บทที่ 6
จี้หรานรีบบึ่งรถกลับบ้าน ทันทีที่เข้ามาในหมู่บ้านก็เห็นรถเบนซ์สีดำจอดอยู่หน้าบ้านของเขา
จี้หรานผ่อนคันเร่งโดยไม่รู้ตัวแล้วขับไปจอดข้างๆ รถเบนซ์คันนั้น เขาลดกระจกลงแล้วหันไปเรียกคนที่นั่งอยู่บนเบาะหลังโดยมีกระจกสีดำทึบกั้นอยู่
“คุณย่า”
ไม่มีการตอบกลับใดๆ จากเบาะหลัง มีเพียงหน้าต่างฝั่งคนขับที่ลดลง คนขับรถเอ่ย “คุณชายเล็กจี้ คุณเปิดประตูโรงรถก่อนดีกว่าครับ ข้างนอกลมแรง ผมเกรงว่าคุณท่านจะไม่สบาย”
จี้หรานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะขับรถไปข้างหน้าเล็กน้อย หลังจากสแกนป้ายทะเบียนเสร็จ ประตูโรงรถก็ค่อยๆ เปิดออก
รถเบนซ์สีดำขับเข้าไปในโรงรถนำหน้าเขา
จี้หรานจอดรถให้เรียบร้อย ก่อนลงจากรถก็นึกอะไรขึ้นได้ เขารีบหยิบซองบุหรี่ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วโยนลงไปบนเบาะ ในที่สุดประตูรถสีดำคันข้างๆ ก็เปิดออกพร้อมกับหญิงชราคนหนึ่งที่ก้าวลงมาอย่างช้าๆ
เส้นผมของหญิงชราเป็นสีขาว เครื่องแต่งกายสุภาพเรียบร้อย อากัปกิริยาเต็มไปด้วยความสง่างาม เธอเงยหน้าขึ้นมองเสื้อผ้าบนตัวจี้หราน ขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
คนทั้งคู่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว จี้หรานเรียกเธออีกครั้งด้วยความเคารพ “คุณย่า”
ถ้าถามว่าในตระกูลจี้มีใครเอาใจใส่เขาบ้าง คำตอบก็คงมีเพียงคุณหญิงจี้คนเดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีเธอ ตอนนี้เขาคงเป็นนักเลงหัวไม้จนๆ ที่ไม่มีการศึกษาและไร้ญาติขาดมิตร
จี้หรานไม่ใช่คนไม่รู้คุณคน เขาอกตัญญูกับทุกคนในตระกูลจี้ได้ แต่มีเพียงคุณย่าเท่านั้นที่เขาไม่อาจละเลย
คุณหญิงจี้ตอบรับเบาๆ “เข้าไปคุยข้างในเถอะ”
ในห้องรับแขก คุณหญิงจี้นั่งหลังตรงพลางจิบชาจากขวดเก็บความร้อนที่พกมาเอง
“ไม่ได้เจอกันหลายปี แกสูงขึ้นแล้ว”
“คุณย่าครับ เราไม่ได้เจอกันเจ็ดปีแล้ว” จี้หรานหัวเราะและเตือนความจำเธอด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้สนิทสนมนัก
คุณหญิงจี้พยักหน้า “เจ็ดปีแล้ว แต่แกก็ไม่เคยไปเยี่ยมย่าที่ไห่เฉิงสักครั้ง”
คุณหญิงจี้ย้ายออกจากหม่านเฉิงเมื่อเจ็ดปีก่อน แล้วไปตั้งรกรากในเมืองที่อากาศเย็นสบายทุกฤดูอย่างไห่เฉิง
จี้หรานยิ้มโชว์ฟันขาว “ก็ผมยุ่งนี่ครับคุณย่า”
คุณหญิงจี้รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นข้ออ้าง หลานชายความลับเยอะคนนี้ของเธอ ตอนเรียนก็สร้างความปวดหัวให้ครูบาอาจารย์ พอเรียนจบก็ไม่หางานหาการทำ นอกจากใช้เงินและเที่ยวเล่นจะมีเรื่องอะไรให้ยุ่งกัน
