เฉินถิงเย่ว์เอามือกลับไปอย่างอับอาย เมื่อกี๊ได้ยินซ่งฉาวอู่พูดถึงคนนี้ ว่ากันว่าเขาตำแหน่งสูงมาก แล้วยังมาจากกองทัพอีกด้วย วัยรุ่นหยิ่งยโส เคยผ่านสงคราม เคยทำคุณูปการให้เช่นกัน เข้าใจได้ แต่กฎที่เคารพนับถือผู้สูงอายุและรักเด็กก็ยังต้องมี เพราะนี่คือคุณธรรมอันดีงามที่สืบทอดกันมาของชนชาติหวา แต่คนนี้ประพฤติตัวแบบนี้กับเขา ไม่ค่อยเคารพตัวเองสักเท่าไหร่
ไม่ว่าจะยังไงตัวเองก็เป็นคณบดีโรงพยาบาลนี้ ตำแหน่งก็ไม่แย่นะ!ถูกเขามองข้ามแบบนั้น รู้สึกค่อนข้างงามหน้า
แต่เฉินถิงเย่วก็ไม่กล้าที่จะไม่ตอบ จึงได้พูดว่า “ผมไม่ค่อยแน่ชัดในลำดับขึ้นตอนสักเท่าไหร่ เรื่องนี้…”
“ซ่งฉาวอู่!” ฟางเหยียนเรียกชื่อซ่งฉาวอู่อย่างเลือดเย็น ขัดจังหวะคำพูดของเฉินถิงเย่ว์
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาไม่ให้เกียรติตัวเอง นี่ทำให้เฉินถิงเย่ว์เสียหน้าต่อหน้าลูกน้องอย่างที่สุด จากเรื่องเล็กๆเหล่านี้เพียงพอที่จะรู้ว่าความอวดดีของคนนี้ไม่ได้น้อยเลย
“หา!” ซ่งฉาวอู่สะดุ้ง แล้วกล่าวอย่างติดๆขัดๆ “ผม ผมไม่ทราบครับ!”
ซ่งฉาวอู่ทำอะไรไม่ถูก!
“เหอะเหอะ!” ฟางเหยียนดูแคลน แล้วกล่าว “ไม่รู้?งั้นคุณทำอะไรอยู่ที่นี่ตั้งนาน?ฟังคณบดีคนนี้โม้งั้นเหรอ? ถ้าผมเดาไม่ผิดละก็ เกิดเรื่องแล้วคณบดีคนนี้ถึงได้ออกจากบ้านแล้วมาโรงพยาบาลสินะ?”
คณบดีชะงักทันใด เขากลับไปแล้วจริงๆ ได้ยินว่าโรงพยาบาลเกิดเรื่องจึงได้รีบมา แต่เขาก็ไม่อนุญาตให้คนอื่นว่าเขาแบบนั้นนะ นี่อยู่ที่หน้าประตูโรงพยาบาลของเขา และข้างๆยังมีหมอจำนวนมากยืนฟังอยู่อีกด้วย
“เด็กน้อย คุณหมายความว่ายังไง?คุณรู้มั้ยว่าผมเป็นใคร?” เฉินถิงเย่ว์ตะคอกอย่างโมโห
ฟางเหยียนหันไปมองเฉินถิงเย่ว์ แล้วกล่าว “ตัวตนของคุณ ผมไม่อยากรู้ ในฐานะที่เป็นคณบดีของโรงพยาบาล แม้แต่เกิดอะไรขึ้นยังไม่รู้เลย คุณคิดว่าตัวคุณเองยังมีคุณสมบัติที่จะเป็นคณบดีโรงพยาบาลอีกต่อไปมั้ย?”
เฉินถิงเย่ว์ค่อนข้างมึนงง ประโยคนี้หมายความว่ายังไง?กำลังท้าทายอำนาจของตนอยู่เหรอ?
