะไรที่ข้าต้องทำ เจ้าบอกข้าได้เลย”
“แน่นอนว่ามีสิ่งที่เจ้าต้องทำ ข้าอยากหายาละลายเลือดอุดตัน เกรงว่าต้องไปที่ภูเขาลั่วอิง สถานที่เช่นนั้นหากไม่มีเจ้าอยู่ด้วย ไหนเลยข้าจะกล้าไป” ไป๋จื่อยิ้มพลางกล่าว
“ไม่มีปัญหา จะไปเมื่อไร บอกข้าสักคำก็พอ” เขาสีหน้าราบเรียบ ทว่าในดวงตากลับเปล่งประกาย ราวกับว่าบนเส้นทางข้างหน้าที่มืดมิดไม่เห็นปลายทาง จู่ๆ ก็ปรากฏแสงแรกอรุณขึ้น
นางเงยหน้ามองเขา สีหน้าจริงจังนัก “หูเฟิง เมื่อวานขอบคุณเจ้ามาก” ไม่ว่าเขาจะช่วยนางด้วยเหตุผลใด นางล้วนขอบคุณเขา ตอนที่นางลำบากที่สุด มีเพียงเขาที่ออกมากำบังอยู่เบื้องหน้านาง ราวกับภูเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่งก็ไม่ปาน
หูเฟิงกวาดสายตามองนางอย่างเรียบเฉยครั้งหนึ่ง ก่อนจะมองเลยนางไป น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นเหนือศีรษะของนาง “ไม่ต้องขอบคุณข้า ข้าเพียงตอบแทนเจ้าล่วงหน้าก็เท่านั้น จำคำสัญญาของเจ้าไว้ก็พอ” เงาร่างของเขาหายไปจากห้องครัว ไม่รู้ว่าไปที่ใด
หลังจากหลิวซื่อไปที่หมู่บ้านไป๋หยางแล้ว ไม่นานนางก็พบครอบครัวที่ยอมจ่ายสิบตำลึงเงินเพื่อแต่งไป๋จื่อ
ชายผู้นั้นเป็นพ่อหม้าย มีนามว่าหยางซื่อเกิน อายุสี่สิบต้นๆ แม้จะไม่นับว่าแก่ ทว่าสำหรับไป๋จื่อแล้ว กลับเป็นอายุที่พอจะเป็นบิดาของนางได้เลยทีเดียว
อีกทั้งคนผู้นี้แต่งภรรยามาแล้วสามครั้ง พวกนางให้กำเนิดลูกสาวสามคน ภรรยาแต่ละคนล้วนถูกเขาตีตายในช่วงอยู่เดือนหลังจากคลอดลูกสาว
เขาขายลูกสาวไปแล้วสองคน และตีตายไปคนหนึ่ง
พูดได้ว่าหยางซื่อเกินเป็นตัวอย่างของบุรุษป่าเถื่อน
ยังมีตัวเลือกอื่นที่กว่านี้แท้ๆ ทว่าหลิวซื่อกลับเลือกหยางซื่อเกิน จิตใจของนางช่างชั่วช้านัก
หยางซื่อเกินผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม ในใจของเขาอยากได้ลูกชายมาโดยตลอด ผู้ใดแต่งให้เขาแล้วให้กำเนิดลูกชายไม่ได้ เช่นนั้นก็นับว่าเป็นโชคร้ายอย่างใหญ่หลวง ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
หลิวซื่อนำเงินสินสอดสิบตำลึงเงินกลับบ้านด้วยความเบิกบานใจ ครั้นเข้าบ้านแล้วก็รีบล็อกกลอนจากด้านใน ด้วยกลัวว่าจู่ๆ นางเด็กน่าตายไป๋จื่อจะกลับมาได้ยินบทสนทนาของพวกนาง
หญิงชรามองเงินสิบตำลึงที่แวววับ นางพลันดีใจจนยิ้มไม่หุบ นับแล้วนับอีกอยู่หลายรอบ มือซ้ายลูบไปมา ขาดก็แต่เพียงแลบลิ้นออกมาเลียสักครั้ง
“ท่านแม่ นี่เป็นเพียงเงินสินสอดเจ้าค่ะ ข้าตกลงกับเขาแล้ว เมื่อส่งคนไปแล้ว เขาจะให้อีกสิบตำลึงเงิน และหากประหยัดค่างานเลี้ยง ค่าเกี้ยว และค่าสามหนังสือหกพิธีการ[1] เขาจะให้พวกเราอีกสองตำลึงเงิน”
