ตอนที่ 157 ขุดผักป่า
หลิวซื่อรีบโบกมือ “ท่านแม่ บ้านข้ามีสถานการณ์อย่างไร ท่านใช่ว่าจะไม่รู้ แล้วข้าจะเอ่ยปากกับพวกเขาได้อย่างไรเจ้าคะ พวกเขายังคิดจะมายืมที่บ้านเราอยู่เลย”
จางซื่อเห็นว่าพูดเรื่องแยกบ้านไปก็ไม่มีหวัง จึงทำได้เพียงเก็บความคิดนี้เอาไว้ก่อน เรื่องนี้ยังต้องพูดกันอีกยาว และถ้าหากตั้งใจทำแล้ว บนโลกนี้ก็ไม่มีเรื่องใดที่ยาก ไป๋จื่อและจ้าวหลานก็แยกบ้านออกไปจากสกุลเฮงซวยนี้แล้ว มีชีวิตที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ช้าก็เร็วนาง จางซูเหมยก็จะต้องทำให้ได้สมดังใจเช่นกัน
หญิงชรามองตาขวางใส่หลิวซื่อ ลอบต่อว่านางว่าไร้ประโยชน์เสียครั้งหนึ่ง
ดวงตาหลายคู่ในบ้านมองไปที่หญิงชรา รอนางตัดสินใจ
ในบ้านไม่มีข้าวและน้ำมัน อย่างไรก็ต้องคิดหาทางนำข้าวมาให้ได้สักหน่อย ถ้าไม่ยืมก็ต้องซื้อมา
หญิงชราเสียดายเศษเงินเล็กน้อยในกล่องนั้น ทั้งหมดรวมกันแล้วยังไม่ถึงสองตำลึงด้วยซ้ำ นางเก็บหอมรอมริบมาตั้งนานอย่างยากลำบาก หากจะให้นางนำออกมาใช้ นั่นไม่ต่างอะไรกับเฉือนเนื้อของนางเลย
นางโบกมือ “ไม่มีข้าวแล้วอยู่ไม่ได้หรือไร ไปขุดผักป่า ขุดมามากหน่อย พวกเรากินผักป่าก็เหมือนกันแหละ ใช่ว่าไม่เคยกินเสียที่ไหน”
จางซื่อกลับไม่สนใจ ถึงอย่างไรทุกคนล้วนเหมือนกัน ไม่ได้มีใครอยู่ดีกว่าใครทั้งนั้น
ไป๋เสี่ยวเฟิงถอนใจเสียงหนึ่ง แล้วหมุนตัวกลับไปที่ห้องของตนเอง เขาต้องไปทบทวนบทเรียน จะต้องสอบได้ระดับซิ่วไฉ จะต้องได้เป็นจู่เหริน[1] จะต้องได้เป็นขุนนาง มีเพียงแต่เป็นเช่นนั้น เขาถึงจะหลุดออกจากชีวิตที่ยากจนจนทำให้ชีวิตแทบบ้าพรรค์นี้
ไป๋ต้าเป่าก็อยากจะปลีกตัวไป ทว่าจางซื่อผู้มีสายตาเฉียบแหลมกลับเรียกเขาไว้ “ต้าเป่า เจ้าจะไปไหน”
หลิวซื่อเห็นต้าเป่าทำสีหน้าเลิ่กลั่ก จึงรีบพูดช่วยบุตรชาย “ต้าเป่าจะไปที่ไหนแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าไม่มีลูกชายต้องดูแลหรือ เหตุใดต้องมายุ่งกับลูกของคนอื่นด้วย”
จางซื่อแค่นหัวเราะ “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะทำงานอะไร พวกเราสองบ้านต้องแบ่งกันทำอย่างยุติธรรม อย่าได้คิดว่าจะเป็นเหมือนเมื่อก่อน พวกเจ้าบ้านใหญ่ไม่ทำอะไรสักอย่าง ก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะทำให้ อย่าได้คิดจะกินข้าวโดยไม่ทำอะไรเลย อีกอย่างนะ ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องง่ายๆ อย่างนั้นหรอก เมื่อก่อนมีจ้าวหลานเป็นวัวเป็นม้าให้ ยอมให้พวกเจ้าเรียกใช้ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีจ้าวหลานแล้ว ในบ้านก็ไม่มีคนที่สามารถเรียกใช้ได้ตามใจชอบเช่นนั้นได้อีกเช่นกัน”
หลิวซื่อเท้าสะเอวเตรียมจะเปิดศึก แต่หญิงชรากลับดับไฟสงครามที่กำลังคุกรุ่นนี้ทิ้งเสีย “ขืนพวกเจ้าทะเลาะกันต่อไป วันนี้คงจะต้องหิวอีก มีเวลาก็ไปขุดผักป่ามาสักหม้อหนึ่ง อย่าเอาแต่ทะเลาะกัน ไปกันทั้งหมด ขอเพียงขยับได้ ก็ไปกันให้หมด”
เจ้าใหญ่รีบกล่าว “มือของข้าขยับไม่ได้ ข้าไปไม่ไหว”
ไป๋ต้าเป่าเอามือกุมท้อง ร้องโอดโอยว่าปวดท้อง ร้องไปพลาง วิ่งไปยังเพิงหญ้าคาไปพลาง
หลิวซื่อรีบไปยืนข้างๆ เจ้าใหญ่ “ข้าต้องดูแลเจ้าใหญ่ ไปไม่ได้”
