เห็นสายตาที่เหม่อลอยของหวังชิงชิง เย่ชิงหยู่ก็เอ่ยถามเสียงดังอย่างระมัดระวัง “ประธานหวัง คุณสามารถช่วยฉัน ลองพบกับนายน้อยได้ไหม?”
หวังชิงชิงร้องอ้อออกมาเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “ขอโทษด้วย คุณเย่ นายน้อยเขามีธุระจริงๆ ไม่อยู่ที่บริษัท นายน้อยบอกกับฉันไว้แล้ว ไม่ว่าใครมาร้องขอ ล้วนไม่ต้องรายงานเขา ฉันไม่รู้ว่าสามีของคุณทำผิดเรื่องอะไรไว้ แต่ว่าคำพูดที่นายน้อยพูดพวกเราไม่กล้าฝ่าฝืน คุณเย่ คุณเชิญกลับไปเถอะ!”
เย่ชิงหยู่ได้ยินคำพูดของหวังชิงชิง หัวใจก็จมดิ่งลงไปที่ก้นบึ้ง ทันใดนั้นเธอก็คว้าจับแขนของหวังชิงชิงเอาไว้ คุกเข่าเสียงดังตึงลงบนพื้น วิงวอนเอ่ย “ประธานหวัง ฉันขอร้องคุณแล้ว ได้ไหม?”
ทั้งตัวของหวังชิงชิงก็โง่งมไปแล้ว เพื่อสามีของตนเอง ถึงกับคุกเข่าลงไปแล้ว มิน่าในสายตาของนายน้อยไม่เหลือไว้มองผู้หญิงคนไหนอีกอีกสักคนเดียว มีภรรยาเช่นนี้ ใครยังจะไปมองผู้หญิงคนอื่นได้อีก
เธอสะอึกแล้ว รีบร้อนประคองเย่ชิงหยู่ขึ้นมา เอ่ยว่า “คุณเย่ คุณรีบลุกขึ้นมา! อย่าทำแบบนี้ คุณทำแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ แทนที่จะทำแบบนี้ กลับบ้านไปคิดหาวิธีอื่นจะดีกว่า”
เย่ชิงหยู่ดวงตาเศร้าหมองมองหวังชิงชิงส่ายหัวเอ่ยว่า “ประธานหวัง ถ้าฉันสามารถคิดหาวิธีอื่นได้ก็ไม่มาหาคุณที่นี่แล้ว ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าสามีของฉันไปล่วงเกินนายน้อยของตระกูลฟางได้อย่างไร แต่ว่าจะต้องเป็นไปโดยไม่ได้ตั้งใจ”
หวังชิงชิงประคองเย่ชิงหยู่ลุกขึ้นมา เอ่ยว่า “เอาอย่างนี้เถอะ คุณเย่ คุณกลับบ้านไปก่อน ฉันทางด้านนี้จะติดต่อนายน้อยดูสักหน่อย ดูว่าสามารถได้ข่าวอะไรไหม ถ้าได้ข่าวแล้ว ฉันโทรศัพท์ไปหาคุณดีไหม?”
เย่ชิงหยู่มองหน้าหวังชิงชิง พยักหหน้าอืมคำหนึ่งเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณมาก ประธานหวัง!”