เธอถาม “หลายปีที่ย่าย้ายออกไป แกกลับบ้านบ้างหรือเปล่า”
จี้หรานเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางเกียจคร้าน “ย่าถามอะไรแบบนั้นครับ ผมก็กลับบ้านทุกวันนี่ไง”
“แกนั่งให้ดีๆ สิ” คุณหญิงจี้ขมวดคิ้ว “แกก็รู้ว่าย่าหมายถึงอะไร”
พอพูดถึงตระกูลจี้ จี้หรานก็หมดความอดทนทันที “ย่าครับ ย่าบอกมาตรงๆ เถอะครับว่าวันนี้ย่ามาหาผมทำไม”
คุณหญิงจี้ถอดผ้าคลุมไหล่วางลงข้างๆ “ศุกร์นี้เป็นงานหมั้นของพี่ชายแก จัดที่บ้านใหญ่ตรงชานเมือง แกต้องไปร่วมงานด้วย”
ความจริงแล้วเรื่องนี้จะให้ใครมาบอกก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยตัวเอง แต่เป็นเพราะเรื่องของผู้ใหญ่ สองพี่น้องจี้เหวยจี้หรานจึงถูกกำหนดให้ไม่ลงรอยกันตั้งแต่เด็กๆ ถ้าให้คนอื่นมาบอกก็กลัวว่าจี้หรานจะไม่ไป
บังเอิญเธอเพิ่งลงจากเครื่องและผ่านมาทางนี้พอดีก็เลยแวะเข้ามา
ได้ยินดังนั้นจี้หรานก็ทำเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อยและหมุนโทรศัพท์ที่ยังไม่ได้ปลดล็อคเล่น เขารู้สึกคันไม้คันมือและอยากสูบบุหรี่ชะมัด
คุณหญิงจี้เห็นเขาไม่พูดอะไรก็เอ่ยต่อ “นี่เป็นเรื่องสำคัญของตระกูล มีสื่อหลายสำนักมาร่วมงาน ยังไงแกก็ต้องไปให้ได้”
ในยุคอินเตอร์เน็ตแบบนี้ ไม่ว่าสิทธิมนุษยชนจะสำคัญแค่ไหน ก็ไม่สามารถปกปิดเรื่องราวของคนใหญ่คนโตได้ การมีตัวตนของจี้หรานไม่ได้เป็นความลับตั้งนานแล้ว ถ้าวันนั้นเขาไม่ไปร่วมงาน เกรงว่าจะมีข่าวลืออีกว่า “ตระกูลจี้ปฏิบัติกับลูกนอกสมรสอย่างโหดร้าย”
“จี้หราน…”
“รู้แล้วครับ” จี้หรานเอ่ยแทรกด้วยรอยยิ้ม “ผมจะไป”
พอเห็นเขาตอบตกลงง่ายๆ แบบนี้คุณหญิงจี้กลับอึ้งไป
หลานชายที่ไม่ได้เจอกันหลายปีของเธอคลี่ยิ้มอย่างน่าเอ็นดูพร้อมสัญญาอีกครั้ง “งานสำคัญขนาดนี้ผมจะพลาดได้ยังไง คุณย่าไม่ต้องกังวลครับ ผมจะไปที่นั่นตรงเวลาแน่นอน”
“นายจะไปงานหมั้นพี่ชายจริงๆ เหรอ!” เย่วเหวินเหวินตกใจ
“อือ” จี้หรานนั่งไขว้ห้างบนโซฟาพลางเท้าคางมองเพื่อนรักอย่างเอือมระอา
เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องเข้าร้านทำเล็บที่แม้แต่วอลเปเปอร์ยังเป็นลาย Hello Kitty สีชมพู
“ดอกไม้ตรงนี้วาดให้ใหญ่ๆ หน่อยนะ” เยว่เหวินเหวินกำชับช่างทำเล็บ
“แค่นิ้วนิ้วเดียวนายยังสั่งให้วาดใหญ่ๆ แน่จริงทำไมไม่ให้ช่างวาดผึ้งลงไปด้วยเลยล่ะ” จี้หรานกลอกตา “เอาดีๆ นายมาทำเล็บทำไม”
