คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา – ตอนที่ 139 บั้นท้ายเปลือยยังน่าดู / ตอนที่ 140 ตกใจเพราะสุนัข

ตอนที่ 139 บั้นท้ายเปลือยยังน่าดู

เมื่อกลับถึงหมู่บ้านหวงถึง ก็เลยเวลากินอาหารกลางวันมาแล้ว หลังจากขนข้าวสารและแป้งลงมาจากบนรถ เสื้อผ้าบนตัวของหูเฟิงก็ถูกเหงื่อจนเปียกโชกไปหมด

ลุงหูให้เงินค่ารถกับลุงหลิวคนบังคับรถถึงสองเท่า ความไม่พอใจของเขาหายไปเป็นปลิดทิ้ง จึงลากรถเทียมวัวจากไปด้วยความดีใจ

“หูเฟิง ไปเช็ดเหงื่อและเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างหลังไป เหงื่อแตกทั้งตัวแล้ว” ท่านลุงหูมองหูเฟิงด้วยความเอ็นดู พลางต่อว่าตนเองว่าเหตุใดมือนี้ยังไม่หายดี ถึงได้ช่วยอะไรไม่ได้

หูเฟิงตอบรับเสียงหนึ่ง แล้วกลับหลังหันไปที่ลานด้านหลัง คราวนี้ลุงหูถึงถามไป๋จื่อว่า “จื่อยาโถว เจ้าซื้อข้าวกับแป้งมาทำอะไรเยอะแยะ สองสิ่งนี้พวกเรากินทั้งปีก็อาจจะยังกินไม่หมดด้วยซ้ำ”

หูจ่างหลินรู้จักนิสัยของไป๋จื่อ นางไม่ใช่เด็กที่จะทำซี้ซั้ว ยิ่งไม่ใช่เด็กที่มีเงินแล้วจะใช้จ่ายเรื่อยเปื่อย แต่นางซื้อข้าวและแป้งมาทำอะไรมากมาย ต้องรู้ไว้ว่าของเช่นข้าวและแป้ง หากทิ้งไว้นานเกินไปจะมีพวกแมลงเกิดขึ้นมา เช่นนั้นไม่เท่ากับสิ้นเปลืองหรอกหรือ

ไป๋จื่อยิ้มกล่าว “ท่านลุงหู ข้าซื้อข้าวและแป้งมากมายเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อกินเท่านั้น ข้าได้ยินมาว่าทางใต้เกิดน้ำท่วมใหญ่ ผู้ประสบภัยมากมายล้วนมุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหยวนแล้ว ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะมีคนน่าสงสารไร้บ้าน ไร้เสบียงอาหารให้กินมากเท่าไร ถึงเวลานั้นแล้ว พวกเราช่วยได้สักหน่อยก็ควรช่วยเจ้าค่ะ ไม่อาจมองคนหิวตายได้กระมัง”

“อีกอย่าง ตอนที่พวกข้าสร้างบ้าน ต้องมีคนงานทำงานในหมู่บ้านไม่น้อยแน่ ถึงตอนนั้นจะขาดการจัดหาข้าวให้พวกเขากินไม่ได้ ดังนั้นข้าถึงได้ซื้อมามากหน่อยเช่นนี้”

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง หลักๆ คือนางอยากใช้การตาต่อตา ฟันต่อฟันสั่งสอนเถ้าแก่ร้านเสบียงอาหารนั่น เรื่องนี้ไม่อาจพูดกับลุงหูได้ ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เขาย่อมไม่เห็นด้วยเป็นแน่

“เอาล่ะ ข้าจะไปล้างหน้าเหมือนกัน ท้องก็หิวแล้วด้วย” นางวิ่งไปพร้อมรอยยิ้ม ลุงหูจะได้ไม่ถามอะไรอีก

เมื่อมาถึงล้านด้านหลัง หูเฟิงกำลังถือผ้าเช็ดตัวอยู่ ท่อนบนที่เปลือยเปล่าเหมือนกับรูปสลักที่ตั้งไว้ให้คนเรียนวาดรูปในโรงเรียนวาดรูปนั้น มีริ้วกล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบจนเหมือนกับถูกคนใช้มีดตัด ไม่มีเนื้อส่วนเกินแม้สักนิดเดียว เอวแคบไหล่กว้างในกางเกงขายาวที่ถูกน้ำจนเปียกชุ่ม ยิ่งขับเน้นส่วนสะโพกของเขาให้ชวนหลงใหลจนน้ำลายสอ…

รอยแดงใต้ไหล่ข้างขวาเตะตาอย่างยิ่ง…ภาพตอนที่เขาโอบนางไว้ในอ้อมกอด แล้วใช้หลังของตนเองรับอิฐก้อนนั้นแทนนาง ปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง

เขาขวางอยู่เบื้องหน้านางราวกับภูเขาสูงใหญ่อีกครั้ง

หูเฟิงหันมา เห็นไป๋จื่อยืนตะลึงลานอยู่ในลานบ้าน จึงอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้า “ทำไม ไม่เคยเห็นบุรุษเปลือยไหล่หรือ”

ไป๋จื่อหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย นางกลอกตามองเขาครั้งหนึ่ง “ใครว่าไม่เคยเห็น ข้าเห็นมาเยอะแล้ว เปลือยไหล่มีอะไรน่าดูกัน เจ้าเก่งจริงก็เปลือยก้นให้ข้าดูเลยสิ!”

ครั้นพูดออกไป นางก็ถึงรู้สึกเสียใจภายหลัง เสียใจอย่างยิ่งยวด คำพูดเช่นนี้ หากล้อเล่นกับเพื่อนร่วมงานในยุคปัจจุบันกลับไม่เป็นอะไร ไม่มีใครคิดจริงจัง

แต่ที่นี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน…

ดังคาด หูเฟิงมีสีหน้าตะลึงงัน ก่อนจะย้อนถามว่า “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ”

นางรีบส่ายหน้า “ข้าไม่ได้พูดอะไร เมื่อครู่ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น” นางหมุนเตรียมวิ่งไป เหมือนกระต่ายอย่างไรอย่างนั้น พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

หูเฟิงกะพริบตา ก่อนจะขยี้หูอีกเล็กน้อย เมื่อครู่เขาไม่ได้ฟังผิดกระมัง น่าจะไม่ได้ฟังผิดกระมัง…

ไป๋จื่อวิ่งกลับไปที่เรือนไม้โดยตรง แม้แต่ข้าวก็ไม่กินแล้ว

หูจ่างหลินเดินไปทางลานด้านหลัง ในปากบ่นว่า “เด็กคนนี้ ปากพูดว่าหิวมาก แต่ตอนนี้กลับวิ่งหายไปแล้ว หูเฟิง เจ้ายังตะลึงอะไรอยู่ที่นี่ รีบไปกินข้าว กินเสร็จแล้วก็เอาไปให้จื่อยาโถวสักหน่อยด้วย”

………..

ตอนที่ 140 ตกใจเพราะสุนัข

หูเฟิงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดที่ห้อง ก่อนจะนั่งกินข้าวตรงหน้าโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน แล้วถึงจะยกข้าวกลางวันที่หูจ่างหลินเตรียมไว้เรียบร้อยไปที่เรือนไม้ด้านหลัง

ไป๋จื่อกำลังตากผ้าที่เพิ่งซักเสร็จ ครั้นเห็นหูเฟิงมา สีหน้าของนางก็เจือสีแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ดวงตารีบมองไปทางอื่น นางกระแอมก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ามาทำอะไร”

ชายหนุ่มกวาดสายตามองเรือนไม้ จ้าวหลานไม่รู้ว่ากำลังยุ่งกับอะไรอยู่ในเรือน ถึงได้ไม่เห็นตัวนาง เขาเดินไปข้างหน้า ในแววตาฉายแววขบขันเข้มข้น จากนั้นกล่าวเสียงเบา “ข้าก็มาส่งข้าวให้เจ้าน่ะสิ ไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้ หรือเจ้าอยากทำอะไร”

ใบหน้าของไป๋จื่อยิ่งร้อนผ่าว นางแย่งจานและถ้วยจากในมือของเขา กล่าวพร้อมกับคอแข็งๆ “ข้าอยากทำอะไรก็จะทำอย่างนั้นได้หรือ เจ้าจะเชื่อฟังเช่นนั้นได้จริงๆ หรือไร”

หูเฟิงยักไหล่ สองมือกอดอก ความขบขันในแววตาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ “เช่นนั้นต้องดูว่าความต้องการที่เจ้าร้องขอเหมาะสมหรือไม่ เจ้าลองพูดมาสิ”

เด็กสาวกัดริมฝีปาก ก่อนจะก้าวเข้าไปยกเท้าขึ้นเหยียบเท้าของเขาอย่างแรง “ข้าต้องการให้เจ้าไสหัวไป เดี๋ยวนี้”

แม้จะถูกนางเหยียบเท้า แต่เรียวคิ้วของเขาไม่ได้ขมวดแม้แต่น้อย ขาเล็กๆ จากตัวเล็กๆ ของนางเช่นนี้ เหยียบเข้าแล้วไม่ต่างอะไรกับยุงกัด ไม่เจ็บเลยสักนิด

