หลังจากออกจากฟางซื่อกรุ๊ป ฟางเหยียนก็ตรงไปที่บ้านใหญ่ตระกูลเย่ทันที
เมื่อยืนอยู่หน้าบ้านใหญ่ตระกูลเย่ ฟางเหยียนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับมองเข้าไปที่ประตูเก่าบานใหญ่นั้น หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมากอย่างมาก เขาก็ได้กลับมาแล้ว กลับมาที่บ้านของนายของเขา
นี่คือบ้านใหญ่ตระกูลเย่ เขามีได้แค่แซ่เย่ เป็นสิ่งที่คนในตระกูลเย่เท่านั้นที่มี!
ฟางเหยียนเดินไปที่ประตูบ้านของตระกูลเย่ ยกมือขึ้นพร้อมกับไปเคาะที่ประตูบ้าน เมื่อมองเห็นตราประทับที่แปะอยู่ ฟางเหยียนก็ได้ยกมือขึ้นและดึงมันลงมา ทิ้งไว้ที่พื้น
“ท้ายที่สุด นายก็เป็นคนของตระกูลเย่!ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามเอาตัวเขาไป ลุงเย่ กลับบ้านกันเถอะ” ฟางเหยียนได้แต่พึมพำกับบ้านของตระกูลเย่ น้ำตาไหลรินอีกครั้ง
ที่บ้านใหญ่ตระกูลเย่นี้มีความทรงจำของเขามากมายนัก นี่คือวัยเด็กและทุกสิ่งทุกอย่างของเขา นี่เป็นของลุงเย่ของเขา เขาจะยอมให้คนอื่นเอามันไปได้ยังไงกัน!
แม้ว่าทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมของฟางเหยียน แต่เมื่อถึงเวลานี้ ในใจของฟางเหยียนเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้ การฆ่าในสนามรบนั้นมันช่างเย็นชา และรสชาติของการได้กลับมาที่บ้านก็คือความสุข นี่คือบ้านของเขา และจะเป็นตลอดไป
“จอมพลโผ้จวิน นี่คือกุญแจบ้านของท่าน เทียนขุยยืนอยู่ไม่ไกลจากฟางเหยียน หยิบกุญแจทองสัมฤทธิ์และส่งให้ฟางเหยียน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นท่าทางเศร้าของจอมพลโผ้จวิน ซึ่งทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย”
ฟางเหยียนยกมือขึ้นคว้ากุญแจและพูดว่า “ขอบคุณ เทียนขุย!”
“จอมพลโผ้จวิน นี่เป็นสิ่งที่ผมควรทำครับ” เทียนขุยตอบกลับอย่างจริงใจ
ฟางเหยียนไม่ได้พูดอะไรต่อ พร้อมกับถามว่า “ของในบ้านได้สะสางหรือยังล่ะ?”
เทียนขุยกล่าวว่า “ใช่ครับ ทุกอย่างยังอยู่ ยกเว้นโซฟาลายมังกรที่หายไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความเศร้าที่ปรากฏบนใบหน้าของฟางเหยียนก็กลายเป็นความโกรธทันที เขากำหมัดแน่น ดวงตากลายเป็นสีแดงฉาน เขาหันกลับมา พร้อมกับถามเทียนขุยว่า “ใครย้ายโซฟาลายมังกรไป?”
เทียนขุยก้มศีรษะอย่างรวดเร็วและพูดคำสามคำออกมา “ลู่หงปอ!”
ลู่หงปอ ชายจากเมืองจินโจว ในเมืองจินโจวมีคำกล่าวที่ว่า มีเพียงมือเท่านั้นที่สามารถปกคลุมท้องฟ้าได้ อย่ายึดติดกับมารยาทใดๆ จงเล่นอย่างอิสระ ลู่หงปอคนนี้นั้นร่ำรวย ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วเขามีเงินมากเท่าไหร่ สรุปได้ว่าจะใช้ฟุ่มเฟือยแค่ไหนก็ไม่มีวันหมด
แต่ที่หนักใจที่สุดไม่ใช่เงิน แต่เป็นอำนาจในมือ ว่ากันว่าพลังของเขานั้นขั้นเทพสุดๆ!