“ไม่ต้องเกรงใจ! คุณกลับไปก่อนเถอะ” หวังชิงชิงเอ่ยกับเย่ชิงหยู่
เย่ชิงหยู่พยักหน้าส่งเสียงอืมครั้งหนึ่ง จากนั้นนำเบอร์โทรศัพท์ของตนเองให้หวังชิงชิงไป ก็หมุนกายออกไปจากฟางซื่อกรุ๊ป
มองเงาหลังที่จากไปของเย่ชิงหยู่ หวังชิงชิงก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว บางทีอาจจะมีเพียงผู้หญิงเช่นนี้ถึงจะคู่ควรกับนายน้อยตระกูลฟางที่สูงส่ง ทำไมตนเองจะต้องคิดให้มากมายด้วยนะ
คิดมาถึงตรงนี้ เธอเผยรอยยิ้มหลอกตัวเองออกมา หมุนตัวเดินเข้าไปในบริษัท
เธอไม่เข้าใจเล็กน้อยว่าทำไมนายน้อยต้องทำเช่นนั้น ทำไมต้องให้เซียวเจิ้นเทียนจับเขาไป ทั้งยังเก็บหญิงสาวคนนี้ไว้ในความมืดมิด ที่จริงแล้วเขาสามารถประกาศฐานะของตนเองได้ เอาเรื่องราวบอกต่อกับหญิงสาวคนนี้
ด้วยความสามารถของเขา หรือว่าแม้แต่หญิงสาวเช่นนี้คนหนึ่งก็ไม่มีทางปกป้องได้เลยหรือ? ไม่ แน่นอนว่าไม่มีทาง
แต่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะคิด นายน้อยจัดการเรื่องราว ก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แล้วคนแบบเธอจะสามารถคิดได้อย่างไรกันล่ะ”
——
คฤหาสน์ตระกูลเซียว
ในที่สุด เซียวเจิ้นเทียนต้องการที่จะระบายความโหดร้ายในอกออกมาแล้ว เวลานี้เขารอมานานมากแล้ว
ตระกูลเซียวผ่านความยากลำบากมามากมาย ในที่สุดเขาก็ได้ล้างแค้นแล้ว ความแค้นของเซียวฮั่ว เซียวเหวินห่าว เซียวเหวินปิน และเซียวห้าน ทั้งหมดจะได้ล้างแค้นแล้ว เพิ่งจะเดินมาถึงประตูคฤหาสน์ คนในตระกูลก็ยืนอย่างทนรอไม่ไหวอยู่ที่หน้าประตูรอคอยฆาตกรที่มี “ความชั่วมหันต์” คนนี้
เซียวเจิ้นเทียนเปิดประตูรถออกเดินลงมาจากบนรถ เพิ่งจะลงรถมา ก็มองเห็นสีหน้าตื่นเต้นของเซียวฮั่ว เขานั่งอยู่บนรถเข็น เรียกอย่างตื่นเต้นสุดขั้ว “คุณปู่ คุณปู่ จับคนมาแล้วหรือยัง? จับมาแล้วหรือยัง?”
นั่นคือคนที่ตัดสองเท้าของเขา ความแค้นที่เขามีต่อฟางเหยียน ไม่น้อยไปกว่าคนอื่นสักนิด
เซียวเจิ้นเทียนพยักหน้าอืมตอบรับเอ่ยว่า “จับมาแล้ว ฉันไปปักธูปก่อน แล้วค่อยเอาเขาลากเข้ามา”
คำพูดเอ่ยจบ เซียวเจิ้นเทียนก็โค้งคำนับสามครั้ง เอาธูปปักลงไปในกระถางธูป ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น!
ปักธูปเสร็จ เขาก็ถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง เหมือนกับว่าให้จัดการเรื่องใหญ่ที่น่าหวาดผวาให้สงบได้แล้ว ชั่วขณะ เขาเดินไปที่ประตูคฤหาสน์อีกครั้ง ตะโกนไปที่รถธุรกิจคันนั้นว่า “เอาเขาลงมาให้ฉัน”
เสียงที่น่าเกรงขามนี้ ก็เหมือนกับคำสั่งของแม่ทัพในยุคโบราณที่มีต่อเชลยศึก
เสียงเพิ่งจะหลุดออกมา ชายผิวสีร่างใหญ่สองสามคนก็นำฟางเหยียนลงมา ฟางเหยียนถูกเชือกที่ทั้งหนาทั้งใหญ่มัดไว้บนร่าง ร่างกายที่เดิมทีที่ผอมบางนั้นของเขาอยู่ภายใต้การมัดด้วยเชือกนี้ ทำให้เขาดูยิ่งอ่อนแอ
แต่ว่าใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มที่แปลกประหลาด รอยยิ้มนี้เพิ่งจะเผยออกมาตอนที่เผชิญหน้ากับคนตระกูลเซียว คนตระกูลเซียวเห็นได้อย่างชัดเจน เข้าใจแจ่มแจ้ง นี่เขากำลังทำอะไร? ยิ้มเยาะคนตระกูลเซียวหรือ?
