ฟางเหยียนก้าวเท้าเข้ามาใกล้คนไม่กี่คนนั้นทีละก้าว ๆ เจ้าอ้วนหวาดกลัวจนผุดเหงื่อเม็ดโตเต็มศีรษะ เขาหยิบปืนออกมาหนึ่งกระบอกอย่างตึงเครียด เล็งไปที่ฟางเหยียนแล้วร้องตะโกนว่า “หยุดนะ แก… แก ๆ ๆ แกจะทำอะไรน่ะ?”
ตอนที่เขาพูดนั้นราวกับลิ้นพันกัน ถือปืนตัวสั่นไม่หยุด เมื่อกี้คนพวกนั้นล้วนแต่ใช้ปืนกลมือกันทั้งหมด ห้าร้อยกว่าคนตายกันหมดแล้ว ตอนนี้ตัวเองถือแค่ปืนพกหนึ่งกระบอก เห็นได้ชัดว่าอ่อนแอเพียงใด
เนื้อบนใบหน้าของพี่อ้วนสั่นไม่หยุด เขาชี้ไปที่ฟางเหยียนตัวสั่น ๆ แล้วเอ่ยว่า “แกอย่าเข้ามานะ แกเข้ามาอีกละก็ฉันจะยิง ฉันจะยิงแล้วนะ!”
ฟางเหยียนมองพี่อ้วน เขายังคงเดินไปข้างหน้าด้วยอย่างสบาย ๆ จ้องเขาแล้วถามว่า “เมื่อกี้เป็นแกใช่ไหมที่ลงมือกับเมียฉัน?”
พี่อ้วนสั่นไปทั้งตัว พูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ว่า ไม่… ไม่ใช่ผมนะ คุณดูผิดแล้ว เป็นเขา!”
เขายกมือขึ้นมาชี้ไปที่เจ้าผอมที่อยู่ข้าง ๆ เจ้าผอมโดนชี้แบบนั้นก็ชะงักไปสิบวินาทีแล้วจึงเรียกสติกลับมาได้ เขากล่าวว่า “พี่อ้วน พี่ป่วยหรือเปล่า? ฉันไม่ค่อยสนใจผู้หญิงเท่าไหร่หรอกนะ ร่างกายของฉันไม่สมบูรณ์”
พี่อ้วนยังอยากจะพูดอะไรออกมาอีก แต่ฟางเหยียนพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาหนึ่งประโยคว่า “แกมานี่ซะ!”
พี่อ้วนสะบัดร่างกาย เขากวาดตามองศพที่นอนอยู่บนพื้น แล้วก็มองชายหน้าบากที่ถูกตีหัวจนแหลกละเอียด แล้วก็มองปืนในมือ ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขาทั้งหมดนี้เห็นได้ชัดว่าเกินความจำเป็น
“แกคงไม่คิดว่าถือปืนกระบอกหนึ่งแล้วจะคุกคามฉันได้ใช่ไหม?” เสียงเคาะให้ตัดสินใจครั้งสุดท้ายของฟางเหยียนทำลายความหวังครั้งสุดท้ายของพี่อ้วนจนหมดสิ้นไป
ปืนไม่สามารถคุกคามอะไรเขาได้จริง ๆ ปืนกลมือห้าร้อยกระบอกก็ยังสร้างการคุกคามอะไรต่อเขาไม่ได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับปืนพกที่ตัวเองถือกันล่ะ เข้าร้องไห้เต็มใบหน้า ทิ้งปืนในมือไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ก้าวเท้าเดินไปทางฟางเหยียน เอ่ยว่า “ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำอย่างนั้นจริง ๆ ทั้งหมดนั่นคุณหนูใหญ่ตระกูลเซียวเป็นคนสั่งให้ผมทำ ที่จริงแล้ว… ที่จริงผม… ผมเป็นแค่สวะคนหนึ่ง ไม่คุ้มค่าให้คุณฆ่าหรอก ถ้าหากคุณฆ่าผมแล้ว เรื่องแดงออกไป จะไม่ดีต่อชื่อเสียงของท่านนะครับ”
พี่อ้วนพูดไปพลางคุกเข่าลงไปบนพื้นดังตุบ น้ำตาก็รินไหลลงมาตามกรอบหน้า
ต่อหน้าความตาย ไม่มีใครไม่หวาดกลัว ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่มักจะพูดว่าอย่างมากก็แค่ตายก็ยังหวาดกลัวความตาย
สำหรับการกระทำของพี่อ้วน ฟางเหยียนเจอมาจนชินมาตั้งนานแล้ว
ตอนที่ฆ่าคนในสนามรบก็ทำให้คนหวาดกลัวจนร้องขอชีวิตมาไม่น้อย
เขากดตามองพี่อ้วน ยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของพี่อ้วนอยู่พักหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “แกวางใจเถอะ ฉันไม่ฆ่าแกหรอก เพราะว่าฆ่าแกแล้ว จะเป็นการเอาเปรียบแกเกินไป ฉันจะให้แกได้มีชีวิตอยู่ อยู่แบบเทียบไม่ได้แม้แต่หมาหนึ่งตัว”
พูดจบเขาก็เอ่ยถาม “เมื่อกี้แกใช้มือข้างไหนตบเมียฉันนะ?”
