เธอพูดพลาง ลากฟางเหยียนไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก
เธอเพิ่งจะนึกถึงเฉิงฉู่ จึงได้ถามไปว่า “เอ้อ ใช่ แล้วเฉิงฉู่ล่ะ?”
ฟางเหยียนกล่าว “เขากลับไปแล้ว พูดว่าชิงหยู่ไม่เป็นไรงั้นก็ขอตัว”
“อ๋อ!” จางเจียวเจียวตอบไปอย่างธรรมดา จากนั้นก็อธิบายว่า “ความจริงแล้วพวกเธอเป็นเพื่อนสมัยเรียนกัน แกก็เห็นอยู่ ว่าเฉิงฉู่ก็พอมีฐานะ แต่ลูกสาวฉันชอบแก”
ฟางเหยียนไม่พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มแหยๆไป
จางเจียวเจียวลังเลสักพัก แล้วเปลี่ยนเป็นท่าทีที่อึดอัด ครุ่นคิดอยู่นานแล้วจึงกล่าวออกมาว่า “บางเรื่อง ฉันจ้องพูดกับแกให้ชัดเจน”
ฟางเหยียนพยักหน้าแล้วกล่าว “ว่ามาครับ คุณน้าจาง! ผมกำลังฟังอยู่”
จางเจียวเจียวลังเลหลายวินาที เหมือนกับเป็นเรื่องใหญ่อะไรประมาณนั้น สุดท้าย ภายใต้การรอคอย จางเจียวเจียวเหมือนตัดสินใจได้แล้ว จึงกล่าว “แม้ฉันจะไม่รู้ว่าพวกแกทั้งสองคนไปทำอะไรมาเมื่อคืน แต่น้าจางมองแกเป็นลูกคนหนึ่งมาโดยตลอด ตั้งแต่แกเข้ามาในตระกูลเย่ของเรา ฉันก็มองแกเป็นลูกคนของตัวเอง ตอนนี้แกแต่งงานกับชิงหยู่อีก เป็นลูกเขยฉันเข้าไปอีก”
ประโยคนี้ที่จางเจียวเจียวพูดนั้นจริง ตั้งแต่ฟางเหยียนเข้ามาในตระกูลเย่ เธอปฏิบัติต่อฟางเหยียนเหมือนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเอง เหมือนกับเย่เทียน ปฏิบัติกับฟางเหยียนเหมือนเป็นลูกคนหนึ่ง
ฟางเหยียนพยักหน้าตอบรับ จางเหยียนกล่าวต่อ “บางทีมีบางเรื่อง ไม่มีใครสอนแก ไม่มีใครเคยบอกแก ดังนั้นแกอาจจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ตอนนี้น้าจางจะพูดกับแก เรื่องแกกับชิงหยู่”
“พวกแกทั้งคู่ครั้งแรกหรือเปล่า?” ถามจบ จางเจียวเจียวก็หน้าแดง
ฟางเหยียนชะงัก ยังไม่ทันเข้าใจ จางเจียวเจียวก็พูดต่อ “ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ พวกแก ควรที่จะเตรียมตัวกันก่อน จะหน้ามืดตามัวไม่ได้ ไม่งั้นชิงหยู่ก็คงไม่สลบไม่ตื่นแบบนี้หรอก แกนะ ต้องเป็นเพราะไปเป็นทหาร อยู่ในกองทัพไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น จึงได้เป็นแบบนี้ ความจริง ไม่น่าใจร้อนขนาดนั้นเลย บางเรื่อง ใจร้อนไม่ได้หรอกนะ ต้องใจเย็นๆ ฉันพูดแบบนี้กับแก แกเข้าใจมั้ย?”
ฟางเหยียนในตอนนี้ค่อนข้างงงงวยแล้วจริงๆ แต่ก็ยังเสแสร้งว่าเข้าใจพยักหน้ากล่าว “เข้าใจครับ!”
