แต่ฟางจินหยวนไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะที่ฟางเหยียนเปลี่ยนไปเป็นแบบนั้น ก็เป็นเพราะเขาทั้งนั้น เขาเสียใจมาก เขากลัวว่าหลานสาวของเขาจะรับไม่ไหว ทั้งสองจึงตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อมารอ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองฟางฟังที่ชะงักอยู่ แล้วกล่าว “ไม่เป็นไรใช่มั้ย? ฟางฟัง! อย่าโทษพี่เหยียนของแกเลย เขาก็เป็นแบบนี้แหละ ได้รับความเจ็บปวดมาตั้งแต่ยังเด็ก ถึงขนาดตอนนี้เมื่อเห็นพวกเราจึงมีแต่ความโกรธแค้น”
ฟางฟังส่ายหน้า ผมที่ยาวประบ่าพลิ้วไสว เธอกล่าวอย่างพึมพำว่า “หนูไม่เป็นไรค่ะ คุณปู่ หนูไม่โทษพี่เหยียนหรอกค่ะ ก็แค่รู้สึกเอ็นดูพี่เหยียน! ไม่รู้จริงๆว่าช่วงหลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตยังไง แม้เขาจะเป็นพลตรีผู้สูงส่ง แต่หนูกลับมองเห็นความโดดเดี่ยวของพี่เหยียน”
“เฮ้อ!” ฟางจินหยวนยกมือขึ้นมาตบไปที่ไหล่ของหลานสาวตัวเอง จากนั้นก็กล่าว “ไปกันเถอะ! เข้าไปกันดีกว่า”
มีคนจำนวนไม่น้อยเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประตู ทุกคนต่างแปลกใจว่าคนที่ไม่ให้เกียรติตระกูลฟางคนนี้เป็นใครกัน ทำไมแม้แต่ผู้นำของตระกูลฟางยังไม่กล้าเอ่ยปากแต่อย่างใด
นี่เป็นครั้งที่สองที่ฟางเหยียนมาที่ตระกูลฟาง เขาไม่ได้รู้สึกว่าที่นี่จะวิเศษวิโสอะไร หลังจากที่เดินเข้าไปในห้องโถงของตระกูลฟางแล้ว เขาอยากจะหาฟางเหมี่ยวให้เจอโดยเร็ว เอาของขวัญให้เขา แล้วจากไป
ตระกูลฟางแห่งนี้ สำหรับฟางเหยียนแล้ว ก็เป็นแค่ที่ที่มีแต่ปัญหาก็เท่านั้น
ในขณะที่เขามาถึงห้องโถง สาวสวยคนหนึ่งเดินตรงมาที่เขา สาวสวยคนนี้แต่งกายแบบพนักงาน แต่ไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนแอร์โฮสเตส รูปร่างสูงยาว ได้สัดส่วน
แน่นอน คนที่จะทำงานที่ตระกูลฟางได้ ต้องหน้าตาระดับท็อป ไม่งั้นจะคู่ควรกับตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งได้อย่างไรกัน
“คุณผู้ชายทั้งสอง!” หญิงสาวคนนั้นมาที่ฟางเหยียนและเทียนขุย แล้วกล่าว “การมาร่วมงานครั้งนี้จำเป็นต้องใส่ชุดพิธีการค่ะ พวกคุณไม่มีชุดพิธีการเหรอคะ?”
“กล้ามาก!” เทียนขุยโมโห ตะคอกว่า “คุณเป็นใคร? จอมพลโผ้จวินมาก็ถือว่าให้เกียรติตระกูลฟางแล้ว จะแต่งแบบนี้ก็แต่งได้ คุณคนนี้ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีใช่มั้ย?!”
หญิงสาวโมโหจนหน้าแดงก่ำขึ้นมา สองคนที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นใครกัน? ทำไมถึงได้กวนตีนแบบนี้? แต่งชุดข้างทางแบบนี้ หญิงสาวยากที่จะจินตนาการถึงตัวตนของพวกเขาทั้งสองได้ว่าจะสูงส่งขนาดไหน!