เขากัดฟัน กล่าวอย่างยับยั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่ “คุณไม่รู้จักการเคารพนับถือผู้สูงอายุและรักเด็กเหรอ?ผมอายุปูนนี้ถือเป็นปู่ของคุณได้แล้วนะ คุณพูดกับผู้อาวุโสด้วยท่าทีแบบนี้?อย่าคิดว่ามีแค่คุณที่เคยผ่านสงครามมา ตอนที่ผมวัยรุ่นก็เคยผ่านสงครามมาแล้วเหมือนกัน ตอนนั้นผมนำทีมแพทย์ไปรักษาวีรบุรุษที่ได้รับบาดเจ็บจากการทำสงคราม”
เคารพนับถือผู้สูงอายุและรักเด็ก!ปู่!ถ้าเขารู้ว่าปู่ของตนคุกเข่าต่อหน้าเขาเพื่อขอให้เขาสืบทอดกิจการของตระกูล ไม่รู้ว่าเขาจะมีท่าทียังไงอีก ฟางเหยียบเหลือบตาไปมองเขา แล้วไม่พูดอะไรอีก
จากนั้นมองไปยังซ่งฉาวอู่แล้วกล่าว “ไปสืบมาว่าเกิดอะไรขึ้น ผมอยากรู้ว่าหมอสามคนนั้นทำอะไรกับเขา!”
“รับทราบ!” ซ่งฉาวอู่ตอบรับ แล้ววิ่งไปยังสถานที่กักตัวของเหล่าแพทย์อย่างตาลีตาเหลือก
ฟางเหยียนไม่เชื่อว่าเทียนขุยจะฆ่าคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ พวกเขาต้องทำอะไรเขาแน่ๆ ถึงได้เขาคลุ้มคลั่งแล้วฆ่าคน เทียนขุยไม่ได้เป็นคนที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ต่อให้บ้าคลั่งสุดๆเขาก็ไม่มีทางทำแบบนั้น
ตอนนี้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว เทียนขุยยังไม่ออกมา ก็เพียงพอที่จะดูออกแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ซ่งฉาวอู่พูดทั้งหมด ว่าเขาบ้าไปแล้ว ดังนั้นฟางเหยียนจึงมั่นใจ ว่าหมอสามคนนั้นต้องทำอะไรกับเขาแน่นอน
ฟางเหยียนเชื่อมั่นในผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามาก เพราะเขาเข้าใจทุกคนในสำนักเจ็ดพิฆาต!
เฉินถิงเย่ว์ถูกมองข้ามอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเกรี้ยวกราดแล้วจริงๆ เขาชี้ไปที่ฟางเหยียนแล้วตะคอก “ไอ้เด็กน้อย ตำแหน่งไม่ได้สำคัญอะไรหรอกนะ แกตำแหน่งสูงมาก และเคยทำความดีให้กับประเทศหวา แต่นิสัยอย่างแก ต้องเกิดปัญหาไม่ช้าก็เร็ว”
เขารู้ว่าฟางเหยียนตำแหน่งสูง แต่ไม่รู้ว่าสูงขนาดไหน!เรื่องนี้เพิ่งจะได้ยินตอนที่พูดคุยกับซ่งฉาวอู่เมื่อกี๊นี่เอง
ห้านาทีผ่านไป ซ่งฉาวอู่พาพยาบาลที่หน้าซีดคนหนึ่งมา พยาบาลคนนี้อายุไม่เยอะ ลักษณะสวยงาม มีความงามของชนกลุ่มน้อยของชนชาติหวากลุ่มหนึ่ง ตอนที่ถูกคนพามา เธอหน้าซีด แว็บๆก็มองดูรอบๆ แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความขี้ขลาด มองแว็บเดียวก็ไม่กล้ามองแล้ว
หลังจากที่ซ่งฉาวอู่มาถึง จึงกล่าวว่า “จอมพลโผ้จวิน นี่คือผู้ช่วยของหวังเต๋อฉายแพทย์ประจำโรงพยาบาลที่เสียชีวิตไป และเป็นเธอที่เห็นแพทย์ทั้งสามคนถูกควักหัวใจ ตอนนั้นเธอยืนอยู่ที่ประตูกำลังรอหมอหวังเต๋อฉายออกมา หมออีกสองคนที่เสียชีวิตไปเป็นนักเรียนของหมอหวังเต๋อฉาย หมอหวังเต๋อฉายทำงานที่โรงพยาบาลเขตมาสามสิบปีแล้ว”
ฟางเหยียนไม่พูดใดๆ ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ เพียงแต่ดูไปที่พยาบาลผู้ช่วยคนนั้น หญิงสาวเงยหน้ามองฟางเหยียน แต่แค่แว็บเดียวเธอก็หลบสายตาไป เธอหวาดกลัว หวาดกลัวเมื่อนึกถึงภาพที่ตนเห็น
ฟางเหยียนถามอย่างนิ่งสงบ “บอกผมมา หมอสามคนนั้นทำอะไรเทียนขุย?”
