จางฉี่เหาหรี่ตา ส่ายหน้าพูด“ไม่ค่อยเหมือน ตระกูลฟางแม้ใหญ่โต แต่ก็ไม่สามารถออกคำสั่งมาตรงๆ เท่าที่ผมรู้ คนที่ออกคำสั่งได้โดยตรง มีแต่คนที่มีตำแหน่งที่น่าตกใจเท่านั้นแหละ เช่น คนที่เคยมีคุณูปการกับประเทศชาติ อย่างพวกนายพล จอมพล รวมถึงพวกกษัตริย์และขุนนางทั้งหลายในสมัยก่อน!”
จางฉี่เหาเคยใช้ชีวิตอยู่ในเมือง เขาย่อมรู้เส้นทางในนั้น
เย่ชิงหยู่ใจสั่นเทา กษัตริย์และขุนนางของสมัยโบราณ แม่ทัพ!
จู่ๆในหัวเธอก็คิดออกเรื่องหนึ่ง หมอดูที่ดูด้วยวิธีคลำกระดูกเคยบอกว่า เขาบอกว่าผู้ชายของเย่ชิงหยู่จะต้องเป็นระดับนายพล แถมยังเป็นผู้รักษาดินแดน และก็เป็นหนุ่มหล่อ มีตำแหน่งหน้าที่การงาน
ตอนนี้พอได้ยินคุณตาพูดถึงคนๆนั้นอีก เธอจึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ฉับพลัน
“คุณตาคะ!” เย่ชิงหยู่เงยหน้ามองแล้วถาม“คนสมัยนี้ยังเหลือคนระดับความสามารถจอมทัพอีกหรือคะ”
จางฉี่เหาขานรับอืมพยักหน้าพลางพูด “มีสิ เป็นผู้รักษาดินแดน คอยดูแลชายแดนบ้านเมือง มีการแสดงออกโดดเด่น เป็นนายพลที่ฆ่าล้างศัตรูได้!พวกเราสามารถอยู่ในสังคมได้สงบสุขขนาดนี้ ต้องการชายฉกรรจ์พวกนั้นแหละ สังคมที่ดูเหมือนสงบ ที่จริงแลกมาด้วยเลือดเนื้อทั้งนั้นแหละ”
ในฐานะคนแก่ที่เคยอยู่ในเมือง เวลาที่จางฉี่เหาพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร ก็อดพูดด้วยความเคารพไม่ได้ ขอเพียงประเทศชาติมีชายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อ เวลาที่ได้ยินเสียงประเทศชาติคำรามกึกก้อง เลือดร้อนก็อดที่จะระอุขึ้นมาไม่ได้
“ชิงหยู่!”จางฉี่เหามองไปที่เย่ชิงหยู่ พูดขึ้น“คนอย่างฟางเหยียนพึ่งพาตัวเองได้เกินไปหน่อย ไม่ใช่ว่าตาจะใจแคบ ตารู้แต่แรกแล้วว่าเขาต้องก่อเรื่อง คนที่จะออกคำสั่งได้ จะต้องมีการสมาคมกับตระกูลฟาง ตาได้ยินมาว่าตระกูลเซียวได้ร่วมมือกับคุณชายตระกูลฟางเรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้ เกรงว่าฟางเหยียนน่าจะหนีความเดือดร้อนอยู่”
คำพูดของคุณตาดึงสติเย่ชิงหยู่กลับมา ตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย ฟางเหยียนจะไปมีความสามารถระดับจอมทัพได้ไงกัน เย่ชิงหยู่เอ๊ย เย่ชิงหยู่ ทำไมถึงได้ซื่อบื้อแบบนี้นะ ก็แค่ตาแก่เลอะเลือนคนนึง