ครั้นแม่สามีได้ยินเช่นนี้ จึงกล่าวในทันที “เช่นนั้นก็ประหยัดเถิด เด็กหน้าตายผู้นี้ มีคนต้องการนางก็ไม่เลวแล้ว ยังต้องการสามหนังสือหกพิธีการ และงานเลี้ยงหรือเกี้ยวอะไรนั่นอีก สู้ประหยัดสักสองตำลึงเงินน่าจะดีกว่า”
หลิวซื่อรีบพยักหน้า ยิ้มจนหางตาปรากฏร่องละเอียดเส้นหนึ่ง “ข้าก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
หลังจากหญิงชราดีใจอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ นางก็ถามหลิวซื่ออีก “ได้ตกลงกันหรือยัง ว่าจะส่งนางไปเมื่อใด”
“ตกลงแล้วเข้าค่ะ เขาบอกว่ายิ่งเร็วยิ่งดี สามวันให้หลังให้ส่งนางไปได้เลย” หลิวซื่อกล่าว
หญิงชราพยักหน้า “สามวันก็พอใช้ได้ ถึงตอนนั้นแล้วรอยฟกช้ำบนใบหน้าของนางน่าจะดีขึ้นบ้าง ไม่ถึงขั้นน่าเกลียด”
……….
ตอนที่ 74 ใครปลูก
เวลานี้มีเสียงร้องตะโกนของเจ้าใหญ่ดังมาจากในเรือน “ข้าวเสร็จหรือยัง ข้าหิวจะตายแล้ว”
หลิวซื่อรีบไปดูที่ห้องครัวครั้งหนึ่ง ทว่าหม้อและเตาในนั้นกลับเย็นเฉียบ ไหนเลยจะมีเงาของอาหาร จึงกลับไปที่โถงเรือน กล่าวกับแม่สามีว่า “ท่านแม่ ท่านจัดการน้องสะใภ้ให้ดีหน่อยเถอะเจ้าค่ะ นี่ยามใดเข้าแล้ว เหตุใดยังไม่ทำอาหารอีก”
หญิงชรากล่าว “นางพาเจินจูกลับบ้านแม่ไปแล้ว เจ้าทำอาหารกลางวันแล้วกัน”
ครั้นหลิวซื่อได้ยินดังนั้น นางก็ไม่พอใจในทันที “เหตุใดข้าต้องทำด้วยเล่า? เมื่อวานข้าก็เป็นคนทำ ตกลงกันแล้วว่าวันนี้ถึงตาน้องสะใภ้ นางกลับหลบเลี่ยงขี้เกียจ จะไปเหตุใดไม่ไปตั้งแต่เมื่อวาน”
แม่สามีเก็บพวงตำลึงเงินใส่หน้าอก บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม “ไปแล้วก็ไปเถิด จะได้ประหยัดเสบียงพอดี เจ้ารีบไปทำกับข้าว ไม่ได้ยินสามีเจ้าเรียกหรืออย่างไร? อีกเดี๋ยวเสี่ยวเฟิงน่าจะกลับมาแล้ว จำไว้ว่าต้องต้มไข่ไก่ให้เสี่ยวเฟิงใบหนึ่งด้วย”
หลิวซื่อเห็นแม่สามีระลึกถึงเสี่ยวเฟิงตลอดเวลา ในใจของนางก็นับว่ารู้สึกดีขึ้นบ้าง “เจ้าค่ะ ข้าจะไปทำกับข้าว แต่ไข่ไก่หมดแล้ว แม่ไก่แก่ในบ้านของพวกเราตัวนั้น ไม่ได้ออกไข่มาหลายวันแล้ว”
นางเปิดประตูใหญ่ เห็นในลานบ้านไม่มีใคร นางจึงกล่าวอีก “นางเด็กไป๋จื่อก็ยังไม่กลับมา เกรงว่ากลางวันนี้คงจะไม่มีผักให้กิน”
หลิวซื่อชำเลืองมองตรงอกเสื้อตุงๆ ของแม่สามี จู่ๆ ก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านแม่ เมื่อวานบ้านของหลี่ซื่อฆ่าหมูตัวหนึ่ง วันนี้จะส่งไปขายในเมือง คิดดูแล้วยังเหลืออยู่มาก พวกเราไปเฉือนเนื้อมาทำอาหารสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
