“ตุบ!” ขาทั้งสองข้างของลู่หงปอนั้นอ่อนแรง ลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้น น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของเขาด้วยความกลัว
“พี่ชาย ฉันฉันฉัน ฉันผิดไปแล้วจริงๆ ฉันมีตาหามีแววไม่ พี่ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ!เก้าอี้นี้คืนให้พี่แล้วยังไม่โอเคอีกงั้นเหรอ?” ลู่หงปออ้อนวอนอย่างดื้อรั้น
ชายผู้ที่เป็นที่รู้จักในจินโจวว่าเป็นชายที่อิสระและรักในความสนุกสนานนี้ ตอนนี้เขาได้นั่งลงคุกเข่าต่อหน้าฟางเหยียนอยู่ เมื่อเห็นเขาคุกเข่าลง ผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังทั้งหมดต่างพากันคุกเข่าตาม เพียงครู่เดียว วิลล่าแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ฟางเหยียนเดินไปหาลู่หงปออย่างไม่เร่งรีบ หยุดฝีเท้าและถามว่า “แค่นี้ก็กลัวแล้วเหรอ?”
“กลัวแล้ว!”ลู่หงปอเงยหน้าขึ้นมามองฟางเหยียน และยอมรับออกไปอย่างรวดเร็ว “ฉันกลัวจริงๆ ได้โปรดยกโทษให้ฉันเถอะ”
“แล้วสิ่งที่ฉันสอนไป นายเข้าใจไหม?”ฟางเหยียนมองลงมาที่ลู่หงปอแล้วถาม
ลู่หงปอยกมือขึ้นและเช็ดเหงื่อออกจากหางตา จากนั้นพยักหน้าและพูดว่า “ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจแล้ว ต่อไปในอนาคต ของที่ไม่ใช่ของฉัน ฉันจะไม่เอามาอีกแล้ว”
ฟางเหยียนกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “เอาล่ะ เห็นแก่ความจริงใจของท่าน ส่งของมาให้ก็พอแล้ว!”
ความจริงแล้ว ฟางเหยียนนั้นไม่ได้คิดที่จะฆ่าคนคนนี้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพราะกลัวว่ากองกำลังของเขาจะเจอกับปัญหา แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างไม่เลือกปฏิบัติเช่นนี้ อีกอย่าง เขาก็ดูดีขึ้นเล็กน้อยแล้วล่ะ ไม่น่าจะทำอะไรได้แล้ว
ลู่หงปอพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ได้ยินหรือยัง?ยกมันมาให้ฉันเร็วๆสิ!”
นักรบทั้งสี่คนได้เดินมา แต่ฟางเหยียนพูดขึ้นมาว่า “ไม่ๆๆ นี่เป็นที่ที่นายนั่ง นายก็ต้องยกเองสิ ถือว่าเป็นการแสดงความจริงใจเช่นกัน”
ลู่หงปอปล่อยเสียงออกมา มองดูตัวเองแล้วถามว่า “ฉันทำได้เหรอ?”
ใบหน้าของฟางเหยียนค่อยๆหุบลง เขาจึงรีบกล่าวว่า “ได้ๆๆ เดี๋ยวผมยก! ผมยกเอง ขอผมไปเปลี่ยนชุดก่อนแล้วมายกได้ไหม?”
ฟางเหยียนส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ได้ ยกมันทั้งแบบนี้ล่ะ ฉันชอบที่นายแต่งตัวแบบนี้ เป็นสไตล์จักรพรรดิดี”
ลู่หงปอถอนหายใจ เขาไม่ได้อยากจะยกมันเลย แต่มีวิธีอื่นไหมล่ะ?
เป็นคนที่รู้ทันเหตุการณ์เสียจริง ไม่โง่เลยสักนิด!
ดังนั้น เขาจึงยกโซฟาขึ้นแล้วหันหลังกลับพร้อมกับพูดว่า “ไปเถอะ!”
—
บนชานชาลาด้านนอกของประสาทจี๋หลง
หลังจากที่ตระกูลตู้นั้นเกิดอุบัติเหตุ เสิ่นจื่อเจ๋ยก็ไม่ได้พบกับตู้หมิงล่างอีกเลย หลังจากไม่มีตู้หมิงล่าง เขาก็พบเรื่องที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง นั้นก็คือมีผู้หญิงไม่น้อยเลยที่มาตกหลุมรักเขา วันนี้ได้พาหญิงสาวมากหน้าหลายตาไปดูวิลล่าด้วย
พวกเขายืนอยู่บนแท่นพร้อมกับมองลงมา วิลล่าของลู่หงปอนั้นถือเป็นทิวทัศน์มุมกว้างเลยทีเดียว หญิงงามขายาวเหล่านั้นอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาว่า “ว้าว ที่แห่งนี้สวยเกินไป น่าอิจฉามากที่ได้อยู่ในสถานที่เช่นนี้”
“ใช่แล้ว ในเมืองจินโจว ลู่หงปอถือเป็นคนที่มีชีวิตชีวามากที่สุดแล้ว ต้องการอำนาจก็มีอำนาจ ต้องการเงินก็มีเงิน ว่ากันว่าเขาเลี้ยงผู้หญิงเอาไว้เยอะอยู่นะ ฉันนี่เริ่มอิจฉาผู้หญิงพวกนั้นแล้ว ที่ได้อยู่ในที่แบบนั้น เป็นสถานที่ที่น่าอิจฉาเสียจริง!”