ด้วยเหตุนี้เธอจึงกัดริมฝีปากแล้วกล่าว “งานแต่งของคุณชายฟาง ต้องสวมชุดพิธีการเท่านั้น! ต่อให้…”
“ทำไม?” ขณะเดียวกันนี้ หญิงสาวที่กำลังยุ่งวุ่นวายเห็นทางนี้มีปัญหาเกิดขึ้น จึงรีบเดินมาอย่างทุลักทุเล ผู้หญิงคนนั้นคือน้าสาวของฟางเหยียน ฟางไห่อิง
“เสี่ยวเหยียน!” เมื่อเห็นฟางเหยียน เธอเอ่ยชื่อออกมาด้วยความดีใจอย่างคาดไม่ถึง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
ฟางเหยียนมองไปที่ฟางไห่อิง แล้วเรียก “น้าสาว!”
ฟางไห่อิงมองใบหน้าของฟางเหยียน แล้วกล่าว “น้าคิดว่าแกจะไม่มาเสียแล้ว เสี่ยวเหยียน มาก็ดีแล้ว มาก็ดีแล้ว”
เมื่อหญิงสาวเห็นเหตุการณ์นี้ ก็ใจสั่นตึกๆ ฟางไห่อิงคือคุณผู้หญิงของตระกูลฟาง เธอรู้ แต่สองคนนี้เป็นใครกันนะ? ด้วยเหตุนี้เธอจึงสะอึกสะอื้น แล้วถาม “คุณผู้หญิงคะ คุณผู้ชายสองท่านนี้คือ…”
ฟางไห่อิงขัดคอเธอ “นี่คือคุณชายของตระกูลฟาง ฟางเหยียน!”
สีหน้าของพนักงานซีด ขาวซีดทันใด เธอรีบก้มหน้าแล้วกล่าว “ขอโทษค่ะ คุณชาย ดิฉันไม่รู้ว่าคุณคือคุณชายของตระกูลฟาง ขอคุณชายได้โปรดให้อภัยด้วยค่ะ”
ฟางเหยียนไม่ว่าอะไร ฟางไห่อิงโบกมือแล้วกล่าว “พอล่ะ ไปทำงานเถอะ! ผู้ที่มาที่นี่ได้ล้วนเป็นบุคคลสูงศักดิ์ อย่าตัดสินคนจากการแต่งกายเด็ดขาด”
“ค่ะ ดิฉันผิดไปแล้วค่ะ คุณผู้หญิง” พูดจบเธอก็ถอยหลังไปอย่างเงียบๆ ใจเต้นรัวๆ ยังไงเธอก็ไม่คาดคิดว่าคนนั้นจะเป็นคุณชายของตระกูลฟาง มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ
“เสี่ยวเหยียน มานี่” ฟางไห่อิงจูงมือของฟางเหยียนเดินไป
เทียนขุยอยากจะตามไป แต่ถูกฟางเหยียนห้ามไว้
ถูกฟางไห่อิงจูงมือ จู่ๆฟางเหยียนก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกแบบนี้ เหมือนกับได้ย้อนกลับไปในสมัยก่อน น้าสาวคนนี้ของเขาจูงมือเขาออกไปจากตระกูลฟาง
ทั้งคู่มายังที่สวนดอกไม้โล่งๆข้างหลังห้องโถงแล้วหยุดลง ฟางไห่อิงหันหลังกลับมาดูฟางเหยียน ทันใดนั้นน้ำตาเธอคลอเบ้า ฟางเหยียนขมวดคิ้ว แล้วเรียก “น้าสาว!”
ฟางไห่อิงยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา แล้วกล่าว “น้าไม่เป็นไร เสี่ยวเหยียน!”