เขาซื้อเกาะในทะเลสาบของเมืองจินโจว สร้างปราสาทที่เก่าแก่ที่ถูกขนานนามว่า ปราสาทจี๋หลง ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่บนป้อมปราการเล็กๆแห่งนี้ มีความสุขราวกับเทพธิดานางฟ้า เขานั้นถือว่าเป็นคนที่สนุกสนานกับชีวิตเสียจริง
ว่ากันว่าเขาถือครองสัดส่วนเส้นชีวิตของเมืองจินโจว แม้แต่ตัวเมืองจินโจวเองก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรเขา ถ้าเจอเรื่องอะไร ก็แค่ต้องขอให้เขามาจัดการให้เท่านั้น นักธุรกิจบางคนที่อยากจะไปเยี่ยมเยียน ก็โดนปฏิเสธมานักต่อนักแล้ว
ฟางเหยียนนั้นรู้จักคนคนนี้ดี เมื่อเขาอยู่มัธยม ลู่หงปอได้บอกว่าต้องการที่จะซื้อโซฟาลายมังกรของเย่เทียน แต่ว่าโดนเย่เทียนปฏิเสธไป นั่นคือมรดกของตระกูลเย่ มีความหมายต่อตระกูลเย่มากที่สุด จะไม่ยอมขายมันเด็ดขาด
หลังจากนั้นมาลู่หงปอก็ไม่ได้ถามอะไรอีก แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อตระกูลเย่เกิดเรื่องขึ้นมา เขาก็ได้เอามันไปแล้วจริงๆ
เมื่อเห็นการแสดงออกที่น่าสะพรึงกลัวของฟางเหยียน เทียนขุยก็พูดอย่างรวดเร็วว่า “จอมพลโผ้จวิน ผมจะเป็นคนไปเอากลับมาให้เองครับ”
ฟางเหยียนโบกมือ “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันไปเอาเอง!”
“ฉันเองก็ต้องการที่จะดูว่าลู่หงปอนั้นจะมีพลังมากแค่ไหนกัน ถึงได้กล้ามาแตะต้องสิ่งของของตระกูลเย่” เมื่องพูดจบ ฟางเหยียนก็ได้เดินทางไปที่ปราสาทจี๋หลง!
บนทะเลสาบที่ล้อมรอบด้วยภูเขา มีเกาะเล็กๆตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ วิลล่าสไตล์ยุโรปที่สร้างขึ้นบนเกาะนี้ ภายนอกดูทำให้คนจิตใจชื่นมื่น อีกทั้งยังดูน่าทึ่งเป็นอย่างมาก ในแง่ของสถาปัตยกรรม นี่เรียกได้ว่าเป็นงานฝีมือที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ภายในวิลล่าหลังนี้ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้นอกจากเจ้าของบ้านหลังนี้เท่านั้น นี่คือชีวิตที่หลายคนโหยหาพวกเขานั้นได้แต่คิด คิดไปคิดมา ชีวิตก็ร่วงเลยผ่านไปแล้ว
ประตูของวิลล่านี้ มีสโลแกนเขียนอยู่ด้านบนว่า บุคคลภายนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า
ภายในวิลล่า ชายอ้วนใบหน้ากลมคนหนึ่งนั่งบนโซฟาลายมังกรและกินผลไม้ ชายคนหนึ่งอายุประมาณสี่สิบปี รูปร่างอ้วนท้วมและเตี้ย ราวกับลูกแตงโมในฤดูหนาวอย่างงั้น เขาสวมเสื้อคลุมสีเหลือง ทั้งหมดล้วนเป็นเสื้อแจ็กเกตสั้นสีเหลือง มีสาวสวยสี่คนที่บีบขาของเขาไว้อยู่ข้างๆ ตัว สาวสวยเหล่านี้ล้วนแต่งกายด้วยชุดโบราณ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถ่ายการแสดงอยู่
เขาไม่เพียงแต่ยังเป็นผู้ดีที่กระทำชั่วในหมู่คนนอกแล้ว เขายังถือว่าตัวเองนั้นเป็นจักรพรรดิอีกหรือนี่ เสื้อคลุมสีเหลืองและโซฟาลายมังกรถือเป็นมาตรฐานของเขา การนั่งบนโซฟานี้ ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นการเติมเต็มตัวเองให้เป็นจักรพรรดิ