“แต่ว่าท่านเสิ่นเองก็ไม่เลวเลยนะ จริงสิท่านเสิ่น ท่านรู้จักเจ้าของวิลล่านี้ไหม?”
เสิ่นจื่อเจ๋ยพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “แน่นอน!”
“ท่านพูดถึงเจ้าของของวิลล่าหลังนี้ได้ไหมคะ?”โจวเสี่ยวมองไปที่เสิ่นจื๋อเจ๋ยอย่างสงสัยและถามไป
โจวเสี่ยวมากับสาวๆเหล่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นมีหญิงคนนั้นที่เป็นร่วมชั้นกับเธอ ตั้งแต่ที่รู้ว่าฟางเหยียนนั้นเป็นท่านชายของตระกูลฟาง เธอก็ไม่เคยไปที่ฟางซื่อกรุ๊ปอีกเลย กลัวอึดอัดที่จะเจอฟางเหยียน
ที่จินโจวไม่มีอะไรให้ทำ ไม่สิ ดีนะที่เพื่อนร่วมชั้นของเธอนัดมา จะได้ออกมาเล่นกับเสิ่นจื่อเจ๋ยด้วย
เสิ่นจื่อเจ๋ยมองไปที่เสี่ยวโจว พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าของวิลล่านี้เป็นของลู่หงปอ เขาเป็นคนรูปร่างอ้วนท้วมพลังอำนาจของตระกูลเขาถือว่ายิ่งใหญ่มาก แต่ใหญ่โตมากแค่ไหนฉันก็ไม่รู้หรอกนะ ขนาดชื่ออียังต้องฟังเขาเลย เขาเป็นคนอารมณ์ดี ชอบไปพบกับชื่ออีมีส่วนร่วมในงานประชุมที่สำคัญบางงาน ในเมืองจินโจวเองก็จะมีนักธุรกิจบางคนที่อยากจะพบเขาแทบตายแต่ก็ไม่ได้พบ พ่อของฉันพบเขามาปีกว่าแล้ว ตอนนั้นฉันก็เลยบังเอิญไปเจอด้วย”
โจวเสี่ยวพยักหน้าเล็กน้อยและถามว่า “แล้วนายคิดว่าระหว่างลู่หงปอกับท่านชายของตระกูลฟางใครจะมีเงินมากกว่ากัน?ใครที่มีพลังอำนาจเหนือกว่า?”
เสิ่นจื่อเจ๋ยผงะไปครู่หนึ่งและถามว่า “ทำไมคุณถึงถามแบบนั้น?”
โจวเสี่ยวเลยพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่ถามดูน่ะ คิดถึงท่านชายของตระกูลฟางขึ้นมาพอดีก็เลยถามน่ะ”
“เธอรู้จักกับท่านชายของตระกูลฟางเหรอ?”เด็กสาวคนหนึ่งถามด้วยความประหลาดใจ
เด็กอีกคนหนึ่งพูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ไม่ใช่เหรอ?พ่อของเสี่ยวโจวทำงานเป็นผู้จัดการของฟางซื่อกรุ๊ปนี่”
“ว้าว!” หญิงคนนั้นพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความบ้าผู้ชายว่า “ไม่รู้จริงๆเลยว่าท่านชายของตระกูลฟางจะหน้าตาเป็นยังไง ?จะมีแฟนหรือยัง คนด้านนอกบอกกันว่า ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้สืบทอดต่อของตระกูลฟางใช่ไหม?”
โจวเสี่ยวนึกถึงคำเตือนของบิดาของเขาและกล่าวว่า “ไม่แน่ใจ ฉันเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน”
“เฮ้! ขนาดโจวเสี่ยวยังไม่เคยเจอเลย แล้วพวกเราจะไปเจอได้ยังไงกัน” หญิงสาวคนนั้นพูดอย่างผิดหวัง
เสิ่นจื่อเจ๋ยมองที่หญิงสาวด้วยความไม่พอใจ พร้อมกับตัดบทพูดว่า “พูดถึงท่านชายของตระกูลฟาง พวกเธออยากรู้จักท่านชายของตระกูลฟาง งั้นฉันจะพาพวกเธอไปรู้จักวันอื่นละกัน”
โจวเสี่ยวขมวดคิ้วมองไปเสิ่นจื่อเจ๋ยและถามว่า “ท่านรู้จักท่านชายตระกูลฟางงั้นเหรอ?”
