เหมิงซานก้าวเท้าขึ้นหน้าสองก้าวพลางว่า “ใช่ครับ สหายน้อยพูดจาดูมีเลศนัยนะ ความหมายของคุณคือ คุณท่านเจี่ยทำร้ายลูกชายตัวเองหรือไง?”
คำพูดของฟางเหยียนใครฟังก็จะรู้สึกแบบนี้ พอได้ยินเหมิงซานพูดแบบนั้น เจี่ยเกิงจื่อเบิกตากว้างพลางว่า “เทพหมอฟางหมายความว่าแบบนี้จริงหรือครับ? ผมมีลูกชายกับเขาแค่คนเดียว ผมจะทำยอ่างนั้นกับลูกชายตัวเองได้ยังไง…”
“ไม่!” ฟางเหยียนตัดบทคำพูดเจี่ยเกิงจื่อ กวาดตามองไปรอบๆทุกคนที่รายล้อม พลางว่า “เอางี้ คุณให้ทุกคนออกไปก่อนเถอะ!”
พวกคนที่รายล้อมเหมือนอยากดูการรักษาของฟางเหยียน และอยากรอดูคุณชายน้อยฟื้น พอได้ยินฟางเหยียนพูดแบบนี้ สีหน้าทุกคนส่อแววผิดหวังโดยทั่วกัน
เจี่ยเกิงจื่อกวาดตามองคนในครอบครัวตนพลางว่า “พวกเขาเป็นครอบครัวของผม ส้าวจุนเป็นคนจิตใจดี คุณต่างเป็นห่วงอาการส้าวจุน พวกเขาอยู่ที่นี่รอส้าวจุนฟื้นไม่ได้หรอ?”
“มีบางเรื่องผมถามคุณได้เท่านั้น!” น้ำเสียงฟางเหยียนเย็นชาลงไป เขาเริ่มหงุดหงิดกับการพูดกับเจี่ยเกิงจื่อแล้ว เจี่ยเกิงจื่อรู้ชัดกับนิสัยฟางเหยียน เขาไม่เหมือนหมอทั่วไป ถ้าเกิดทำให้เขาไม่พอใจ เขาอาจหมุนตัวเดินจากไปดื้อๆ! เขาเลยไม่ดื้อรั้นอีก ทำทีโบกมือให้คนทั้งหมดออกไป
เหมิงซานรู้สึกแปลกใจ หมอนี่ทำไมไม่ได้จับชีพจรเลยสักนิดก็รู้สาเหตุโรค ตนหาอยู่นานก็หาไม่เจอ ไม่ต้องคิดมากเลย เขาต้องแกล้งทำแน่ หวังหลอกเจี่ยเกิงจื่อ
แต่ตนจะทำไงได้ล่ะ? เมื่อกี้หมอนี่ก็ใช้ฝ่ามือดูดซับจนEvergreenเหี่ยวเฉาในพริบตาไปแล้ว ฝีมือระดับนี้ตนไม่มีนี่นา
ไม่ว่ายังไง ชายหนุ่มคนนี้ก็มีฝีมือจริง เขาอยากจะทำลายที่นี่หรือไม่ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงแล้ว
เหมิงซานอยู่มาร้อยกว่าปี เป็นพวกรู้เวลา เขารู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ การที่หมอนี่สามารถรักษาคุณชายเจี่ยได้ ถือเป็นเรื่องที่ดี พอคิดถึงตรงนี้เขาถอนหายใจยาวออกมา เดินไปทางประตูอย่างรู้งาน
ในตอนที่เขาเดินถึงหน้าประตู จู่ ๆฟางเหยียนก็พูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโสเหมิงซาน คุณอยู่ก่อนเถอะครับ!”