พี่อ้วนได้ยินคำนี้ก็รู้แล้วว่าเขาจะตัดมือของตนเองทิ้ง ตัดมือเขาทิ้งแล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์แล้วสิ? เขารีบร้องขึ้นทันทีว่า “อย่านะครับ ท่านผู้อาวุโส เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”
“มือข้างไหน?!” น้ำเสียงของฟางเหยียนเข้มขึ้นแล้ว น้ำเสียงฟังดูแข็งกร้าวเป็นอย่างยิ่ง
พี่อ้วนกลืนน้ำลายลงไปหนึ่งอึก ในใจก็คิดว่าไม่ถูกทำลายคงไม่ได้ แต่ว่าถูกตัดแขนไปข้างหนึ่งก็ยังดีกว่าตายเยอะเลย เขายื่นมือข้างซ้ายออกไป ร้องไห้พลางเอ่ยว่า “ข้างนี้ครับ!”
“ฉัวะ!” เพิ่งจะยกมือขึ้นก็เห็นแสงของดาบแวบผ่านมือของเขาไป เห็นเพียงเลือดกระเด็นออกมา แล้วก็มีเสียงดังผลุบดังตามมา มือข้างซ้ายของพี่อ้วนก็ตกลงสู่พื้น จากนั้นก็เป็นเสียงร้องอ๊ากอย่างน่าเวทนา
ฟางเหยียนลงมืออย่างเหี้ยมโหดเป็นอย่างยิ่ง แทบจะทำลายมือของพี่อ้วนให้สิ้นซาก ร่างกายอ้วนท้วมของเขากลิ้งอยู่บนพื้นหนึ่งตลบ เขาเจ็บปวดทรมานจนอวัยวะบนใบหน้าบิดเบี้ยวเข้าหากัน
แต่เขาก็กัดฟันทนความเจ็บปวดทรมานนั้นด้วยความยากลำบาก คุกเข่าอยู่บนพื้น โขกหัวแล้วพูดกับฟางเหยียนว่า “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่ไว้ชีวิต!”
แค่ตัดมือข้างซ้ายข้างหนึ่ง ยังมีมือข้างขวา อย่างน้อยเขาก็ยังมีมือข้างขวา
“เดี๋ยวก่อน!” หัวเขาเพิ่งจะถึงพื้น ก็ถูกฟางเหยียนเรียกเอาไว้ก่อน
“แกคงจะไม่คิดว่าฉันแค่จะตัดมือข้างหนึ่งของแกหรอกนะ?” คำพูดของฟางเหยียนแทงเข้ามาในใจของเขาเหมือนกระบี่คม ๆ เล่มหนึ่ง ใบหน้าอ้วน ๆ ของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความหวาดกลัว
ฟางเหยียนเอ่ยเสียงเยียบเย็นว่า “แกคิดว่าฉันตาบอดเหรอ? ที่แกใช้ตบเมียฉัน ไม่ใช่มือข้างซ้าย!”
พูดจบ ฟางเหยียนก็ยกมือข้างขวาของพี่อ้วนขึ้นมา เขาเอ่ยว่า “ที่แกใช้ตบเมียฉัน เป็นมือข้างขวาสินะ?!”
พี่อ้วนใช้มือข้างขวาจริง ๆ เขาไม่ได้ถนัดซ้าย เขาปกป้องมือข้างขวาเอาไว้ด้วยความเห็นแก่ตัวล้วน ๆ ถ้าหากต้องเลือกมือข้างหนึ่งจริง ๆ แน่นอนว่าต้องเลือกมือข้างขวา
เห็นฟางเหยียนยกมือข้างขวาของเขาขึ้นมา เหงื่อเย็นของเขาก็ไหลออกมาโดยตรง “ขอร้องล่ะ ขอร้องล่ะ อย่าตัดมือข้างขวาของผมอีกเลยนะ ผมยอมรับว่าผมเห็นแก่ตัว ผมใช้มือข้างขวาตบภรรยาของคุณจริง ๆ แต่ถ้าหากคุณตัดมือข้างขวาของผมจริง ๆ ชาตินี้ทั้งชาติของผมก็จบสิ้นแล้ว ขอร้องคุณล่ะ…”
ฟางเหยียนหัวเราะเหอะ ๆ เสียงเย็นออกมาพลางเอ่ยว่า “ไร้เดียงสา! ฉันเคยพูดว่าไม่ฆ่าแก แต่ไม่เคยพูดว่าจะให้แกมีชีวิตอยู่เหมือนคนคนหนึ่ง แกคิดว่าแค่ตัดมือข้างหนึ่งของแกทิ้งไป แกก็จะเป็นเหมือนกับหมาอย่างนั้นใช่ไหม?”
