บทที่ 35 เธออยากตาย
หวงยู่หัวเองก็ตกตะลึงไปเช่นเดียวกัน
ทีแรกคิดว่าเพียงไม่กี่ประโยคของหลิวเหอฉางเรื่องนี้ก็จะผ่านไป แต่ใครจะไปคิดว่าฟางเหยียนจะไม่เห็นแก่หน้าของหลิวเหอฉางเลยสักนิด
ทำไมถึงไม่เห็นแก่หลิวเหอฉาง เขาเป็นใครกันแน่?
ฝ่ามือและฝ่าเท้าของหวงยู่หัวชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เขาร้อนรนขึ้นมา หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
หลิวเหอฉางอ้าปากค้าง ไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว เขาเห็นความเลือดเย็นของฟางเหยียนมากับตา เขารู้ดีว่าฟางเหยียนไม่ได้ล้อเล่น เขามีอำนาจมากพอที่จะทำให้หวงยู่หัวหายไปตลอดกาล
ไม่เพียงแต่หวงยู่หัว แม้แต่เขาเอง ก็สามารถหายไปได้ทุกเมื่อ!
เขาปาดเหงื่อที่ผุดไหลพราก ก่อนเอ่ยสมทบ “ครับครับ ท่าน ผมเองที่ไม่รู้ความ!”
เขาเอ่ยพลางหันกลับไปทางหวงยู่หัว “เถ้าแก่หวง ได้ยินแล้วใช่ไหม?”
เมื่อหวงยู่หัวเห็นสถานการณ์ตรงหน้า เขารู้ดีว่าไม่คุกเข่าคงไม่ได้เสียแล้ว แม้แต่หลิวเหอฉางต่อหน้าเขายังไม่กล้าค้านสักคำ เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร
หากยังมัวนึกเอาหน้า ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
เพราะงั้น เขากัดฟันแน่น คุกเข่าลงกับพื้น ส่งมรกตคืนให้กับจางเจียวเจียวด้วยสองมือ
พร้อมกล่าวอย่างกระตุกกระตัก “คุณนายเย่ นี่ครับมรกตของคุณ ผมมีตาหามีแววไม่ คุณนายเย่อย่าได้ถือสาผมเลย”
จางเจียวเจียวยังคงจับจ้องด้วยความตระหนก เสมือนกับรอสัญญาณอะไรบางอย่าง ฟางเหยียนพยักหน้า จางเจียวเจียวถึงได้กล้ารับมรกตมาไว้
เมื่อเห็นว่าจางเจียวเจียวรับมรกตคืนมาแล้ว ฟางเหยียนกล่าว “น้าจาง ชิงหยู่ เราไปกันเถอะ”
เขาไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ไม่มีใครที่อยู่ในสายตาของเขา
คนรอบข้างต่างจับจ้องหวงยู่หัวคุกเข่าให้กับเด็กหนุ่มในร้านของตัวเอง อย่างตกตะลึงอ้าปากค้างไปตามๆ กัน!
เมื่อพวกเขาไปไกลแล้ว หวงยู่หัวถึงได้ลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่ขาวซีด
เขากล่าวถามอย่างไร้หนทาง “เถ้าแก่หลิว เขาเป็นใครกันแน่?”
เขารู้จักฟางเยียน แต่ก่อนตอนที่เย่เทียนจัดงานแต่งให้กับฟางเหยียนและเย่ชิงหยู่ เขาเองก็ได้ไปร่วมแสดงความยินดีด้วย
หลิวเหอฉางส่ายหน้า กล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ฉันก็ไม่รู้จะพูดกับคุณยังไงดี เขาเป็นคนในสนามรบ เป็นคนที่เมื่อองค์กรก่อการร้ายของต่างชาติได้ยินชื่อของเขาแล้ว ต้องหวาดผวา คนแบบนี้ ไม่ใช่คนที่แกหรือฉันจะล่วงเกินได้”
เมื่อได้ยินว่าองค์กรก่อการร้ายยังต้องหวาดผวา หวงยู่หัวตกอกตกใจเข้าไปใหญ่
เขากล่าว “ถ้างั้น ฉันจะส่งของไปขอขมาเขาหน่อยดีไหม? ฉันไร้แววจริงๆ!”