“อย่าลืมเกี๊ยวมื้อเย็น”

ไป๋จื่อไม่สนใจเขา เพียงปิดประตูดัง ‘ปัง’ เท่านั้น

“เป็นอะไรไป โกรธใครมาหรือ” จ้าวหลานวางเข็มและด้ายในมือ แล้วเงยหน้ามองบุตรสาว

บุตรสาวส่ายหน้า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ แค่ตกใจกลัวสุนัขเห่าเท่านั้น ไม่มีอะไร”

จ้าวหลานมองนางครั้งหนึ่ง “เจ้าก็โตถึงเพียงนี้แล้ว จะยังกลัวสุนัขเห่าได้อย่างไร ข้ายังคิดว่าเจ้ากล้าหาญเสียอีก”

เด็กสาวหยิบหมั่นโถวในจานขึ้นมากัดเข้าปากคำหนึ่ง คราวนี้จึงพูดไม่ค่อยรู้เรื่องนัก “ความจริงข้าไม่กลัวหรอกเจ้าค่ะ แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ มันจะร้องขึ้นมา ข้าจึงตกใจกลัว”

เบื้องหน้าของนางปรากฏใบหน้าที่คล้ายยิ้ม แต่ว่าไม่ยิ้มของหูเฟิง…นางอยากจะตีปากของตนเองสักครั้ง เหตุใดถึงพูดเช่นนั้นกับบุรุษผู้หนึ่งได้ แล้วเขาควรจะคิดอย่างไรกับนาง

ที่นี่ไม่ใช่ศตวรรษที่ยี่สิบสาม ไม่มีใครเห็นคำพูดพรรค์นี้เป็นเรื่องตลก…

มารดาสิ เกลียดปากนี้ของตนเองเสียจริง

อาจจะเป็นเพราะทำงานทั้งเช้าจนเหนื่อยเกินไป ครั้นกินข้าวเสร็จนางจึงรู้สึกง่วงยิ่งนัก หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายในทันที ลืมเรื่องน่าอายเมื่อครู่นี้ไปจนหมดสิ้น

จ้าวหลานช่วยนางห่มผ้าบางๆ พลางมองบุตรสาวนอนหลับอย่างสงบ นางรู้สึกว่าความลำบากที่ได้รับมาสิบปีนี้ ล้วนคุ้มค่าแล้ว

ยามเซิน[1] เรือนไม้ถูกเคาะเสียงดัง จ้าวหลานรีบวางเข็มและด้ายในมือลง แล้วรีบไปเปิดประตู

เงาร่างสูงใหญ่ของหูเฟิงยืนอยู่ด้านนอก เขากล่าวกับจ้าวหลานว่า “จื่อยาโถวเล่า”

จ้าวหลานชี้ไปที่ด้านใน “ยังหลับอยู่ มีอะไรหรือ”

หูเฟิงมองตามนิ้วมือของจ้าวหลานไป เห็นเพียงคนบนเตียงเหมือนจะไม่ได้ยินเสียง พลิกตัวนอนต่ออย่างไม่สบายตัว ผ้าห่มบางๆ ที่อยู่บนหน้าท้องไหลลงมากองบนพื้น มือของนางดึงทับในใต้เสื้อผ้าขึ้นมาช่วงหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ เผยให้เห็นเอวอรชรขาวละมุน

แววตาของหูเฟิงเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะละสายตาไปอย่างรวดเร็ว พูดเสียงเบาว่า “จื่อยาโถวบอกว่าเย็นนี้จะทำเกี๊ยว ท่านปลุกนางขึ้นมาทำเถอะ เย็นเกินไปจะทำไม่ทัน”

จ้าวหลานเห็นบุตรสาวของตนเองเสียกิริยาเช่นกัน จึงรีบตอบรับไป “ได้ ข้าจะปลุกนางเดี๋ยวนี้ เจ้ากลับไปก่อนเถิด”

ครั้นหูเฟิงหมุนตัวจากไปแล้ว นางก็รีบปิดประตู แล้วสาวเท้าเข้าไปที่ข้างเตียง เพื่อดึงเสื้อผ้าให้บุตรสาวจนเรียบร้อย แล้วค่อยดันไหล่ของเด็กสาวเบาๆ “จื่อเอ๋อร์ ตื่นเร็ว”

ไป๋จื่อสะลึมสะลือพึมพำออกมาอยู่หลายคำ “ไอ้หยา ให้ข้านอนอีกสักหน่อยเถอะ อีกครู่เดียว!”

[1] ยามเซิน เท่ากับเวลาประมาณ 15:00 – 17:00 น.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset