“ฟางเหยียน นายรู้จักกับท่านลู่เหรอ” จางฉี่เหาไม่ทันได้ถาม เย่ชิงหยู่อดไม่ไหวจึงถามออกมาก่อน ฐานะของลู่หงปอในเมืองจินโจวอยู่สูงเกินเอื้อม นอกจากงานสังคมสำคัญๆ โดยทั่วปกติคนทั่วไปไม่อาจพบเขาได้ เย่ชิงหยู่รู้ถึงข้อนี้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่าจางฉี่เหาก็รู้ เมื่อได้ยินเย่ชิงหยู่ถามเช่นนั้น เขาก็หันไปมองฟางเหยียนอย่างแปลกใจ
ฟางเหยียนกวาดตามองทุกคน เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ เคยรู้จักกันนิดหน่อย ก่อนหน้านี้เคยเจอกันมาครั้งหนึ่ง พวกเราได้พูดคุยกัน เขาคิดว่าผมใช้ได้เลยเป็นเพื่อนกับผม”
เป็นเพื่อน! เมื่อได้ยินฟางเหยียนพูดอย่างสบายใจ ถึงแม้ทุกคนอยากจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มถามยังไง นั่นคือ ลู่หงปอเชียวนะ ไม่ใช่ใครจะเป็นเพื่อนด้วยก็ได้
ถึงทุกคนจะรู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ไม่กล้าเดาอะไรมากมาย
เย่ชิงหยู่ยิ่งสงสัยในตัวของฟางเหยียน เป็นเพื่อนกับเจ้าของร้านหยกตี้เซิ่งหยวนยังไม่เท่าไร เพราะเขาเคยช่วยชีวิตเจ้าของร้านหยก ตอนนี้ยังมาเป็นเพื่อนกับลู่หงปอที่มีเส้นสายไปทั่วอีก
หรือว่า… จู่ๆ เย่ชิงหยู่นึกอะไรขึ้นมาได้ หรือว่าการที่เขารู้จักกับ ลู่หงปอถึงกล้าทำเรื่องแบบนี้ มิน่าล่ะเขาถึงไม่เห็นตระกูลเซียวอยู่ในสายตาอีกทั้งคนในเขตกองทัพยังมาหาเขาด้วย
ทั้งหมดนี่ต้องเกี่ยวกับลู่หงปอแน่ๆ
ในบรรดาคนพวกนั้น จางซื่อตงเป็นคนที่เครียดที่สุด ถึงแม้เขาจะโล่งอกที่ไม่ได้เปลี่ยนห้องอาหาร แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่ให้นักฆ่ามาจัดการฟางเหยียน ถ้าทำสำเร็จก็ดี อย่างน้อยก็ได้กำจัดฟางเหยียน
แต่ถ้าล้มเหลวขึ้นมา คนที่อยู่ห้องข้างๆ อย่าง ลู่หงปอคงไม่นั่งเฉยแน่ จากท่าทีที่พวกเขาแสดงออกต่อกัน ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่เลว
เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะไม่ได้อะไรเลย คนที่จะซวยก็คือตัวเขาเอง!
คิดไปคิดมา ประตูห้องอาหารก็ถูกผลักออก จางซื่อตงรีบเงยหน้าไปมอง
เมื่อเห็นว่าคนที่มาคือเจ้าของโรงแรมนานาชาติเทียนเยว่ เขาจึงโล่งอก
หลัวเทียนเยว่เข้ามาพร้อมกับเหล้านารีแดงสองขวด เมื่อเห็นเหล้าในมือของหลัวเทียนเยว่ จางฉี่เหาถึงกับตกใจ นี่มันเหล้าขวดละเป็นแสน ถึงแม้ตระกูลจางจะไม่ได้ขาดเหลือเรื่องเงิน แต่ก็ไม่มีปัญญาซื้อเหล้าแบบนี้หรอก
ดังนั้นเขาจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “คุณหลัว เอาเหล้ามาทำไมกันครับ พวกเราไม่ได้สั่งนะครับ”
พอพูดจบเขาจึงหันไปหาฟางเหยียน อย่าบอกนะว่าฟางเหยียนเป็นคนสั่ง
หลัวเทียนเยว่หัวเราะคิกคัก จากนั้นจึงพูดว่า “คุณฟาง ท่านจางไม่ต้องกังวลครับ นี่เป็นของที่ท่านลู่ให้พวกคุณครับ เขาบอกว่าขอโทษที่รบกวนการทานข้าวของพวกคุณ เรื่องเมื่อครู่ ผมก็ผิด นี่เป็นการไถ่โทษจากผมครับ”
มืออีกข้างของเขาถือเหล้าเหมาไถ เป็นชนิดเดียวกับครั้งก่อน ราคาขวดละสองล้านห้าแสน เหล้านารีแดงขวดละไม่กี่แสนเป็นน้ำใจของลู่หงปอแต่เหล้าเหมาไถเขาซื้อมาด้วยเงินของตัวเอง
คนที่อยู่ในนี้ไม่รู้จักเหล้า แต่จางฉี่เหารู้เรื่องเหล้า แค่ดูขวดเหล้าก็รู้แล้วว่าราคาของมันไม่ธรรมดา
หลัวเทียนเยว่เป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองจินโจว การที่ได้รับเหล้าจากเขาก็ถือว่าเป็นเกียรติมาก
“คุณหลัว นี่คือ…” จางฉี่เหาเอ่ยขึ้น
หลัวเทียนเยว่พูดขึ้นมาว่า “นี่ถือว่าเป็นการชดเชยให้คุณฟาง ขอคุณฟางอย่างโกรธเคือง”
ฟางเหยียนโบกมือไปมา “เกรงใจเกินไปแล้ว!”
หลัวเทียนเยว่เคยช่วยฟางเหยียนมาสองครั้ง แถมยังไม่เคยพูดเรื่องของเขาอีกด้วย แสดงว่าเจ้าของโรงแรมคนนี้รู้เรื่องธุรกิจดี หลัวเทียนเยว่รู้ว่าฟางเหยียนเป็นใคร แต่ไม่พูดอะไรออกไป
เมื่อหลัวเทียนเยว่ออกไป จางฉี่เหายิ่งมองฟางเหยียนด้วยความสงสัย เมื่อเขาเปิดขวดเหล้าดมก็ต้องตกใจ เหล้าเหมาไถขวดนี้ ถ้าไม่มีอายุหลายสิบปี คงจะไม่หอมขนาดนี้
เหล้าชนิดนี้อย่างน้อยๆ ก็คงต้องมีเงินล้านถึงจะซื้อได้ ให้เหล้าขวดละเป็นล้านให้พวกเขาดื่ม ฟางเหยียนมีหน้ามีตาขนาดนั้นเชียวเหรอ เย่ชิงหยู่เห็นสีหน้าเกินจริงของคุณตา เธอจึงหันไปมองฟางเหยียน เขายังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนเดิม
เธอถามขึ้นว่า “มีอะไรเหรอคะคุณตา”
จริงๆ เย่ชิงหยู่ก็คาดเดาเอาไว้เหมือนกัน เธอเดาว่าเหล้าชนิดนี้คือชนิดเดียวกับครั้งก่อน ขวดละสองล้านห้าแสน เหมือนว่าเหล้าสองขวดเมื่อครั้งก่อนก็กล่องแบบนี้เหมือนกัน ต่อมาพวกตู้หมิงล่างต่างก็พากันควักเงินออกมา
จางฉี่เหาพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรหรอก ทานข้าวกันเถอะ นี่คือเหล้าดีเชียวนะ”
เมื่อเห็นภาพอันน่าประหลาด จางซื่อตงยิ่งรู้สึกตื่นตระหนก เมื่อกี้เป็นเพื่อนของ ลู่หงปอตอนนี้เจ้าของโรงแรมนานาชาติเทียนเยว่มาขอโทษด้วยตัวเอง ฟางเหยียนเป็นใครกันแน่ เขาไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะแยกแยะไม่ออก ไม่ได้การแล้ว ถ้าทำเรื่องนี้จะอันตรายมาก เขาต้องโทรยกเลิกการฆ่ากับคนพวกนั้น