“คุณตาคะ เราสืบให้ลึกกว่านี้แล้วไม่ได้เหรอ หรือว่าเราจะคอยมองฟางเหยียนตาปริบๆโดยไม่สนใจความเป็นความตายของเขาแล้ว ”เย่ชิงหยู่จ้องจางฉี่เหา ถามอย่างสิ้นหวัง
จางฉี่เหาสีหน้าน่าเกลียด เขาส่ายหน้าเล็กน้อย จากนั้นจึงขมุ่นคิ้วพูด“หลานไปดูที่บ้านตระกูลเซียวก็ได้นี่ วันนี้เป็นวันเกิดเซียวเจิ้นเทียน จากข่าวที่เชื่อถือได้บอกว่า วันนี้เซียวเจิ้นเทียนไม่ได้เชิญตระกูลดังใดๆ จัดเพียงต้อนรับคุณชายตระกูลฟาง คุณชายตระกูลฟางเป็นคนรักสงบ ตระกูลเซียวก็เลยปฏิเสธคนอื่นๆที่จะมาอวยพรวันเกิด”
พอสิ้นเสียง เย่ชิงหยู่ก็วิ่งแจ้นออกนอกบ้านไป
จางฉี่เหากับจางเจียวเจียวไม่ทันตั้งตัว เย่ชิงหยู่ก็หายไปแบบไร้เงา
ทางด้านตระกูลเซียว
ในตอนที่หวังชิงชิงตะโกนคำนี้ออกไป คนตระกูลเซียวก็อึ้ง ต่างมองหวังชิงชิงอย่างไม่แสดงอาการ แต่ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนให้ความสนใจไปที่ฟางเหยียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประมุขมากกว่า
ฟางเหยียนสีหน้าไร้ความรู้สึก นั่งสบายอยู่บนเก้าอี้แสนแพงนั่น เมื่อเทียบกับเสื้อผ้าที่เขาใส่ ดูไม่เข้ากันเลย แต่สีหน้าเขาแสดงความมั่นใจเต็มที่ แววตาคู่นั้น ราวกับเจ้าศักดินาที่จุติมาจากฟากฟ้าไร้พรมแดน
แววตาแบบนั้น ท่าทีแบบนั้น ไม่ใช่สีหน้าท่าทางที่เด็กหนุ่มวัยยี่สิบจะแสดงออกมา
เขาเป็นใครกัน ทำไมถึงได้มีบารมีขนาดนี้ !
เซียวเจิ้นเทียนยังไม่ทันพูดอะไร เซียวเหอจึงชี้ไปที่ฟางเหยียนผู้นั่งบนเก้าอี้แล้วคำรามออกมา “แกเป็นตัวอะไร ตรงนั้นใช่ที่แกนั่งหรือไง นั่นเป็นที่นั่งประจำของประมุขตระกูลเซียว ลงมาเดี๋ยวนี้”
ฟางเหยียนเบ้ปากยิ้มประหลาด เงื้อมือขึ้นตบลงบนเก้าอี้อย่างแรง ในฐานะตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองจินโจว กฎระเบียบก็เหมือนกับตระกูลเย่นั่นแหละ เป็นสถานภาพที่สูงส่ง เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ
ในตระกูลเซียว มีแต่ประมุขของบ้านเท่านั้นที่จะนั่งเก้าอี้นี้ได้
“สมแล้วที่เป็นเก้าอี้ประมุขตระกูลเซียว นั่งแล้วรู้สึกสูงส่งอย่างไรไม่รู้ นั่งตรงนี้ ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความสุขแห่งความสำเร็จ เหมือนกับว่า ผมกำลังอยู่เหนือเมฆเมืองแห่งนี้ และผมกำลังกำหนดชีวิตผู้คน เหมือนมือของผมใหญ่มาก สามารถบดบังขอบฟ้าไว้ได้”ฟางเหยียนพึมพำแปลกๆ
