เขารู้ว่าชายคนนี้มีฝีมืออยู่บ้าง อย่างน้อยเป็นระดับต้าชี่ถึงได้ใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือ คนนี้มันสามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้ นี่มันพลังมหาศาล ในโลกนี้คนที่รับพลังมหาศาลของเขาได้มีไม่ถึงสิบคน แล้วคนพวกนั้นล้วนมีอายุ และผู้เฒ่าที่เก็บตัว เขาไม่คาดคิดว่าวัยรุ่นคนนี้จะต้านทานได้ ไม่เพียงแค่ต้านทานได้ แล้วยังใช้ท่าทีแบบนี้ หน้านิ่ง ถึงขั้นไม่หอบหืดเลยแม้แต่น้อย
เขาจ้องฟางเหยียนด้วยความซับซ้อน ขณะนี้ ฟางเหยียนก็ได้ใช้สายตาอำมหิตจ้องมาที่อีกฝ่าย สายตาสองคู่ประสานกัน เป็นแววตาแบบไหนกันนะ?! ราวกับยมบาลในนรก ที่ทมิฬอย่างที่สุด แววตาของเขาเต็มไปด้วยวังวนอันยิ่งใหญ่ ทำให้จิตใจของตนถูกดูดเข้าไปลึกๆ ลึกอย่างที่สุด
พระเจ้า ต้องฆ่ากี่คนถึงจะมีแววตาแบบนี้ได้นะ ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนถึงจะต้านทานการโจมตีของตนได้นะ
เขาไม่ใช่ระดับต้าชี่ เขาคือระดับปรมาจารย์ อย่างน้อยต้องเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ถึงจะทำแบบนี้ได้ ใช้แค่สายตาก็สามารถทำลายสติของตนได้ ไร้เทียมทานในยุทธภพมาหลายสิบปี ไม่เคยเจอศัตรูแบบนี้มาก่อน อายุน้อย เหี้ยมโหด มีฝีมืออย่างที่สุด และสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์!
“แก แกแกเป็นใครกันแน่?” อีเหมยถามอย่างลังเล แววตาเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย
จู่ๆฟางเหยียนก็ยิ้มมุมปาก แล้วตอบกลับไปอย่างเบาๆ “เป็นคนๆหนึ่งที่จะฆ่าแกในเร็วๆนี้?ฉันบอกแล้ว ว่าแกไม่มีโอกาสอีกต่อไป แกคิดว่าฉันกำลังล้อเล่นกับแกอยู่หรือไง?”
เมื่อพูดจบ ฟางเหยียนวางมือลง อีเหมยเบิ่งตาโต เมื่อเสียการควบคุมพลังของฟางเหยียนไป ร่างกายของเขาก็ซึ่งกำลัง แต่ เขาไม่ได้ล้มลงไป กลับถูกมือใหญ่อันเยือกเย็นจับคอหอยไว้
นี่เป็นมือแบบไหน เขายกมือเพื่อจะดิ้น แต่ดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หยุด มือยักษ์เหมือนกับมือปีศาจนรก ทำให้เขาขยับไม่ได้ ทำได้เพียงคว้าไปมาในอากาศอย่างดุร้ายเท่านั้น
ฟางเหยียนนิ่งสงบ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้เห็นหัวของคนนี้เลยแต่อย่างใด เพียงแค่เขาสำคัญตัวเองไปเองเท่านั้น
ขวังซือผู้คุ้มกันของตระกูลฟางที่เมืองเจียงตูยังเก่งกาจกว่าเขาอีก ในสายตาของฟางเหยียนเขายังอ่อนไป ถ้าถูกฟางเหยียนโจมตีด้วยพลังชนิดเดียวกัน แล้วไอ้นี่จะเหลือเหรอ?ก็แค่เสแสร้งเท่านั้นแหละ!
ที่ฟางเหยียนไม่บุกโจมตี ก็เป็นเพราะคนนี้ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะให้เขาบุกโจมตีได้ แต่ขวังซือกลับมีคุณสมบัติตรงนี้ ตอนนั้นที่ต่อสู้กับขวังซือ ถ้าไม่ใช่เพราะตนบุกโจมตี ต่อให้ใช้สิบท่าฟางเหยียนก้ไม่มีทางชนะได้
เมื่อเห็นฟางเหยียนที่ จับอีเหมยอย่างนิ่งสงบ คนของตระกูลเซียวทุกคนต่างพากันตะลึง
ท่าเดียว ใช้เพียงท่าเดียวฟางเหยียนก็ชนะนักเต๋าอีเหมยที่หลงตัวเองคนนี้ได้ และทำลายความหวังของตระกูลเซียวจนหมดสิ้น
เซียวติ่งมองเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าตะลึง ด้วยความสิ้นหวัง นี่เป็นเรื่องจริงใช่มั้ย?อาจารย์ของเขาแพ้แล้ว อาจารย์ที่ไร้เทียมทานในความคิดของเขา เหมือนลูกไก่ที่ถูกบีบในกำมือของคนอื่น
ฟางเหยียนอายุแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะจัดการอาจารย์ของตัวเองที่อายุเกือบร้อยปีได้อย่างง่ายดาย
นี่ต้องเป็นคนแบบไหนกันแน่?ทำไมตระกูลเซียวถึงได้มีปัญหากับคนที่น่ากลัวขนาดนี้ได้นะ!