หากพูดเช่นนี้ในเวลาปกติ ให้ตายอย่างไรหญิงชราก็ไม่ยอม ทว่าวันนี้ต่างออกไป วันนี้หลิวซื่อนำรายได้สิบตำลึงเงินกลับมา และยังมีสิบสองตำลึงเงินรอนางอยู่ ในใจนางปลื้มปริ่มนัก ก่อนจะนึกได้ว่าในบ้านไม่ได้กินเนื้อสัตว์มานานมากแล้วจริงๆ อีกทั้งจางซื่อและเจินจูก็ไม่อยู่ เฉือนหมูสามชั้นสักสองชั่งมา พวกนางทั้งครอบครัวน่าจะพอกิน
คิดถึงตรงนี้ นางพลันหมุนกายเข้าเรือน เก็บสิบตำลึงเงินในอกใส่หีบเงิน ก่อนจะหยิบทองแดงพวงหนึ่งออกมาจากข้างใน จากนั้นก็นำออกไปส่งให้หลิวซื่อ “นี่ห้าสิบเหวิน นำไปซื้อเนื้อหมูสักสองชั่ง หากเหลือก็ซื้อไข่ไก่สักสองสามฟอง ไปสิ”
หลิวซื่อดีใจยกใหญ่ รีบรับเงินห้าสิบเหวิน พลางกลืนน้ำลายลงลำคออย่างแรง ราวกับเนื้อผัดไฟแดงวางอยู่เบื้องหน้านางแล้ว
เจ้ารองเข้ามาจากด้านนอก เขาเห็นภาพนี้พอดี จึงยิ้มไม่หุบเช่นกัน “ท่านแม่ วันนี้ดวงอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นทางตะวันตกกระมัง เหตุใดถึงให้พวกเราซื้อเนื้อกินเล่า”
หญิงชรามองตาขวางใส่เขาครั้งหนึ่ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พูดเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยซื้อเนื้อให้พวกเจ้ากิน” นางมองเจ้ารองตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นเสื้อผ้าบนตัวเขาสะอาดสะอ้าน ไม่เห็นมีหยาดเหงื่อหรือน้ำโคลนสักนิด รองเท้าก็สะอาดเหมือนไม่ได้ออกไปข้างนอก
สีหน้าของหญิงชราหม่นลงในทันที นางไม่พอใจยิ่งนัก “เจ้าไม่ได้ไปที่นาหรือ”
เจ้ารองทำหน้าตาราวกับว่าสมควรเป็นเช่นนั้น “ข้าจะไปที่นาคนเดียวได้อย่างไร แม้แต่ผู้ช่วยสักคนก็ไม่มี”
แม่สามีโมโหจนอยากจะหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาตีเขาสักยก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรชายของตน ไหนเลยจะตัดใจตีได้ลงคอ “เจ้าพูดจาไร้สาระอะไร? เหตุใดจะไปที่นาคนเดียวไม่ได้? ทั้งยังต้องการผู้ช่วยอีก? ตอนจ้าวหลานไม่ได้บาดเจ็บ นางก็ไปที่นาคนเดียว และไม่เห็นว่าจะมีคนไปเป็นผู้ช่วยนางเลย!”
เจ้ารองเชิดหน้าตอบ “จ้าวหลานก็คือจ้าวหลาน ข้าก็คือข้า ท่านนำข้าไปเปรียบกับจ้าวหลานได้อย่างไร อีกอย่างเรื่องนี้ต้องโทษท่าน หากท่านไม่ได้ตีจ้าวหลานจนบาดเจ็บ เกรงว่างานในที่นาคงจะเป็นนางที่ทำจนเสร็จ ยังต้องให้พวกเรากังวลใจหรือ?”
[1] สามหนังสือหกพิธีการ เป็นวัฒนธรรมการแต่งงานของคนจีน ‘สามหนังสือ’ ล้วนเป็นหนังสือสำคัญที่ฝ่ายชายต้องมอบให้ฝ่ายหญิง ได้แก่ เทียบหมั้น เทียบสินสอด เทียบเชิญเจ้าสาว ส่วน ‘หกพิธีการ’ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติหกอย่างของบ่าวสาว หลังจากตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน ได้แก่ ทาบทาม ถามชื่อ ดูสมพงษ์ หมั้น ดูฤกษ์ รับตัวเจ้าสาว