หลิวเหอฉางโบกมือ “ไม่ต้องหรอก หากเขาต้องการเอาเรื่องคุณจริงๆ เมื่อกี้นี้คุณได้ตายไปแล้ว อย่าไปรบกวนคนระดับนี้เลย ทีหลังจะทำอะไรก็ระวังหน่อย”
หวงยู่หัวใบหน้าขาวซีด “ครับครับ”
ภายในรถ
เย่ชิงหยู่ยังคงตกอยู่ในภวังค์จากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ขึ้นรถมาได้สิบนาทีแล้ว เธอไม่พูดอะไรเลยสักคำ จางเจียวเจียวเองก็เช่นเดียวกัน
ทั้งคู่ตำใจกับทีท่าของฟางเหยียนเมื่อสักครู่
เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ต่างนั่งเงียบ ฟางเหยียนจึงกล่าวขึ้น
“น้าจาง ไม่ต้องกังวลไป ขอเพียงแค่ผมอยู่ น้ากับชิงหยู่จะไม่ถูกทำร้ายแม้แต่น้อย”
“เอ่อ!” จางเจียวเจียวเหมือนกับว่าหลุดออกมาจากโลกแห่งความฝัน เธอกลืนน้ำลายลงคอ ตอบรับฟางเหยียนสั้นๆ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เย่ชิงหยู่ถึงได้เปิดปากถาม “ฟางเหยียน ฉันมีเรื่องจะถาม! นายอย่าโกหกฉันเด็ดขาด”
ฟางเหยียนรู้อยู่แล้วว่าเย่ชิงหยู่จะต้องถามแน่ เพราะงั้นเขาจึงตอบรับเสียงเรียบ “ถามมาเลย”
เย่ชิงหยู่นั่งลงข้างๆ ฟางเหยียน “นาย เป็นใครกันแน่? ทำไมแม้แต่เถ้าแก่ร้านหยกตี้เซิ่งหยวนอย่างหลิวเหอฉางพบคุณยังต้องเกรงอกเกรงใจ แถมยังตอนเซ็นสัญญาอีก ประธานหยางแห่งซีหนานกรุ๊ปกลัวคุณใช่ไหม? ฉันได้ร่วมงานกับซีหนานกรุ๊ป เพราะคุณใช่ไหม ฉันถึงได้เซ็นสัญญา?”
ทีแรกเย่ชิงหยู่ไม่คิดเอะใจ เมื่อได้เห็นตอนที่ฟางเหยียนโกรธในวันนี้ เธอรู้สึกสงสัยขึ้นมา
ฟางเหยียนหัวเราะออกมา “ทางด้านหวงหยวนฉาว ไม่เกี่ยวกับผมจริงๆ เพราะเทียนขุยนั่น แต่ก่อนเราอยู่ในเขตเดียวกัน บางทีอาจจะเป็นเพราะเทียนขุยก็ได้ ส่วนหลิวเหอฉาง แต่ก่อนตอนที่อยู่ชายแดนใต้เขาถูกชาวต่างชาติลักพาตัว แล้วผมช่วยเขาเอาไว้ ผมเป็นผู้มีพระคุณของเขา! เขาแค่อยากตอบแทนบุญคุณของผม ก็เท่านั้น”
เมื่อฟังคำอธิบายของฟางเหยียน เย่ชิงหยู่ถึงได้ควายความสงสัยลง
หากเป็นเพราะเทียนขุยถึงได้เซ็นสัญญาละก็ การที่ซีหนานกรุ๊ปทำแบบนั้น ก็เท่ากับเกรงกลัวเทียนขุย
ตอนนั้นฟางเหยียนเคยช่วยหลิวเหอฉาง หลิวเหอฉางตอบแทนบุญคุณ จึงเข้าข้างฟางเหยียน ก็เข้าใจได้
“นาย ไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม?” เย่ชิงหยู่ถาม
ฟางเหยียนพยักหน้ารับ “ใช่ ผมจะโกหกคุณได้ยังไง”
ฟางเหยียนกล่าว พลางกุมมือเย่ชิงหยู่เอาไว้ เย่ชิงหยู่ราวกับว่าไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่าง ยกแขนขึ้น กล่าวด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “พอได้แล้ว ฟางเหยียน!”
เย่ชิงหยู่ลุกขึ้นเตรียมเดินออก แต่เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็นึกถึงเรื่องที่ฟางเหยียนซื้อรถขึ้นมาได้ เพราะงั้นเธอจึงกล่าว “แล้ว เงินของนายเอามาจากไหน?”
