คำพูดของฟางเหยียนทำให้ทุกคนตะลึงและเหงื่อแตกพลั่ก ฟางเหยียนกล้าเรียกชื่อเต็มๆ ของลู่หงปอบ้าไปแล้วจริงๆ ถ้าไปหาเรื่องคนธรรมดาก็ไม่เป็นไรหรอก แต่นี่มาหาเรื่อง ลู่หงปอหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
แต่ทว่าสองสามีภรรยาจางซื่อข่ายกับสองสามีภรรยาจางซื่อตงกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยตอนนี้ ลู่หงปอก็หันไปสนใจฟางเหยียนแล้ว เขาแซ่ฟาง ไม่ใช่คนของตระกูลจาง
ทุกคนอยากโยนความรับผิดชอบไปให้เขา แต่นายท่านยังไม่ได้พูดอะไรออกมา พวกเขาจึงไม่กล้าพูดเช่นกัน
เย่ชิงหยู่รีบจับแขนของฟางเหยียนเอาไว้ เธอพูดเสียงเบาว่า “ฟางเหยียน ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าพูดอะไรไร้สาระ คนคนนี้ไม่เหมือนกับพวกคนก่อนหน้านี้”
จางฉี่เหาก็มองไปที่ฟางเหยียนเหมือนกัน จริงๆ แล้วเขาตกใจเป็นอย่างมาก เขาอยากให้ฟางเหยียนพูดตั้งนานแล้ว
“ไม่เป็นไร ผมจัดการได้” ฟางเหยียนพูดกับเย่ชิงหยู่อย่างสบายใจ
ลู่หงปอมองไปยังฟางเหยียน เจิ้งต้าไห่รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “ท่านลู่ ไอ้หมอนี่ไงครับที่ผมพูดถึง มันไล่ผมออกมา มันไม่ไว้หน้าคุณเลย”
“ไอ้เด็กน้อย เห็นหรือยังว่าใคร ฉันจะบอกให้นะเขาคือ ลู่หงปอเจ้าของ ป้อมจี๋หลง ท่านลู่ คือคนที่แกจะมาหาเรื่องได้เหรอ ฉันจะบอกแกให้นะ แกไม่รอดแน่!”
“เพียะ!” เจิ้งต้าไห่เพิ่งพูดจบก็มีแรงมหาศาลตบลงมาที่ใบหน้าของเขา
ฝ่ามือนี้ใหญ่จนน่าประหลาด เขาเงยหน้าขึ้นมาเตรียมที่จะถาม
แต่ทว่า ลู่หงปอกลับพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “เจิ้งต้าไห่ ฉันเลิกจ้างนายตั้งแต่วันนี้”
ตบนี้เป็นของ ลู่หงปอคำพูดนี้ก็เป็นของเขาเช่นกัน เมื่อคนที่อยู่ในนั้นได้ยินต่างพากันตกใจ
ชื่ออีอึ้งเล็กน้อย จากนั้นจึงถามว่า “ท่านลู่ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เหล่าเจิ้งบอกว่าไอ้หมอนั่นไม่ไว้หน้าคุณ”
ลู่หงปอแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “หึ ไว้หน้าอะไร ฉันจะบอกให้นะ วันนี้เจิ้งต้าไห่ต้องโดนไล่ออก ไม่ต้องถามว่าทำไม มันมาก่อกวนการทานอาหารของเพื่อนฉัน คุณฟางเป็นเพื่อนของฉัน”
เพื่อนงั้นเหรอ ลู่หงปอเรียกฟางเหยียนว่าเพื่อน ลู่หงปอไม่เคยไว้หน้าใคร แต่เป็นเพื่อนกับฟางเหยียน ไม่จริง เขาพูดหรือจำชื่อผิดคนหรือเปล่า
ฟางเหยียนเป็นใครทำไมถึงเป็นเพื่อนกับ ลู่หงปอได้
อย่าว่าแต่พวกหัวหน้าเลย ขนาดคนในตระกูลจางยังไม่มีใครเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
ถ้าเป็นเรื่องจริง งั้นฟางเหยียนเป็นใครกันแน่ เขาเป็นเพื่อนกับลู่หงปอตั้งแต่เมื่อไร
เมื่อชื่ออีได้ยินว่าฟางเหยียนเป็นเพื่อนกับลู่หงปอสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
อย่าบอกนะว่าไอ้หมอนี่มีเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง ขนาดเขาอยู่ข้างนอกยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองเป็นเพื่อนของลู่หงปอเลย เพราะคนคนนี้ไปๆ มาๆ และสนุกกับชีวิตเท่านั้น ไม่ได้คบหาสมาคมกับใคร
ตอนนี้เขาพูดคำว่าเพื่อนออกมา นี่มันน่าตกใจเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อยืดกางเกงยีน อายุยี่สิบกว่าปี คนแบบนี้มีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งอย่างนั้นเหรอ
ดูคนจากการแต่งกายไม่ได้ บางคนเขาติดดิน เขาไม่เชื่อคำพูดของคนอื่นได้ แต่เขาไม่กล้าไม่เชื่อคำพูดของลู่หงปอดังนั้นเขาจึงพูดกับเจิ้งต้าไห่ว่า “ได้ยินแล้วใช่ไหม นายโดนเลิกจ้างแล้ว!”