เสิ่นจื่อเจี๋ยกอดอกของเขาและพูดอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน เพื่อนเก่าน่ะ”
“จริงหรือเล่นเนี่ย?ท่านเสิ่น!” เด็กหญิงคนนั้นถาม
ในใจของเสิ่นจื่อเจ๋ยคิดว่าการโอ้อวดมันไม่ผิดกฎหมายนี่ ดังนั้นเขาจึงพูดต่อว่า “เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน!”
“จริงสิ แล้วคำถามเมื่อกี้ล่ะ ระหว่างท่านชายของตระกูลฟางกับลู่หงปอ ใครที่มีพลังอำนาจมากกว่า?” โจวเสี่ยวยังคงถามต่อ
เสิ่นจื่อเจ๋ยกล่าว “พูดแบบนี้กับเธอก็แล้วกัน ถ้าในเมืองจินโจวล่ะก็ ลู่หงปอนั้นมีมากกว่ามากๆเลยล่ะ ทำไมน่ะเหรอ?ก็เพราะว่าเขาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองจินโจวน่ะสิ ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของเขาได้ เขาไม่สนใจเรื่องภายนอก แต่ทุกความสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับเขาล้วนแต่มีผลในจินโจวทั้งนั้น แม้แต่ชื่ออีเองก็ยังต้องให้หน้าเขามากๆเลยล่ะ เขาอยู่ที่นี่ แต่เป็นจักรพรรดิที่มีชื่อเสียง ท่านชายตระกูลฟางอยากจะเข้าประตูของเขา ก็คงจะเข้าไม่ได้ แต่ถ้าเป็นข้างนอกที่อื่น ก็จะพูดยากหน่อย บางทีท่านชายตระกูลฟางอาจจะเก่งกาจกว่าเขา แต่ถ้าไม่ได้ออกจากประตูนี้ล่ะก็ มันก็เป็นเรื่องที่เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก”
โจวเสี่ยวพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าโจวเสี่ยวนั้นสนใจเรื่องของท่านชายตระกูลฟาง เสิ่นจื่อเจ๋ยก็เตรียมจะเอ่ยปากถาม แต่ทันใดนั้นเพื่อนของโจวเสี่ยวก็ได้ตะโกนออกมา “เฮ้!พวกเธอมาดูเร็ว มีคนออกมาจากวิลล่าด้วย”
เสิ่นจื่อเจ๋ยและคนอีกสองสามคนมองไปที่นั่น และหลังจากมองดูแล้ว พวกเขาเห็นคนสองสามคนเดินออกจากห้องทางด้านหลัง ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือชายอ้วนที่ใส่แจ็กเก็ตและกางเกงขาสั้นสีเหลือง มีโซฟาอยู่บนศีรษะ ชายร่างอ้วนกำลังเดินอย่างช้าๆ
ข้างหลังชายร่างท้วมเป็นผู้หญิงสองสามคน บางคนแต่งตัวเหมือนนักรบในอนาคต เมื่อมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเขาเป็นใคร เขาเป็นจักรพรรดิที่นี่ ลู่หงปอนี่เอง มีชายสองคนเดินนำหน้าเขา ชายที่นำโดยเขาผอมมาก แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบๆ เสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์ เขาดูไม่เหมือนคนที่จะสามารถมาพูดคุยเจรจากับชายอ้วนได้ คนที่เดินตามอยู่ทางด้านซ้ายของชายคนนั้นก็ดูเป็นคนที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ เขาเดินอย่างสง่าผ่าเผย ดูมีพละกำลังเป็นอย่างมาก
เมื่อดูแบบนี้ มันดูเหมือนว่าชายอ้วนกำลังถูกสองคนนี้จัดการ เพราะว่าเขาไม่แม้แต่จะสวมรองเท้าด้วยซ้ำ อีกทั้งบนหัวก็ยังมีโซฟาอยู่
“นี่มันอะไรกัน?นั่นไม่ใช่ลู่หงปอหรอกเหรอ?” เพื่อนร่วมชั้นของโจวเสี่ยวถามเสิ่นจื่อเจ๋ย
ในทางกลับกันเสิ่นจื่อเจ๋ยกลับตกใจเป็นอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าเขาเห็นสามีที่ไร้ค่าของเย่ชิงหยู่ไงล่ะ เมื่อเห็นฟางเหยียนที่เดินอยู่ด้านหน้า เสิ่นจื่อเจ๋ยก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “จะเป็นเขาไปได้ยังไงกัน?ชายคนนี้จะสามารถไปพูดคุยกับลู่หงปอได้ยังไงกัน?”