เซียวฮั่วเห็นรอยยิ้มมนี้ของฟางเหยียน ก็เหมือนกับเห็นผีเช่นนั้น ชี้หน้าฟางเหยียนตะโกนว่า “เขายิ้ม เขายิ้มแล้ว! คุณปู่ เขาถึงกับยิ้มให้ฉัน เขากำลังยิ้มเยาะฉันอยู่ เขาตัดเท้าทั้งสองข้างของฉัน แล้วยังยิ้มเยาะฉัน”
“สารเลว แกนี่มันไอ้สารเลว แกถึงกับยังกล้าหัวเราะ” มือของเซียวฮั่วจับไม้เท้าอันหนึ่งไว้ หมุนรถเข็นขยับไปทางฟางเหยียน ดูท่าทางคือกำลังรอระบายความโกรธแค้นนี้มานานแล้ว
เซียวเหอเดินขึ้นหน้ามาหยุดเซียวฮั่วไว้ ตะโกนใส่ฟางเหยียนอย่างดุร้าย “คนเหิมเกริม ถึงกับยังกล้ายิ้มออกมา!”
เสียงของเขาเพิ่งจะหลุดออกมา ไอตาข้างเดียวที่ถูกตัดแขนคนนั้นก็ถูกพี่น้องสองคนแบกออกมา ใบหน้าทุกข์ตรมเอ่ยว่า “คุณท่าน ให้พวกพี่น้องส่งฉันไปโรงพยาบาลได้ไหม? ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยไหวแล้ว”
ไอตาข้างเดียวริมฝีปากซีดขาว บนใบหน้ามีหยาดเหงื่อมากมายปรากฏขึ้นมา แค่ดูก็รู้ว่าอดกลั้นมานานแล้ว
ถูกไอตาข้างเดียวขัดจังหวะ คนตระกูลเซียวทุกคนก็ทอดสายตาไปมองที่ร่างของเขา
เซียวฮั่วเอ่ยถาม “คุณพ่อ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เซียวเจิ้นเทียนเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในหอตระกูลหงเล่าให้เซียวเหอฟัง หลังฟังจบแล้วเซียวเหอก็เอ่ยอย่างตกตะลึง “ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วย สองคนนั้นพวกนายฆ่าหรือยัง?”
เซียวเจิ้นเทียนส่ายหน้าเอ่ย “ยัง!”
ไอตาข้างเดียวเห็นทั้งสองคนสนทนากัน ไม่ได้สังเกตเห็นอาการบาดเจ็บของตนเอง ก็เอ่ยอย่างอ่อนแรงอีกครั้งว่า “คุณท่าน สามารถส่งฉันไปที่โรงพยาบาลได้ไหม? ฉันเสียเลือดมากเกินไป ถ้ายังไม่ไปโรงพยาบาลละก็ เกรงว่าชีวิตจะไม่ยาวแล้ว”
หนึ่งในคนที่ประคองไอตาข้างเดียวก็เอ่ยว่า “ใช่แล้ว คุณท่าน ให้ฉันส่งพี่หลงไปโรงพยาบาลเถอะ!”
เห็นท่าทางของเขา ทรมานมากจริงๆ
เซียวเจิ้นเทียนยังไม่ได้ตอบคำ เซียวเหอก็เอ่ยถาม “ตู่เหย่น นายยิงปืนใช้มือข้างไหนยิง?”
ไอตาข้างเดียวชะงักไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าถามประโยคนี้หมายความว่าอะไร
“มือข้างไหน?” เซียวเหอถามอีกครั้ง
ไอตาข้างเดียวไม่ได้ลังเลอีก ตอบว่า “มือขวา!”
“เช่นนั้นที่นายถูกตัดเป็นมือข้างไหนล่ะ?” เซียวเหอเอ่ยถาม
ไอตาข้างเดียวตอบ “มือขวา!”
“อ้อ!” เซียวเหอถามอีก “เช่นนั้นมือซ้ายของนายยิงปืนได้ไหม?”
ไอตาข้างเดียวเงียบไปชั่วขณะ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ได้ ตั้งแต่เด็กฉันฝึกแค่มือขวา มือซ้ายยิงปืนไม่ได้!”
“ในเมื่อมือซ้ายของนายยิงปืนไม่ได้ ตอนนี้ก็ไม่มีมือขวา เช่นนั้นใช่ว่านายก็ไม่มีประโยชน์แล้ว? ก็พูดได้ว่า ต่อไปนายก็ไม่สามารถยิงปืนได้อีกแล้วถูกไหม?” เซียวเหอจี้ถามต่อไป