สายตาของหญิงชราเลื่อนไปมองใบหน้าของหลิวซื่อ “เช่นนั้นพวกเจ้าบ้านรองก็ไป ทั้งบ้านล้วนแข็งแรงดี ไม่เหมือนพวกเขา สภาพย่ำแย่อย่างกับผีไปทั้งบ้าน”
จางซื่อยิ้มเย็นไม่พูดจา เจ้ารองรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งจิตใจ ส่วนไป๋ฟู่กุ้ยโมโหจนฟันหระทบกัน นี่ชัดเจนแล้วว่าเป็นการรังแกพวกเขาบ้านรอง
นางกล่าวว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นพวกข้าบ้านรองจะไป แต่จะขุดมาได้หรือไม่ก็พูดยาก พวกท่านรออยู่ที่บ้านก็แล้วกัน”
ครั้นกล่าวจบ จางซื่อก็ขยิบตาให้เจ้ารอง ฟู่กุ้ย และเจินจูครั้งหนึ่ง ก่อนจะสะพายตะกร้าออกไปพร้อมกันทั้งครอบครัว
ในใจของหญิงชรารู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง เหตุใดเห็นสายตาของจางซื่อแล้วถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางเดินตามไปหลายก้าว แล้วตะโกนบอกเจ้ารองว่า “เจ้ารอง รีบกลับมาหน่อยนะ แม่หิวแล้ว”
เจ้ารองไม่ได้ตอบรับ และไม่ได้หันกลับมามองนาง เมื่อพวกเขาเดินไปไกลแล้ว เขาถึงเร่งตามจางซื่อจนทัน ก่อนจะรีบถามภรรยา “ภรรยา พวกเราจะไปขุดผักป่ามาให้พวกเขากินจริงหรือ”
……….
ตอนที่ 158 เมิ่งหนานกลัวเสือ
จางซื่อแค่นหัวเราะ “พวกเขาช่างหน้าหนาเสียจริง ล้วนแต่พักผ่อนยู่ในบ้าน คิดจะให้ข้าตากแดดขุดผักป่าให้พวกเขาอย่างนั้นหรือ”
เจ้ารองไม่เข้าใจ “เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะไปที่ใดกัน”
“พวกเราไปขุดผักป่าก่อน ขุดให้มากหน่อย ถึงเวลาพวกเรานำมันไปไว้ที่บ้านพี่ชายข้าทั้งหมด ส่วนพวกเราก็กินเสียครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครั้งหนึ่งใช้แลกกับโจ๊กขาวที่บ้านพี่ชายข้าสักหน่อย พวกเราจะไม่มีใครต้องเหนื่อยโดยไม่ได้กินข้าวทั้งนั้น”
ฝ่ายสามีร้องอ๋อเสียงหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ยินยอมอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด ในเมื่อจะไปกินข้าวที่บ้านพี่ชายของนาง เช่นนั้นไปเลยก็ได้ไม่ใช่หรือ เหตุใดยังต้องไปขุดผักป่า อากาศร้อนเช่นนี้ หนทางก็แสนไกล
จางซื่อกับเจ้ารองเป็นคู่ชีวิตกันมาสิบกว่าปี จะไม่รู้นิสัยของเขาหรืออย่างไร แค่หัวคิ้วของเขาขยับเล็กน้อย นางก็รู้แล้วว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“เจ้ารอง ตั้งแต่พวกเจ้าไล่จ้าวหลานที่เป็นเหมือนวัวเหมือนม้าของสกุลไป๋ เจ้าก็รู้ว่าย่อมมีวันที่เสบียงอาหารของพวกเราหมดลง สกุลไป๋ ไปจนถึงสกุลจางของพวกข้า ไม่มีใครจะอยากเลี้ยงคนไม่ทำงานอย่างใจกว้างหรอกนะ หากจะกินก็ต้องลงมือด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหิวไปเรื่อยๆ”
ระหว่างเดินอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ร้อนระอุ พวงแก้มของไป๋เจินจูถูกแดดจนปวดแสบปวดร้อน ผิวที่เดิมทีไม่นับว่าขาว หลังจากกลับไปต้องดำยิ่งกว่าเดิม “ถ้ามีรถม้านั่งก็คงดี”
เจ้ารองก็ถอนใจเสียงหนึ่ง “หากรู้ว่าจะมีวันนี้ ข้าต้องเตรียมตัวไว้ก่อนแน่ และหากพวกเราสกุลไป๋ไม่ได้ไล่จ้าวหลานและไป๋จื่อออกไป รถม้าที่ใต้เท้าเมิ่งส่งมาในวันนี้ ย่อมต้องเป็นของพวกเราสกุลไป๋ใช่หรือไม่ ออกจากบ้านนั่งรถม้า น่าเกรงขามทีเดียว!”