เหมิงซานชะงักไปสักครู่ หันกลับมามองฟางเหยียน สายตาฉายแววประหลาดใจมาก
ฟางเหยียนมองสบตาเหมิงซานพลางว่า “ผู้อาวุโสเหมิงซานสามารถสร้างค่ายกลเช่นนี้ เห็นได้ชัดถึงความแข็งแกร่งของฝีมือคุณ ค่ายกลแปดทิศหยาง! ห้าองค์ประกอบทำให้ใจสงบ!สรุปแล้ว คุณเป็นคนต่อชีวิตคุณชายเจี่ย”
เหมิงซานพยักหน้าอย่างครุ่นคิด ในใจยังคิดดีนะว่าคุณตาแหลมมาก อย่างน้อยรู้ว่าค่ายกลนี้ไม่ใช่คนธรรมดาจะจัดออกมาได้
แต่ปากยังคงถ่อมตนว่า “ชมมากไปแล้ว!”
ไม่นาน ในห้องก็เหลือแค่พวกเขาสี่คน ยังมีเทียนขุยอยู่ด้วย ฟางเหยียนถามขึ้นทันทีว่า “คุณท่านเจี่ย ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคงเป็นเถ้าแก่คนที่สามของสุ่ยหยุนต้งเทียนนี้ล่ะสิ?”
พอได้ยินแบบนี้ เทียนขุนอึ้งอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆโผ้จวินก็พูดเรื่องสุ่ยหยุนต้งเทียนขึ้นมา เขาเลยขยับเข้าใกล้พลางกระซิบบอกฟางเหยียนว่า “โผ้จวิน มันเป็นแค่ตำนาน ผมเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า”
โลกนี้ไม่ขาดแคลนการตีไข่ใส่สี เรื่องเล็กน้อยมากมายพอลงในอินเทอร์เน็ตก็กลายเป็นเรื่องลึกล้ำอัศจรรย์ เถ้าแก่คนที่สามอะไร เรื่องผีอะไรนั่นที่จริงเป็นแค่เรื่องพูดกันต่อ ๆมาจนเกินจริงทั้งนั้นแหละ ที่จริงเทียนขุยเห็นเรื่องนี้เป็นแค่ตำนาน เขาไม่คิดว่าฟางเหยียนจะเชื่อจริงๆ
ฟางเหยียนยกมือห้ามเทียนขุยอย่างไม่ยี่หระ ก่อนหันมาจ้องเจี่ยเกิงจื่อ
เทียนขุยเม้มปากหมับ คิ้วขมวดแน่นไม่รู้ตัว
ดวงตาเจี่ยเกิงจื่อกลอกไปมา สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเล็กน้อย แต่การเปลี่ยนนั่นอยู่แค่หนึ่งวินาทีก็กลับเป็นเหมือนเดิม จากนั้นเขาแสดงสีหน้าไม่เข้าใจออกมาพลางถามว่า “เทพหมอฟางทำไมจู่ ๆถามแบบนี้ล่ะ?”
ดวงตาฟางเหยียนจับจ้องใบหน้าเจี่ยเกิงจื่อเขม็ง สีหน้าท่าทางเขาอยู่ในสายตาตนทั้งหมด เขายอมไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะโกหก เลยโพล่งคาดคั้นไปว่า “คุณบอกผมตรงๆว่าใช่หรือไม่ใช่ก็พอแล้ว!”
เจี่ยเกิงจื่อกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ส่ายหัวพลางว่า “ไม่ ไม่ ไม่ใช่!”