“หา!” เจิ้งต้าไห่มองทั้งสองคนอย่างสับสน เขาพูดออกมาเหมือนจะร้องไห้ว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับท่านลู่ ผม ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นเพื่อนของคุณ! ถ้าผมรู้ว่าเป็นเพื่อนของคุณ มีหรือที่ผมจะกล้าไล่เขาไป”
“ไสหัวไปซะ!” ลู่หงปอตวาดออกมา มีคนสองคนมาลากเจิ้งต้าไห่ออกไป
ลู่หงปอแอบเป็นกังวล นี่มันเป็นความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวง เขาไม่รู้จริงๆ ว่าท่านเทพจะอยู่ที่นี่ ไม่รู้ด้วยว่าการที่เขาเรียกฟางเหยียนว่าเพื่อนจะทำให้ฟางเหยียนไม่พอใจหรือเปล่า
เขาจึงพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “คุณ คุณฟางครับ ลูกน้องของผมมีตาหามีแววไม่ เลยล่วงเกินคุณอย่างใหญ่หลวง”
นี่คือคนที่พี่ชายของเขาไม่ให้ไปหาเรื่อง มีหรือที่เขาจะกล้าไปหาเรื่อง
เมื่อเห็นว่าลู่หงปอขอโทษฟางเหยียน คนในตระกูลจางถึงกับตะลึง นี่มันอะไรกันเนี่ย ฟางเหยียนเก่งถึงขนาดที่ทำให้ ลู่หงปอขอโทษได้เลยเหรอ
นี่มันเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจริงๆ
ฟางเหยียนพูดด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “ในเมื่อลูกน้องของนายมีตาหามีแววไม่ งั้นก็เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด พอเถอะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไร นายไปที่ห้องอาหารหมายเลข 666 เถอะ ฉันไม่ไปยุ่งเรื่องของนาย”
ฟางเหยียนพูดเนิบๆ เหมือนกำลังสั่ง ตอนที่กำลังพูด ฟางเหยียนหันไปมองชื่ออี แววตาของชื่ออีเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ คิดไม่ถึงว่าไอ้หมอนี่จะทำให้ท่านลู่เกรงใจได้ขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
ใบหน้าชราของชายร่างอ้วนอย่างลู่หงปอเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาพยักหน้าหงึกหงักแล้วพูดว่า “ครับๆๆๆ งั้นผมไปก่อนนะครับคุณฟาง” พูดจบ ลู่หงปอก็ปิดประตูห้องอาหาร
เมื่อออกมาเขาถึงกับสูดหายใจลึก และยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อบนหน้าผาก
ชื่ออีถามอย่างแปลกใจ “ท่านลู่ เขาเป็นใคร”
“นายอย่าไปสนใจว่าเขาเป็นใคร นายห้ามไปหาเรื่องเขา” ลู่หงปอพูดอย่างหงุดหงิด
ชื่ออีได้ยินก็งงไปหมด เขาไม่คิดที่จะหาเรื่องคนๆ นั้นอยู่แล้ว อย่าบอกนะว่าลู่หงปอเคยหาเรื่องเขาแล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ เขาไม่ได้ออกไปไหน ต้องพูดว่าไม่น่าจะไปหาเรื่องใครสิถึงจะถูก ต่อไปจะทำอะไรคงต้องระวัง เมืองจินโจวมีเสือที่ซ่อนเล็บอยู่จริงๆ
ตอนแรกหวงหยวนฉาวแห่งซีหนานกรุ๊ปยังไม่เท่าไร ยังมีคนของตระกูลเฉิงแห่งเจียงตูอีก ตอนนี้ขนาดตระกูลฟางยังมาที่นี่ จริงๆ แล้วการที่คนพวกนี้เข้ามา นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขา เพราะมันเป็นการดีที่ได้พัฒนาเมืองจินโจว
แค่ต่อไปนี้จะทำอะไรต้องระมัดระวังอย่างดี ขืนไปหาเรื่องใครเข้าคงแย่
“เหล่าหลัว!” ลู่หงปอมาหน้าเคาน์เตอร์แล้วพูดกับหลัวเทียนเยว่ว่า “ส่งเหล้านารีแดงเข้าไปสองขวด บอกว่าเป็นการไถ่โทษที่ไปรบกวนพวกเขา”
หลัวเทียนเยว่ยิ้มแล้วพูดว่า “ครับ ท่านลู่”
ลู่หงปอโชคดีที่ครั้งนี้ไม่ได้ไปผิดใจฟางเหยียน ถ้าผิดใจกับเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าฟางเหยียนจะทำอะไรเขา เมื่อคิดว่าขาตัวเองยังไม่หายดี เขาจึงแอบกังวลขึ้นมา
ถึงแม้ลู่หงปอกับคนอื่นๆ จะออกมาแล้ว แต่ทว่าคนในตระกูลจางยังตั้งสติไม่ได้ คนที่ตกใจที่สุดคือจางฉี่เหา พวกเขาจะไปสนิทกับลู่หงปอได้ยังไงไงกัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะเกรงใจฟางเหยียนขนาดนี้
ฟางเหยียนเป็นใครมาจากไหนกันแน่
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาทำ คิดถึงความน่าเกรงขามของเขาในทุกวัน จางฉี่เหาแอบคิดเอาเองว่าฟางเหยียนเป็นคนที่แข็งแกร่ง ถ้าไม่ใช่คนที่แข็งแกร่ง มีหรือที่เขาจะหยิ่งผยองแบบนี้
มิน่าล่ะเขาถึงไม่เห็นคนแก่อย่างตัวเองอยู่ในสายตา ขนาดลู่หงปอยังต้องเป็นเพื่อนกับเขา ตัวเขาเองจะอยู่ในสายตาฟางเหยียนได้ยังไง