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเสียใจในภายหลัง น่าเสียดายที่บนโลกนี้แต่ไหนแต่ไรไม่มียาใดรักษาอาการเสียใจในภายหลังเช่นนี้ได้
…
ภูเขาลั่วอิง
ไป๋จื่อให้องครักษ์จินถอนรถม้าออกก่อน จากนั้นผูกม้าสี่ตัวไว้ใต้ร่มไม้ แล้วถึงใช้ถังเล็กๆ ที่เตรียมไว้บนรถมาตักน้ำให้พวกมันดื่ม พวกมันจะได้ไม่ต้องทรมานใต้ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแผดเผาเช่นนี้
เมิ่งหนานมองป่าเขามืดครึ้มและหนาทึบตรงหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วถาม “พวกเจ้าจะเข้าป่าไปทำอะไร ล่าสัตว์หรือ”
เด็กสาวส่ายหน้า “ข้าต้องหาสมุนไพรชนิดหนึ่ง ตอนมาครั้งก่อนเห็นเข้า พวกเราอยู่แค่รอบนอก ไม่จำเป็นต้องเข้าไปด้านในลึกๆ วางใจเถอะเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเมิ่งหนานไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก “ใคร ใครบอกว่าข้าไม่วางใจ ก็แค่เข้าไปในป่า ข้าดูเหมือนกลัวรึ” เขากลืนน้ำลายอย่างแรง แม้บนใบหน้าจะยังฝืนให้สงบนิ่งไว้ได้ แต่ความตื่นกลัวในแววตากลับฉายชัดออกมาตั้งนานแล้ว
องครักษ์จินหัวเราะคิกคัก “คุณชายวางใจเถอะขอรับ มีข้าอยู่ทั้งคน ถึงมีเสือตัวใหญ่กระโจนเข้ามา ข้าก็ฆ่ามันได้ในกระบี่เดียว ปกป้องคุณชายให้รอดปลอดภัยได้แน่”
“เฮ้ย…พูดไร้สาระอะไรของเจ้า สถานที่เช่นนี้จะมีเสือได้อย่างไร เจ้าขู่ข้าให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ถึงจะมีจริงๆ ข้าก็ไม่กลัว” หน้าขาของเขาเหมือนจะสั่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
“จริงหรือขอรับ หากถึงตอนนี้ข้าจะคอยดูท่าทางของคุณชาย!” คุณชายผู้นี้อะไรล้วนดีทุกอย่าง ทว่ามีจุดอ่อนอยู่เรื่องหนึ่งคือ ‘กลัวเสือ’ เมื่อหลายปีก่อน อย่าว่าแต่เห็นเสือตัวจริงแล้ว แค่มีคนพูดถึงมันต่อหน้าเขา เขาก็กลัวจนหน้าซีดเผือดไปหมดแล้ว
หลายปีนี้อาจจะเป็นเพราะอายุมากขึ้นหน่อย สีหน้าจึงดูเหมือนว่าไม่กลัวเท่าเช่นเมื่อก่อน แต่เขารู้ดีว่าในใจคุณชายยังคงกลัวเสืออยู่
ไป๋จื่อเห็นเป็นเรื่องตลก “ที่แท้ท่านก็กลัวเสือนี่เอง!”
เมิ่งหนานถลึงตามองนางครั้งหนึ่ง “พูดเหมือนเจ้าไม่กลัวอย่างนั้นแหละ”
เด็กสาวยักไหล่ “ข้าก็ไม่รู้ว่าข้ากลัวหรือไม่ เสือที่ข้าเคยเห็นก่อนหน้านี้ล้วนถูกขังอยู่ในกรง เชื่องยิ่งนัก ลูบขนของมันแล้วก็ไม่ร้องคำราม ข้าจึงไม่รู้ว่าเสือที่อยู่ในป่าเป็นอย่างไร”
หูเฟิงมองนาง เลิกคิ้วถาม “เจ้าเห็นคนขังเสืออยู่ในกรงที่ใด”
[1] จู่เหริน (举人) แปลตรงตัวได้ว่า “ผู้ได้รับการแนะนำ” ถือเป็นผู้ที่สอบผ่านการคัดเลือกบัณฑิตระดับมณฑล