“คืนนี้จะมีงานกี่เพ้า… โอ๊ย พูดไปผู้ชายแบดๆ แบบนายจะไปรู้เรื่องอะไรยะ!” เยว่เหวินเหวินเอ่ยต่อ “แล้วนายชวนฉันออกมาที่นี่ทำไม ซื้อชุด? ใช่สินะ งานแบบนั้นต้องใส่สูทล่ะสิ นายมีหรือยังล่ะ”
“มีแล้ว” จี้หรานแค่นหัวเราะ “ย่าฉันส่งทั้งหมดมาให้แล้ว” คงกลัวว่าการแต่งตัวของเขาจะทำให้คนในตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า
เยว่เหวินเหวินสงสัย “งั้นวันนี้นายมาห้างทำไม นายเกลียดการช้อปปิ้งจะตายไม่ใช่เหรอ”
“ฉัน…” จี้หรานชะงักไปครู่หนึ่งแล้วยกมือขึ้นลูบผมบริเวณเหนือใบหู “ตอนนายทำผมสีขาว นายทำร้านไหน”
เยว่เหวินเหวิน “อยู่ชั้นบน ทำไม นายจะทำผม อย่าบอกนะว่านายจะตัดอันเดอร์คัต กรี๊ด เริ่ดมาก!”
จี้หรานขี้เกียจคุยเรื่องไร้สาระกับอีกฝ่าย เขาลุกขึ้น “ฉันขึ้นไปก่อนนะ”
“โอเค ทำเล็บเสร็จเดี๋ยวฉันขึ้นไปหา”
ช่างที่ทำเล็บให้เยว่เหวินเหวินคือเจ้าของร้าน ทันทีที่จี้หรานเดินออกไปเธอก็กระซิบเบาๆ
“เสี่ยวเหวินเหวิน ทำไมนายไม่บอกก่อนว่าจี้หรานจะมา วันนี้ฉันจะได้แต่งตัวให้สวยๆ หน่อย”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะมา” เยว่เหวินเหวินมองอีกฝ่าย “และเธอก็เลิกคิดไปได้เลย จี้หรานไม่ชอบผู้หญิง”
เจ้าของร้านตะลึง “หา เขาก็เป็น…”
“ใช่” เยว่เหวินเหวินกระพริบตา “ดูไม่ออกใช่ไหมล่ะ”
“ก็ดูไม่ออกน่ะสิ” เจ้าของร้านอุทาน “พระเจ้า ผู้ชายหล่อๆ ตกเป็นของพวกนายไปหมดแล้ว แต่ฉันไม่มีเลยสักคน”
เยว่เหวินเหวินส่ายศีรษะโดยมีต่างหูแกว่งไกวตามไปด้วย “อย่าๆๆ ไม่ใช่ฉันหรอก”
“ทำไมล่ะ จี้หรานยังหล่อไม่พออีกหรือไง นายไม่ชอบเขางั้นเหรอ” เจ้าของร้านเริ่มชวนนินทา “งั้นเขาเคยคบใครมาก่อนไหม”
“พวกเราสนิทกันมาก และฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาก็เลยไม่ได้ลงมือ” ระหว่างรอเล็บแห้งเยว่เหวินเหวินก็กรีดกรายนิ้วไปด้วย “แล้วก็ไม่นะ เสี่ยวหรานหรานของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องจะตาย ถึงจะบอกว่าชอบผู้ชาย… แต่ผ่านมาตั้งหลายปี ฉันก็ไม่เคยเห็นเขาคบใครเลย”
ลวดลายบนเล็บเยว่เหวินเหวินมีความซับซ้อน ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ถึงทำเสร็จ
เขาเดินเข้าไปในร้านทำผม หลังจากคุยเล่นหยอดเจ้าของร้านเสร็จก็ถามขึ้น “เอ๊ะ แล้วจี้หรานล่ะ”
เจ้าของร้าน “อยู่ข้างใน เพิ่งลงสีรอบแรกเสร็จ กำลังล้างผมอยู่”
เยว่เหวินเหวินชะงักฝีเท้า “…ลงสี?”