ในเวลานี้เอง ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ก้มลงกราบและทูลว่า “นายท่าน ชื่ออีอยากจะขอให้ท่านออกมาเป็นคนรับช่วงสมัชชาใหญ่ ว่ากันว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเร็ว ๆ นี้ ในเมืองนี้จะมีการเลือกตั้งใหม่ครั้งที่สอง”
“บอกเขาไป ไม่ไป!ฉันไม่สนใจ” ลู่หงปอตอบอย่างหยาบคาย
ชายคนนั้นตอบรับ จากนั้นจึงเดินออกไปอย่างเงียบๆ การปฏิเสธคำขอของชื่ออีนี้ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของลู่หงปอไปเสียแล้ว หลังจากคนของเขาออกไป เขาก็ได้แต่สาปแช่งและพูดว่า “นึกว่าเป็นใครกันแน่ ถึงจะมาหาฉัน บอกไปกี่รอบแล้วว่าไม่ชอบอะไรแบบนี้ คนพวกนี้นี่ให้หน้ามากไม่ได้จริงๆ”
“นายท่าน ฉันเคยได้ยินมาว่าเมืองจินโจวมีคนงาม ที่ร่ำลือกันทั่วทั้งเมืองว่าสวยงามเป็นอย่างมาก” ผู้หญิงที่กำลังนวดเขาอยู่นั้นพูดขึ้นมา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลู่หงปอที่ได้ยินคำเหล่านี้มาบ่อยครั้งนั้นก็เบื่อเกินทน ถามว่า “ขนาดไหนกันเชียว?ถึงได้ร่ำลือไปทั่วเมือง?”
ลู่หงปอนั้นไม่ได้สนใจอะไรเลย ยกเว้นสนในเรื่องหญิงสาวที่งดงาม เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้ยินเรื่องผู้หญิงสวย ๆ เขาก็จะเริ่มหาวิธีการบางอย่าง แน่นอนว่าไม่ใช่การขโมยมา แต่เป็น‘วิธีการ’ที่เขามีในมือและคว้าเอามา
แต่ก่อนเมื่อเขาเล็งผู้หญิงคนหนึ่ง เขาได้ใช้กลเม็ดเล็กๆ น้อยๆเพื่อทำให้ชีวิตของหญิงสาวคนนั้นยากลำบาก ต่อมาก็ได้จัดฉากทำตัวเป็นวีรชนกอบกู้มา ซึ่งนั่นทำให้ตัวเขาอยู่ในสายตาของหญิงสาว ทำให้หล่อนค่อยหลงรักเขาอย่างช้าๆ จากนั้นจึงพาไปเก็บรวมอยู่ในของสะสมของเขา
แน่นอน ว่านี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในวิธีการของเขา พลังในมือของเขาจะทำให้เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้คนในเมืองจินโจวนั้นอิจฉาลู่หงปอ!
หญิงสาวที่พูดได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นรูปที่เพื่อนของฉันถ่ายแล้วส่งมา ลองดูสิคะ”
ขณะที่พูด หล่อนก็ได้ส่งโทรศัพท์ให้แก่ลู่หงปอ ทันทีที่เห็นรูปในโทรศัพท์ จากที่ขี้เกียจก็ลุกขึ้นในทันที ดวงตาเป็นประกาย เขาถือโทรศัพท์อยู่นานแล้วส่ายหัวพร้อมกับถามว่า “นี่เป็นคนจริงๆเหรอ?”
เด็กหญิงพยักหน้าอย่างนอบน้อมและกล่าวว่า “นี่เป็นภาพที่ถ่ายโดยกล้อง ปลอมไม่ได้หรอกค่ะ หล่อนเป็นภรรยาของพี่คนโตของตระกูลถังในหนานหลิง ชื่อว่าหลินถง แต่ว่าสามีของหล่อนน่ะตายไปแล้ว แต่งงานกับหล่อนได้สามวันก็ตายจากไป”
ลู่หงปอพยักหน้าและพูดว่า “วิเศษมาก!ที่แท้ก็เป็นที่ร่ำลือกันทั่วเมือง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์นี้ ดูเหมือนว่า ฉันต้องลงมือแล้วล่ะ!”
หลังจากพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง วางขาลง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอันชั่วร้ายขึ้นมา!