ตอนนี้ตระกูลเซียวเงียบถึงขีดสุด ต่อให้พูดคำนี้เบาแสนเบาก็เถอะ ก็ยังทำให้คนตกใจอยู่ดี ใบหน้าชราของเซียวเจิ้นเทียนสั่นเทา เขาหรี่ตาถาม“คุณออกมาได้ไง”
หรือหลายคนอาจจะทันคิดว่าเขาโดนกักขังอยู่ แต่ปฏิกิริยาเซียวเจิ้นเทียนเป็นแบบนี้ เขาโดนกักขังอยู่ในคุก คุกนั้นเอาไว้ขังนักโทษอุกฉกาจ จะแกร่งกว่าคุกธรรมดาถึงสิบเท่า แล้วมือเท้าเขายังถูกลอคด้วยกุญแจเหล็กอีก ต่อให้เขามีสามหัวหกแขน ก็ไม่มีโอกาสรอดออกมาได้
หรือว่า เขาซื้อตัวลูกน้อง ลูกน้องปล่อยออกมา
หรือว่ามีคนปล่อยเขาออกมา
คิดมาถึงตรงนี้ จึงเงยหน้ามองไปรอบๆโดยไม่รู้ตัว ทีมอารักขาของเขาปกป้องตระกูลเซียวไว้หนาแน่น เวลามีใครเข้ามาทีมอารักขาจะไม่มีใครมีปฏิกิริยาได้ไง
ในตอนที่เขากำลังเดา คนที่ดูกำยำก็วิ่งมาจากหลังบ้าน
ชายคนนี้คราบเลือดเต็มตัว สีหน้าตระหนก เป็นหนึ่งในคนอารักขา เขาถูกส่งให้ไปคุมฟางเหยียนในคุก
“คุณท่าน แย่แล้วครับ คนๆนั้นออกมาแล้ว เขาหักซี่กรงเหล็กเป็นท่อนๆ แล้วยังฆ่าพี่น้องเราอีก เหมือนกับโดนปิศาจสิง ฆ่าคนด้วยมือเปล่า แป๊บเดียวก็ฆ่าตาย”
คำพูดชายหนุ่ม ทำให้คนตระกูลเซียวเหมือนโดนตีหัว และนี่ก็เป็นคำตอบอย่างดีให้เซียวเจิ้นเทียน
พอพูดจบ ชายหนุ่มเห็นคนตระกูลเซียวจ้องไปที่ที่เดียว สายตาของเขาจึงหันไปมองบ้าง พอเห็นรอยยิ้มมหาเสน่ห์ ชายหนุ่มแทบจะเป็นลมไป
เขาไม่เคยเห็นการสังหารแบบนี้ ไม่เคยเห็นคนที่โหดแบบนี้ เขาเป็นแค่ผู้อารักขา เป็นแค่บอดี้การ์ด
พอเห็นชายหนุ่มเป็นลม คนของตระกูลเซียวก็ยิ่งสงสัย คนๆนี้น่ากลัวขนาดนั้นเหรอ หญิงสาวบางคนก็อดไม่ได้ที่จะผงะถอย ไม่กล้าสบสายตา
ในฐานะประมุข เซียวเจิ้นเทียนในตอนนี้ สีหน้าเริ่มบ้าคลั่ง เขาประมาทไป เขาประมาทฝึมือคนๆนี้ไป เขาเชื่อว่าตัวเองมีกำลังมาโดยตลอด แต่เขาคิดไม่ถึง คนๆนี้จะมีกำลังขนาดนี้ และก็ไม่แปลก เขาสามารถเขามาสู่กลุ่มลึกลับนี้ ย่อมต้องมีข้อดีในตัว
แต่ที่แปลกคือ ทำไมไม่ออกมาแต่แรก ทำไมถึงอยู่บ้านนานขนาดนี้ หิวมาหลายวัน ทำไมไม่ตอบแทนตัวเองแต่แรกเริ่ม ทำไมเขาถึงรอจนถึงบัดนี้
เซียวเจิ้นเทียนตั้งคำถามเป็นพรวน เขามึนงงไปหมด เจ้าหนุ่มนี่เปิดโลกทัศน์มุมที่สามของเขาขึ้นมาอีกแล้ว