เฟ็นฟางเหยียนพยักหน้า จางเจียวเจียวยกมือขึ้นแล้วจับฟางเหยียน แล้วกล่าวอย่างชี้แนะอย่างจริงจังว่า “ฟางเหยียน ความจริงฉันเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกแกทั้งสอง ฉันก็หวังอยากให้พวกแกมีลูกให้เร็วที่สุด แบบนี้ฉันก็จะไม่เบื่อแล้ว เรื่องนี้ ฉันไม่ได้พูดกับชิงหยู่เพียงครั้งเดียว แต่เรื่องแบบนี้ ต้องใจเย็นๆ อย่าบ้าบิ่น”
สุดท้ายฟางเหยียนก็ฟังรู้เรื่องแล้วบ้าง ที่แท้เธอก็คิดว่าเย่ชิงหยู่ทำเรื่องนั้นจนสลบไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ้มอย่างทำให้คนวางใจออกมา ยกมือขึ้นมาไปจับมือนั้นของจางเจียวเจียวไว้ แล้วกล่าว “ผมรู้แล้วครับ คุณน้าจาง!”
พูดถึงจุดนี้ ในห้องก็มีเสียงของเย่ชิงหยู่ดังออกมา “ฟางเหยียน!ฟางเหยียน”
ได้ยินเสียงของเย่ชิงหยู่ จางเจียวเจียวรีบลูกขึ้น เดินไปที่ห้อง
ฟางเหยียนก็ยืนขึ้นตามหลังจางเจียวเจียวไป!
มาถึงในห้อง เย่ชิงหยู่ลืมตาขึ้น เธอรู้สึกหัวหนักๆ มึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นจางเจียวเจียว เธอจึงรีบถามว่า “แม่ แล้วฟางเหยียนล่ะ?”
“ผมอยู่นี้!” ไม่รอให้จางเจียวเจียวตอบใดๆ ฟางเหยียนได้ก้าวมาข้างหน้า ปรากฏกายต่อสายตาของเย่ชิงหยู่
แว็บนั้นที่เห็นฟางเหยียน เย่ชิงหยู่จึงโล่งอก ในจิตใต้สำนึกของเธอ เกิดอะไรบางอย่างขึ้นกับฟางเหยียน ถึงแม้จะจำไม่ได้แล้ว แต่เธอจำได้ว่าเป็นเรื่องที่อันตรายเรื่องหนึ่ง
ตอนนี้เห็นฟางเหยียนที่สมบูรณ์ไม่บาดเจ็บใดๆยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง ก็เป่าปากโล่งอกยาวๆ
นี่เป็นผลจากการที่ฟางเหยียนให้เธอกินยา ถ้าไม่ใช่เพราะยาตัวนั้น เธอจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้อย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นแบบนี้เธอก็จะได้รับการกระตุ้น ดังนั้นฟางเหยียนใช้ยาตัวนี้ไปกดประสาทเธอเอาไว้ ให้เธอค่อยๆรื้อฟื้นความเจ็บ
แบบนี้ก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ของเธอไว้ได้ ต่อให้นึกออก ก็จะไม่ได้รับการกระตุ้นมากขนาดนั้น นี่ถือเป็นการรักษาจิตเวชชนิดหนึ่งแบบแพทย์แผนปัจจุบัน แน่นอน ว่านี่ก็เป็นเทคนิคการแพทย์ของอาจารย์ของฟางเหยียน
“ชิงหยู่ ลูกโอเคแล้วใช่มั้ย?” จางเจียวเจียวถามอย่างร้อนรน
เย่ชิงหยู่ส่ายหัวแล้วกล่าว “ไม่เป็นไรค่ะ แม่ ก็แค่รู้สึกมึนๆนิดหน่อย”
จางเจียวเจียวชะงัก อุทานออกมาแล้วกล่าว “ลูกนะ แม่ก็แค่พูดไปงั้นๆ ลูกไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นเลย ดูพวกแกสิ เมื่อคืนก่อเรื่องแบบนี้ไว้ แม่ล่ะเป็นห่วงแทบตาย”
จู่ๆเย่ชิงหยู่ก็นึกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนออก เหมือนเธอจะถูกคนจับตัวเรียกค่าไถ คนนั้นเป็นคุณหนูของตระกูลเซียว
สายตาเธอเปลี่ยนไป ฟางเหยียนรีบกล่าวว่า “คุณน้าจาง ชิงหยู่ไม่เป็นไร คุณน้าไปทำน้ำมาให้เธอสักแก้วนะ”