ฟางเหยียนหรี่ตามองถาม “จริงหรอ? ผมหวังว่าคุณจะพูดความจริง มันเกี่ยวพันถึงชีวิตลูกชายคุณ”
เจี่ยเกิงจื่อผงกหัวฉับพลันขึ้นสบตาฟางเหยียน ดวงตาคู่นั้นเริ่มสับสน เกี่ยวพันถึงชีวิตลูกชายตน ไม่ว่าฟางเหยียนจะพูดจริงหรือหลอก เขาก็ไม่กล้าโกหกอีก
ดังนั้นระหว่างที่เงียบไปประมาณห้าวินาที เขาพยักหน้าเล็กน้อยพลางว่า “ใช่! ผมเป็นเถ้าแก่คนที่สามจริง แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ผมบุกเบิกเสร็จแล้วก็จากไปเลย”
เทียนขุยเบิกตากว้างมองเจี่ยเกิงจื่อ นี่อะไรกันเนี่ย? ทำไมมีเถ้าแก่คนที่สามอยู่จริง! เดิมคิดว่าเป็นแค่ตำนาน ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง
โผ้จวินนี่รอบรู้จริงๆ พอได้ยินตนบอกแค่นั้น ก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่สุ่ยหยุนต้งเทียนเลย
ฟางเหยียนอืมหนึ่งคำพลางว่า “สุดท้ายคนที่ทำสำเร็จ บุกเบิกสำเร็จก็คือคุณ! จัดการเรื่องอะไรน้อยที่สุดก็คุณ ดังนั้นจุดจบคุณเลยดีหน่อย หนีไปเมืองนอก แต่งงานมีลูกได้ นี่เป็นความโชคดีในโชคร้ายแล้ว เถ้าแก่สองคนก่อนหน้าไม่มีใครรอดเลย เทียบกับพวกเขาแล้ว คุณโชคดีกว่าเยอะจริงไหม?”
สีหน้าเจี่ยเกิงจื่อเปลี่ยนทันที เขาสูดลมหายใจเข้าลึกถามว่า “เทพหมอฟาง คุณดูออกได้ยังไงว่าเป็นผม?”
ฟางเหยียนแค่นเสียงหัวเราะเย็นพลางว่า “ง่ายมากเลย จากการแต่งตัวของคุณผมดูออกแล้วว่า พระหยกที่คุณใส่น่าจะมาจากปรมาจารย์ ประคำที่ข้อมือก็ผ่านการพิธี ทั้งหมดนี้เป็นเพราะมีปรมาจารย์มีฝีมือชี้แนะ! ให้ผมบอกเพิ่มไหมว่าตอนนั้นที่คุณบุกเบิกพื้นที่เกิดอะไรขึ้นอีก? ของพวกที่คุณซ่อนไว้น่ะ”
เจี่ยเกิงจื่อหลบสายตาฟางเหยียนอย่างมีพิรุธ เหมิงซานฉลาดพอ มองแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าตอนที่เจี่ยเกิงจื่อบุกเบิกสุ่ยหยุนต้งเทียนต้องมีเรื่องที่บอกใครไม่ได้แน่
ดังนั้นเขาเลยหันไปบอกเจี่ยเกิงจื่อว่า “คุณท่านเจี่ย ผมเตือนคุณว่าพูดตามจริงดีกว่า มันดีทั้งกับคุณและคุณชาย ถ้าคุณไม่พูดความจริง คราวนี้ใครคงช่วยคุณชายไม่ได้”
เจี่ยเกิงจื่อสบตาเหมิงซาน ก่อนถอนหายใจออกมา จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย
เขาก้มหัวต่ำส่ายหน้าไปมาอย่างลำบากใจ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองฟางเหยียน จากนั้นก็หลบสายตาเขาอย่างรวดเร็ว เขากระดากใจแล้ว มันชัดเจนพอที่จะบอกว่าตอนนั้นเกิดเรื่องจริงๆ และไม่ใช่เรื่องเล็กด้วย
ฟางเหยียนเห็นเจี่ยเกิงจื่อไม่พูดอะไร ตนเองก็ไม่ได้รีบร้อน เลยยืนมองเจี่ยเกิงจื่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย
การที่เขาแน่ใจว่าเจี่ยเกิงจื่อเป็นเถ้าแก่คนที่สาม มีอีกสาเหตุสำคัญหนึ่งคือ คฤหาสน์ที่เขาอยู่ตอนนี้ คฤหาสน์นี้ไม่ได้พึ่งซื้อหลังจากกลับมา แต่เข้ามาซื้อหลังจากที่บุกเบิกพื้นที่นี้สำเร็จใหม่ๆ