ฉินหม่านส่งรถให้เด็กจอดรถแล้วมองเข้าไปในงาน
บริเวณสวนของบ้านใหญ่มาก ตกแต่งด้วยลูกโป่งและดอกไม้มากมาย ด้านข้างยังแขวนรูปคู่สุดหวานชื่นของเจ้าของงานเอาไว้ ด้านล่างเวทีเต็มไปด้วยกล้องถ่ายรูปและสื่อมวลชนหลายสำนักที่กำลังรีบจับจองที่นั่ง
วันนี้เป็นงานหมั้นของจี้เหวย ลูกชายคนโตของตระกูลจี้ จี้เหวยส่งการ์ดเชิญให้พวกเขาตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้ว
“ฉินหม่าน” จี้เหวยที่กำลังต้อนรับแขกหน้างานมองเห็นเพื่อนสนิทอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรีบขอตัวกับแขกแล้วเดินไปหาฉินหม่าน “ฉันยังกังวลว่านายจะไม่มาอยู่เลย”
“จะเป็นไปได้ยังไง” ฉินหม่านยิ้มบางๆ ชุดสูทสีดำสนิทเพิ่มความน่าเกรงขามให้ฉินหม่านขึ้นไปอีก พอยืนอยู่ตรงนั้นจึงดูสะดุดตากว่าจี้เหวยที่แต่งตัวอย่างประณีตเสียอีก
เขาส่งกล่องของขวัญในมือให้จี้เหวย “ของขวัญงานหมั้น ยินดีด้วย”
“ขอบใจ ลำบากนายแล้ว” จี้เหวยรับของขวัญมา “บ้านนาย… นายไม่เป็นไรใช่ไหม”
ฉินหม่าน “ไม่เป็นไร”
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้อยู่จีนเลย เพิ่งรู้เรื่องเมื่อไม่นานนี้เอง” จี้เหวยตบไหล่เขา “เรื่องมันผ่านมาแล้วก็ปล่อยไปเถอะ ฉันคงไม่พูดอะไรมาก เอาเป็นว่าต่อไปมีอะไรให้ช่วยก็บอกฉันได้เลย”
เมื่อนักข่าวรอบๆ เห็นฉินหม่านก็รีบถือไมค์และเครื่องบันทึกเสียงเตรียมปรี่เข้ามาสัมภาษณ์
ฉินหม่านตอบรับเบาๆ “ฉันเข้าไปก่อน นายต้อนรับแขกต่อเถอะ”
“เดี๋ยว เอ่อ…” จี้เหวยกระแอมเบาๆ “ที่นั่งของนายอยู่โต๊ะหลัก อย่าไปผิดล่ะ”
ฉินหม่านเลิกคิ้ว ตอนที่กำลังจะถามอะไรบางอย่างนั้น
“พี่ชาย”
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นที่ด้านหลัง ทั้งสองคนรีบหันไปยังต้นเสียงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คือใคร มุมปากฉินหม่านก็ยกขึ้นอย่างห้ามไม่ได้…
จี้หรานยืนอยู่ข้างหลังเขา อีกฝ่ายสวมสูทสีดำเข้ารูป เอวคอดที่รับกับเรียวขายาวดูสง่างาม เมื่อประกอบกับใบหน้างดงามไร้ที่ติ จึงดูเหมือนเจ้าชายผู้เลิศล้ำอันเป็นที่รักของใครหลายๆ คน
แต่เส้นผมสีเขียวโดดเด่นที่สะท้อนกับแสงไฟนั้น กลับทำให้อีกฝ่ายดู… เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
เมื่อเห็นฉินหม่าน จี้หรานก็ชะงักไปเช่นกัน แต่ก็เรียกสติคืนมาได้อย่างรวดเร็วแล้วยิ้มใสซื่อให้จี้เหวยที่กำลังยืนขมวดคิ้วแน่น “ยินดีด้วยนะพี่ชาย”