พี่อ้วนนิ่งไปอย่างทึ่มทื่อไปโดยสิ้นเชิง!
“อ๊ากกกกก!” ฟางเหยียนทำการกระทำเดียวกันอีกครั้ง มืออีกข้างหนึ่งของพี่อ้วนร่วงลงมา แต่เลือดยังไม่ไหลออกมา เพราะการกระทำของฟางเหยียนนั้นเร็วเกินไป มือของเขาร่วงลงมาสิบวินาทีเต็ม ๆ เลือดถึงจะเริ่มพุ่งออกมา
ใบหน้าของพี่อ้วนเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน ลงไปดิ้นอยู่กับพื้นทั้งตัว มือทั้งสองข้างถูกทำลายทิ้งไปแล้ว โชคดีที่การสำเร็จโทษของตนสิ้นสุดลงแล้ว ที่โชคดีก็คือตัวเองยังไม่ตาย ไม่ได้ตาย!
แต่ในตอนที่เขาคิดว่าทั้งหมดได้จบลงแล้วนั่นเอง ฟางเหยียนก็พูดออกมาอีกหนึ่งประโยคที่ทำให้เขาตกใจกลัวอย่างถึงที่สุดว่า “ฉันจะได้ว่าคนที่ลงไม้ลงมือกับเมียของฉันในคลิปก็คือแกใช่ไหมล่ะ? ในเมื่อแกคิดว่าตัวแกเองเป็นผู้ชาย ถ้าอย่างนั้นก็อย่าได้เป็นผู้ชายอีกต่อไปเลย”
“อะไรนะ?” พี่อ้วนข่มกลั้นความเจ็บปวดทรมานไว้แล้วตะโกนคำนั้นออกมา โดยไม่รอให้เขามีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็รู้สึกได้ว่าบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ระหว่างขาของตัวเองได้ตกลงมา
ในตอนนี้พี่อ้วนเกร็งไปทั้งร่าง สลบไสลไม่ได้สติไปในทันที
ถูกตัดมือทั้งสองข้าง แล้วยังถูกตัดเครื่องสืบทอดวงศ์ตระกูลอีก ตอนนี้พี่อ้วนมีชีวิตอยู่อย่างทรมานยิ่งกว่าตายแล้ว
พวกเขาผิดไปแล้ว ผิดที่ไม่ควรจะไปแหย่ปีศาจร้ายเช่นนี้
เห็นฉากปีศาจร้ายนี้แล้วเจ้าผอมก็รู้ว่าถึงตาของเขาแล้ว ขอร้องอ้อนวอนไปก็ไม่มีประโยชน์ มีทางเดียวก็คือตาย พอคิดถึงตรงนี้แล้วเขาก็รีบวิ่งเข้าไปอยู่ด้านข้างของเย่ชิงหยู่ที่ได้สลบไปแล้ว หยิบปืนพกขึ้นมาจ่อเข้าไปที่ศีรษะของเย่ชิงหยู่
ถึงแม้ว่าเขากำลังเอาปืนจ่ออยู่ที่ศีรษะของเย่ชิงหยู่ แต่ในใจของเขาก็สั่นระรัว มือก็สั่น พูดด้วยอาการตัวสั่นงก ๆ เงิ่น ๆ ว่า “แกเก่งมากก็จริง แต่อีนี่ไม่ได้เก่งเหมือนแก ฉันไม่ขออะไรเลย ขอแค่ให้แกปล่อยฉันไป ตั้งแต่นี้ไปฉันจะหายไปจากเมืองจินโจว ไม่ปรากฏตัวออกมาอีกตลอดไป ไม่อย่างนั้นละก็ ถ้าแกให้ฉันตาย ฉันก็จะเอาอีนี่ไปตายด้วย”
ฟางเหยียนส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่า “นี่แกกำลังข่มขู่ฉันอยู่งั้นเหรอ?”