ฟางเหยียนเพิ่งจะถามเสร็จ คณบดีอะแห่มออกมาแล้วกล่าว “พูดความจริง!”
พูดความจริงประโยคนี้มันมีความหมายลึกซึ้ง ดูออกชัดเจนว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
หญิงสาวมองไปที่คณบดี ไม่กล้าเงยหน้า แล้วกล่าวอย่างเบาๆ “ไม่ ไม่ได้ทำอะไรค่ะ?คนนั้นบ้าไปแล้ว พวกเราทำตามจอมพลซ่งคือเอาเขาแช่น้ำในห้องพักผู้ป่วย จู่ๆเขาก็ร้องออกมา จากนั้นคุณหมอหวังก็เข้าไป ต่อมา ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงได้ ด้านในก็มีเสียงร้องครวญครางออกมา ตอนที่ฉันเปิดประตูเข้าไปดู ก็เห็นคนนั้นได้ฆ่าพวกเขาทั้งสามคนแล้ว แล้วหัวใจก็ถูกควักออกมาแล้ว เขากำลังถือหัวใจของหมอหวังเต๋อฉาย กำลังกำลังกำลังกิน!”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ ใบหน้าแห่งความกลัวของหญิงสาวคนนั้นหวาดกลัวขึ้นอย่างชัดเจน ราวกับเหตุการณ์เมื่อกี๊ติดอยู่ในหัวของเธอไม่จางหายไปไหน
ฟางเหยียนไม่ได้ตอบในทันที จากนั้นใช้มือทั้งสองข้างกดแขนของหญิงสาวไว้ หญิงสาวสะดุ้ง มองไปยังฟางเหยียนอย่างหน้าซีด ฟางเหยียนจ้องไปที่สายตาทั้งสองข้างของเธออย่างไม่ละสายตา สัญชาตญาณบอกตัวเองว่า เธอพูดโกหก
เขามองไปที่หญิงสาวแล้วกล่าว “มองตาของผม!”
หญิงสาวเงยหน้าอย่างขี้ขลาด ตอนที่สบตาคู่นั้น เธอตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
“นี่!” เฉินถิงเย่ว์เห็นเหตุการณ์ จึงรีบเข้ามาลากแขนของฟางเหยียนไว้ แล้วกล่าว “คุณจะทำอะไร?คุณกำลังบีบบังคับเพื่อให้ยอมรับอยู่นะรู้บ้างมั้ย?ผมรู้ว่าคนในกองทัพของคุณล้วนเป็นคนหัวรุนแรง แต่จะบีบบังคับเพื่อให้ยอมรับไม่ได้นะ?”
ฟางเหยียนมองไปที่เขา จากนั้นก็พูดออกมาว่า “ไสหัวไป!”
คำนี้ทำให้เฉินถิงเย่ว์มึนงง เขาจับแว่นไว้ หลับตาแล้วถาม “แกหมายความว่าไง?”
“ซ่งฉาวอู่ จับเขาไว้!” ฟางเหยียนชี้ไปที่เฉินถิงเย่ว์ จากนั้นก็มองไปยังหญิงสาว
เฉินถิงเย่ว์โมโหจนหน้าแดง นี่มันไม่ให้ความสำคัญใดๆกับเขาเลย!