เมื่อคิดได้อย่างนั้น เขาจึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ผมขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะครับ”
พูดจบ เขาจึงเดินออกไปห้องน้ำ
เมื่อมาถึงห้องน้ำ เขากดโทรออกไปหาอีกฝ่าย แต่ทว่าไม่มีใครรับ ซวยแล้ว นี่พวกนั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้วเหรอ
เขายืนกระวนกระวายอยู่ในห้องน้ำเป็นเวลานาน จึงเดินกลับมาในห้องอาหารด้วยอาการสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ทุกคนแปลกใจกับอาหารมื้อนี้มาก แต่คนที่กระวนกระวายใจที่สุดคงเป็นเขา ทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือทานข้าวเสร็จแล้ว นักฆ่าคนนั้นยังไม่มา ยังดีที่ไม่มา ขืนมาล่ะก็เขาซวยแน่ๆ
ขณะที่เขากำลังกระวนกระวาย มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากข้างนอก จากนั้นเจ้าของโรงแรมนานาชาติเทียนเยว่ก็เดินเข้ามาข้างใน เขาพูดกับฟางเหยียนว่า “คุณฟางครับ เมื่อครู่มีนักฆ่าปลอมตัวเป็นพนักงานของเรา เขาต้องการมาลอบฆ่าคุณ แต่โดนคนของเราจับได้ก่อน คุณจะให้จัดการยังไงครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางซื่อตงตกใจจนหัวใจจะวาย เขามองหลัวเทียนเยว่อย่างเคร่งเครียด และลอบมองฟางเหยียน จางซื่อข่ายก็มองจางซื่อตงอย่างไม่รู้ตัว เขารู้ว่านี่คือแผนของจางซื่อตง
ขณะที่ฟางเหยียนยังไม่พูดอะไร เขาชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “อะไรนะ ลอบฆ่าพวกเราเหรอ จะลอบฆ่าใครกันล่ะ อย่าบอกนะว่าเย่ชิงหยู่ เพราะว่าช่วงนี้เย่ชิงหยู่ทำธุรกิจได้อย่างราบรื่น เขาต้องเจาะจงมาที่เย่ชิงหยู่แน่ๆ”
คนอื่นยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ร้อนตัวขึ้นมาแล้ว นี่คือพิรุธของคนไม่มีประสบการณ์ ถ้าขืนอยู่ในสงครามหรือสถานการณ์ที่รุนแรงกว่านี้ เขาเรียกว่ามิต้องโจมตีก็แตกพ่ายเอง
เย่ชิงหยู่ได้ยินสิ่งที่จางซื่อตงพูด เธอขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เป็นไปได้ยังไง ฉันจะไปหาเรื่องใครได้ยังไง ฉันทำงานอย่างถูกต้องมาตลอด ไม่มีทางไปผิดใจกับคนอื่นแน่นอน!”
เมื่อพูดประโยคหลัง น้ำเสียงของเธอแอบเบาลงเล็กน้อย เพราะเธอนึกถึงเซียวห้านขึ้นมาได้
ครั้งก่อนเซียวห้านมาลักพาตัวเธอ แถมยังเกือบจะฆ่าเธออีกด้วย
เมื่อคิดเช่นนั้น เธอรู้สึกกลัวขึ้นมา เหมือนฟางเหยียนอ่านใจเธอออก เขายกมือขึ้นมาจับแขนของเธอ จู่ๆ เย่ชิงหยู่รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาทันที มือใหญ่ของฟางเหยียนให้ความรู้สึกถึงความปลอดภัย ราวกับว่าจะสามารถทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยได้ตลอด
จางฉี่เหาหรี่ตาลง “ใครเป็นคนส่งมันมา นี่มันอันตรายมากนะ!”
“ออกไปถามก็จบ” ฟางเหยียนพูดจบก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปอย่างสบายใจ