ฟางเหยียนค่อยๆขยับตัว หันหน้าตรงๆของนักเต๋าอีเหมยไปทางด้านหน้าของคนตระกูลเซียว
นักเต๋าอีเหมยในขณะนี้เหมือนกับหมาที่ตายแล้วตัวหนึ่ง ไม่ดิ้นและต่อต้านแต่อย่างใด จบกัน ความหวังของตระกูลเซียวพังทลายหมดแล้ว แต่ล่ะคนของตระกูลเซียวต่างพากันท้อแท้ใจ เหมือนกับไก่ชนที่พ่ายแพ้อย่างไรอย่างนั้น มาที่อีกฝ่ายฟางเหยียน เขายังคงหยิ่งยโส ท่าทางนิ่งสงบ ราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาต้องหน้าถอดสีได้เลย
ฟางเหยียนเห็นคนของตระกูลเซียวต่างมองตากัน ก็ยิ้มออกมา แล้วตะคอกว่า “นี่ เป็นความของพวกแกเหรอ!พวกแกคิดว่า มันสามารถช่วยพวกแกทั้งตระกูลเซียวได้ใช่มั้ย?”
เมื่อฟางเหยียนพูดออกมา อุณหภูมิในห้องลดลงหลายองศาทันใด ราวกับมีพลังไร้รูปที่กำลังบีบทุกคนของตระกูลเซียวไว้อย่างรุนแรง เซียวเจิ้นเที่ยนรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ นี่เป็นกลิ่นอายของความตายเหรอ?
อีเหมยดิ้นอย่างไร้ทางออก เขาใช้สายตาขอความช่วยเหลือไปที่ศิษย์ของตน แต่เซียวติ่งในตอนนี้จะมีปัญญาช่วยคนได้อย่างไรกัน แม้แต่พลังที่จะยืนขึ้นมาของตัวเองยังไม่มีเลย
ฟางเหยียนเห็นคนของตระกูลเซียวที่ตกจจนอ้าปากค้าง จึงได้ค่อยๆยกอีเหมยขึ้นระดับหัว เขาเหลือบมองไปยังอู๋เหมย เมื่ออู๋เหมยเห็นแววตาราวกับยมบาล ก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นโดยปริยาย
เขาคิดจะทำอะไร?เขาจะฆ่าตนเหรอ?ตอนนี้ตนก็เป็นแค่ลูกไก่ในกำมือของเขาเท่านั้น ถ้าเขาจะฆ่าตนก็เป็นเรื่องปกติ แต่ ทำไมตนต้องกลัวขนาดนี้?ทำไมต้องกลัว?
เดิมคิดว่าเขามองเรื่องความเป็นความตายเป็นเรื่องปกติ และคิดว่าไม่มีใครฆ่าเขาได้!แต่เมื่อเหตุการณ์นี้มาถึง อีเหมยรับรู้ได้ถึงความกลัวอย่างลึกซึ้ง นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกินขึ้นมาก่อน ไม่เคยเกินขึ้นมาก่อน!
ฟางเหยียนยิ้มออกมาทันใด แล้วพึมพำ “ตัวเองไร้น้ำยา แล้วยังแสร้งเป็นยอดฝีมืออะไรนั่นอีก ตลกจริงๆ!”
ตลกจริงๆคำนี้แทบจะตะโกนเกรี้ยวกราดออกมา เมื่อตะโกนออกมา เขาได้โยนอู๋เหมยอย่างรุนแรงลงกับพื้น ได้ยินเพียงเสียงปัง ก้อนหินบนพื้นลอยขึ้นมาหลายก้อน ร่างกายของอู๋เหมยดังแคร็กขึ้นมา เว้าลึกลงไปบนพื้น ไม่รู้ว่ากระดูกหักไปกี่ซี่ เขาร้องคร่ำครวญ แล้วกระอักเลือดออกมา
จากนั้น ลูกประคำที่อยู่ในมือของเขากระจายออกทั้งหมด หล่นลงบนพื้น
อีเหมยกอดอก อดทนกับความเจ็บปวดในร่างกาย เงยหน้าขึ้นมองฟางเหยียน สบตากันอีกครั้ง แววตาดวงนั้นเดินมาหาตัวเองทีละก้าวทีละก้าว เมื่อเห็นแววตาแปลกประหลาดคู่นั้น อีเหมยจึงรีบถอยหลังไป
เขาโบกมือ กลับไม่ได้แสดงท่าทางที่คนอื่นเฝ้ารอ แล้วพูดอะไรชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ท่าทีอย่างยอมตายโดยไม่ยี่หระใดๆทั้งสิ้น แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “แกคิดจะทำอะไร?แกเป็นใครกัน?”
ต่อหน้าคนอื่น อีเหมยเป็นยอดฝีมือจริงๆ แล้วยังเป็นยอดฝีมือที่เจ๋งมากๆด้วย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะกลายเป็นคนอ่อนแอได้ขนาดนี้!นี่มันแม่งแปลกประหลาดเกินไปแล้ว!
“รู้แล้วยังแกล้งถามอีก” ฟางเหยียนพูดออกมากี่คำอย่างสบาย
นานแล้วที่อีเหมยไม่ได้ออกจากภูเขา แต่เขายังคงรู้เหตุการณ์เล็กๆน้อยๆที่เปลี่ยนไปข้างนอกอยู่บ้าง วัยรุ่นขนาดนั้น แล้วยังเป็นคนของกองทัพ งั้นก็มีแค่คนเดียวที่มีฝีมือแบบนี้ได้ นั่นก็คือ…!
อีเหมยตาลุกโตอย่างไม่คาดคิด มองไปที่ฟางเหยียนแล้วถาม “แกคือจอมพลโผ้จวิน?สายเลือดอันได้รับความชอบธรรมของชายแดนภาคเหนือประเทศหวา?แม่ทัพเทพห้าดาวเพียงคนเดียวของประเทศหวาที่สมญานามว่าสายเลือดอันได้รับความชอบธรรม?!”