เย่ชิงหยู่เหมือนจะเข้าใจความหมายของฟางเหยียน ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวว่า “ใช่ค่ะ แม่ รีบไปเอาน้ำมาให้หนูหน่อย หนูหิวน้ำ”
จางเจียวเจียวมองฟางเหยียนและเย่ชิงหยู่ ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแล้วกล่าว “โอเคๆๆ แม่จะไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากที่จางเจียวเจียวเดินออกไปแล้วนั้น เย่ชิงหยู่ก็รีบถามขึ้นมาทันใดว่า “ฟางเหยียน คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
ตอนนี้เธอนึกออกทุกอย่าง เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทั้งหมด เหมือนกับมีการฉายหนังในสมองของเธออีกรอบ ฟางเหยียนนั่งลงข้างๆเธอ มือทั้งสองจับไปที่ไหล่ของเธอแล้วกล่าว “ผมไม่เป็นไร! นี่ก็สบายดีอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
เย่ชิงหยู่จับแขนของเขา แล้วกล่าวอย่างซีเรียสว่า “พวกเธอมีคนเยอะมากเลยไม่ใช่เหรอ? สามพันกว่าคน แล้วยังมีปืนอีกด้วยนะ”
ตอนที่พูดนั้น สีหน้าของเย่ชิงหยู่ก็แสดงความหวาดกลัวแบบนั้นขึ้นอีกครั้ง
ดีตอนที่ฟางเหยียนทำการฆ่านั้นเธอไม่เห็นเข้า ถ้าเธอได้เห็นฟางเหยียนอันน่ากลัวแบบนั้น ไม่รู้ว่าเธอจะกลัวฟางเหยียนหรือไม่ ความจริงต่อให้พี่อ้วนไม่ตีเธอสลบ ฟางเหยียนก็จะใช้กำลังภายในทำให้เธอสลบไปแล้วค่อยลงมือ
ตอนนี้ ฟางเหยียนไม่อยากให้เย่ชิงหยู่เห็นภาพลักษณ์ที่ตัวเองฆ่าคนอย่างบ้าคลั่ง ถ้าเธอรู้เข้า หญิงสาวคนนี้จะตกอยู่ในภวังค์ความเจ็บปวดอย่างไม่สิ้นสุด ในใจของเธอ ฟางเหยียนพร้อมที่จะเป็นคนธรรมดาตลอดไป
นี่เป็นโลกแห่งความปรองดอง ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีการเข่นฆ่า เขายอมที่จะให้โลกแบบนี้เป็นโลกของเย่ชิงหยู่ตลอดไป เขาไม่อยากฝั่งความกลัวให้เธอ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดต่อเย่ชิงหยู่ว่า “ไม่เป็นไร ผมแจ้งความไว้ ตำรวจจึงพากองกำลังติดอาวุธไป หลังจากที่พวกเขาเห็นตำรวจไปแล้วนั้น ก็หนีกันไปหมด”
“อะไรนะ?” เย่ชิงหยู่ขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่แล้วกล่าว “แล้ว คุณหนูและพรรคพวกของตระกูลเซียวล่ะ?”
“โดนจับไปหมดแล้ว พวกเขาฆ่าคน จะต้องชดใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้น” ฟางเหยียนกล่าวอย่างจริงใจน่าเชื่อถือ
เห็นท่าทีจริงจังของฟางเหยียน เย่ชิงหยู่ก็สะอึกสะอื้น แล้วกล่าว “ขอบคุณนะ ฟางเหยียน! ขอบคุณที่คุณจัดคนป้องกันไว้ข้างกายฉัน เพียงแค่ คนนั้น…”
พูดถึงจุดนี้ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
ฟางเหยียนรีบปลอบประโลมกล่าว “ไม่เป็นไรแล้ว สบายใจได้ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปนะ”
ครุ่นคิดสักพัก จู่ๆเย่ชิงหยู่ก็พูดขึ้นมาว่า “ฟางเหยียน ฉันขอถามอะไรคุณหน่อย คุณต้องพูดความจริงกับฉันนะ”