เมื่อพูดจบเธอยกมือขึ้นไปที่หน้าของฟางเหยียน มืออันอบอุ่นวางลงบนใบหน้าอันเลือดเย็น แล้วลูบอยู่บนใบหน้า น้ำตาก็ได้คลอที่เบ้าตาอีกครั้ง
นี่คือน้าสาวที่เป็นญาติสนิทกับฟางเหยียน ในตระกูลฟาง มีเพียงเธอที่เป็นพี่น้องแท้ๆกับพ่อของฟางเหยียน ฟางจินหยวนมีภรรยาเจ็ดคน มีสามคนที่มีลูก ดังนั้นคนอื่นเป็นญาติที่พ่อเดียวกันแต่คนล่ะแม่
ฟางไห่อิงหน้าตาคล้ายๆพ่อของฟางเหยียน ดังนั้นตอนที่เห็นฟางไห่อิงฟางเหยียนเหมือนได้เห็นพ่อ เขาสะอื้น แล้วกล่าว “น้าสาว น้าไม่เป็นอะไรจริงๆใช่มั้ย?”
ฟางไห่อิงส่ายหน้าแล้วกล่าว “น้าไม่เป็นอะไรจริงๆ! เพียงแค่เห็นเสี่ยวเหยียนของเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงตื่นเต้น! ถ้าพ่อของแกรู้ถึงความสำเร็จในตอนนี้ของแก ต่อให้อยู่ใต้แหล่งน้ำบาดาลทั้งเก้าก็ต้องดีใจ”
ฟางเหยียนยิ้มออกมา เขายกมือขึ้นมาที่หน้าของฟางไห่อิง เช็ดน้ำตาที่หางตาให้กับเธอ แล้วกล่าว “น้าสาว มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากถามน้าครับ”
“ว่ามา!” ฟางไห่อิงหยักหน้าแล้วกล่าว
“ผมอยากรู้ การตายของพ่อของผม มีองค์กรหนึ่งอยู่เบื้องหลังใช่มั้ยครับ? ตอนนั้นน้าสาวเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้มากกว่าผม ถ้าใช่ ได้โปรดบอกผมว่าองค์กรนั้นชื่ออะไร?” น้ำเสียงที่ฟางเหยียนพูดนุ่มนวล และโทนต่ำมาก
ฟางไห่อิงชะงัก เธอจ้องไปที่ตาของฟางเหยียน ส่ายหน้าแล้วกล่าว “น้าไม่รู้!”
เนื่องจากฟางเหยียนจ้องไปที่ตาของฟางไห่อิง ดังนั้นเขาจึงดูออกว่าฟางไห่อิงไม่รู้จริงๆ เธอไม่ได้หลอกลวงตน
“เสี่ยวเหยียน!” ฟางไห่อิงจับแขนของฟางเหยียน แล้วกล่าว “อย่าอยู่บนความแค้นอีกเลย ได้มั้ย? น้ารู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นกระทบจิตใจของแกมาก แต่น้าไม่อยากให้แกมีชีวิตแบบนี้ ถ้าพี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ไม่อยากให้แกมีชีวิตแบบนี้เช่นกัน อย่ามีชีวิตบนความโกรธแค้นอีกเลย อยู่เพื่อตัวเอง ได้มั้ย?”
เมื่อเห็นฟางเหยียนเป็นแบบนี้ ฟางไห่อิงเอ็นดูเขาจริงๆ เธอรู้ถึงความเจ็บปวดของการมีชีวิตบนความแค้น
ฟางเหยียนยิ้ม “ถ้าพ่อให้ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมก็ไม่ถึงขั้นต้องมีชีวิตแบบนี้ ไม่ใช่เหรอ?”
ประโยคนี้ทำให้ฟางไห่อิงพูดไม่ออก ใช่ ถ้าพี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วฟางเหยียนจะเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน
“เสี่ยวเหยียน…” ทันใดนั้นฟางไห่อิงก็เข้าไปกอดฟางเหยียน น้ำตาไหลพรากลงมา ในน้ำตามีความเจ็บแปลบ และเอ็นดู
“ฟางไห่อิง!” จู่ๆ เสียงอันเลือดเย็นดังขึ้นจากประตูหลัง