“เพื่อนให้มา!” ฟางเหยียนกล่าว
เย่ชิงหยู่ไม่เชื่อ “นายไปมีเพื่อนที่ใจกว้างขนาดนี้ได้ยังไง ถึงได้ให้ทีหลายสิบล้าน”
จบคำเธอถึงได้ถอนหายใจออกมา เดินเข้าไปในห้อง
เช้าวันที่สอง เมื่อเย่ชิงหยู่ตื่นขึ้นมา ฟางเหยียนก็ไม่อยู่เสียแล้ว
เมื่อเธอออกจากห้อง ฟางเหยียนก็กลับมาพอดี
“ฟางเหยียน วันนี้เพื่อนฉันคนหนึ่งแต่งงาน นายไปกับฉันได้ไหม?”
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าฟางเหยียนตื่นแต่เช้า เธอจึงกล่าวอย่างประหม่า “หากนายมีธุระ ฉันไปคนเดียวก็ได้”
“วันนี้ ผมไม่มีธุระ” สำหรับคำขอของเย่ชิงหยู่ ฟางเหยียนไม่มีทางปฏิเสธ
ผ่านการฟื้นฟูร่างกายมาหลายวัน เขารู้สึกร่างกายดีขึ้นมาก
“โอเค ฉันไปเปลี่ยนชุดก่อน นายรอฉันเดี๋ยว” เธอเอ่ย พลางวิ่งเข้าไปในห้อง
ไม่นาน เย่ชิงหยู่เดินออกมาพร้อมกับชุดกระโปรงสีดำ ซึ่งเป็นชุดกระโปรงสีดำรัดรูป คู่ขาเรียวยาวโผล่พ้นออกมา เผยให้เห็นส่วนโค้งส่วนว้าวของรูปร่างอย่างสมบูรณ์แบบ ชุดนี้เหมาะกับเย่ชิงหยู่มาก
เธอนำของขวัญวันเกิดที่ฟางเหยียนให้กับเธอออกมา อัญมณีเลือดทองยื่นให้กับเขา พร้อมกล่าว “ช่วยฉันสวมทีสิ”
“ได้!” ฟางเหยียนลุกขึ้นสวมให้กับเย่ชิงหยู่
หลังจากที่ออกมานอกบ้าน เย่ชิงหยู่ก็คล้องแขนของฟางเหยียนเดินออกไปด้านนอก
“ไม่ขับรถหรือ?” ฟางเหยียนนึกถึงรถที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวันนี้
เย่ชิงหยู่ส่ายหน้า “เราเรียกรถไปเถอะ ฉันไม่ค่อยชอบขับรถ”
ไม่นาน ทั้งคู่ก็เรียกรถมุ่งไปที่โรงแรมนานาชาติเทียนเยว่
เมื่อลงมาจากรถ ผู้หญิงคนหนึ่งก็ส่งเสียงดังมาที่เธอ “อ้าว นี่เป็นดาวโรงเรียนในอดีตของเราคุณหนูเย่ไม่ใช่หรือ?”
หลิวเหยาเหยานั่นเอง หลานสาวของตระกูลใหญ่ทั้งสามของจินโจวอย่างตระกูลหลิว และเป็นหัวหน้าของคนพวกนี้ สมัยเรียนมัธยมปลาย พวกเธอไม่ถูกกัน
หลังจากที่ตระกูลเย่ล้มละลาย คนที่ดีใจที่สุดคงเป็นเธอ เธอไม่ได้กลั่นแกล้งเย่ชิงหยู่แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น ครั้งหนึ่งเย่ชิงหยู่ขี่จักรยานไฟฟ้าไปเดินเล่น เธอขับรถผ่านเย่ชิงหยู่ ทำให้น้ำที่อยู่บนถนนสาดร่างเย่ชิงหยู่ทั้งตัว ท้ายที่สุดเธอเปิดประตูรถให้ค่าเสียหายกับเย่ชิงหยู่500
การหยามเย่ชิงหยู่ สำหรับเธอ เป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุด
“พวกเธอเรียกรถมาเหรอ?” หลิวเหยาเหยาแกล้งถาม
“พี่เหยา พี่ถามแบบนี้ เขาไม่เรียกรถมา หรือจะขับรถมาหรือไง? ตระกูลเย่ล้มละลายแล้วนี่” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆสมทบ นั่นคือสุนัขของหลิวเหยาเหยาอย่างหลัวหยาง
“อืม ใช่สิ แกไม่บอกฉันลืมไปเลย ตระกูลเย่ล้มละลายได้ครึ่งปีกว่าแล้ว แกดูสมองฉันสิ” หลิวเหยาเหยาตั้งใจเหยียดหยาม
“เธออยากตายใช่ไหม?” ฟางเหยียนจ้องหลิวเหยาเหยานิ่ง กล่าวอย่างเย็นชา