ความเคยชินของฟางเหยียนคือไม่พูดอะไรสักคำหลังรับสาย รอคอยอีกฝ่ายพูดก่อน อีกฝ่ายก็เหมือนกัน หลังจากกดรับสายแล้วก็ไม่พูดอะไรเลย แทบไม่ได้ยินเสียงหายใจของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบอยู่ในสาย อากาศรอบข้างดูจะชะงักค้างไปดื้อๆ
สิบวินาที สามสิบวินาที หนึ่งนาทีผ่านไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังคงเงียบไม่พูดไม่จา ปลายสายเงียบจนน่าแปลกใจ เหมือนอยู่ในห้องปิดสนิท ไม่มีคนอยู่เลย
ในที่สุดก็มีเสียงเย็นชาหลุดออกมาจากอีกฝ่าย เสียงสั่นเล็กน้อย เหมือนคนนั้นกำลังตระเตรียมเสียง แต่ผ่านไปอีกสองนาที ทางนั้นก็เงียบเหมือนเดิม
“แกเป็นใคร?” ฟางเหยียนทนไม่ไหวถามออกมาก่อน
พอพูดจบ ปลายสายส่งเสียง “ตู๊ดๆๆ”ดังมา อีกฝ่ายวางสายไปแล้ว
คิ้วฟางเหยียนขมวดขึ้น เขาหยิบมือถือมาดูเบอร์เมื่อกี้ เป็นเบอร์แบบไม่ระบุโลเคชั่น เขาสงสัยชั่วครู่ก่อนกดโทรกลับไป แต่อีกฝ่ายปิดเครื่องไปแล้ว
เขากดโทรหาเทียนขุย เทียนขุยรับสายเร็วมาก ฟางเหยียนบอกเขาในสายว่า “มาที่ห้องฉันหน่อย!”
เทียนขุยไม่พูดอะไร วางสาย จากนั้นเปิดประตูเข้ามา
เขาอยู่ห้องข้างๆนี่เอง ปกติไม่มีอะไรก็จะไม่มาที่ห้องฟางเหยียน เขากลัวจะรบกวนฟางเหยียนครุ่นคิด
“ทำไมหรอครับ? โผ้จวิน!” เทียนขุยถามเมื่อมายืนหน้าฟางเหยียน
ฟางเหยียนยื่นมือถือให้เทียนขุย พลางสั่งว่า “สืบเบอร์นี้ให้ฉันหน่อย”
เทียนขุยรับมือถือมาดู พยักหน้าว่า “ครับ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”
พูดจบเขาเดินออกจากห้องไปเลย ฟางเหยียนหยิบมือถือมาดูพลางครุ่นคิดต่อ
ไม่นาน มือถือดังอีก ฟางเหยียนหันไปมองเบอร์บนหน้าจออย่างเรียบเฉย ถังเสี่ยนจงโทรมา เขากดรับสาย ถังเสี่ยนจงที่อยู่ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างมากว่า “เทพหมอฟางศพเหล่าเห้อกับคนที่พวกคุณว่าหายไปแล้ว ที่โรงงานเหล็กว่างเปล่าเลยครับ!”
“อ๋อ?” ฟางเหยียนส่งเสียงสงสัย พลางว่า “งั้นก็กลับมาเถอะ!”
พูดจบ ฟางเหยียนก็วางสายลง
ไม่ต้องสงสัยเลย ตอนสายเมื่อกี้โทรมา เพื่อบอกตนว่าเขาเอาศพไปแล้วนะ ตอนนี้เขาอยู่กับสองศพนั่น สองศพนั่นเป็นคนของพวกเขาองค์กรสัตว์เพลิง ต้องให้พวกเขาพาไป
นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังบอกฟางเหยียนอีกเรื่องหนึ่ง คนพวกนี้ตอนอยู่เป็นคนขององค์กรสัตว์เพลิง ตายก็เป็นผีขององค์กรสัตว์เพลิง!
องค์กรโหดนัก! ฟางเหยียนอดทอดถอนใจไม่ได้
แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาคือฟื้นฟูร่างกายกลับมา ถ้าพลังยังไม่สามารถฟื้นฟู งั้นตนก็ไม่สามารถพัฒนาได้ ไม่สามารถพัฒนาได้ ก็ไม่สามารถต้านทานองค์กรนี้ได้ ถ้าองค์กรนี้คิดจะเล่นงานตนในเวลานี้ ก็เป็นทีของพวกเขาแล้ว ดังนั้นเรื่องรีบที่สุดคือฟื้นฟูร่างกายตนก่อน
ตอนนั้นอาจารย์เคยพูดไว้ หินสองก้อนนั้นจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตตน ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูร่างกายไหม
พอคิดถึงตรงนี้ เขากดโทรหาศาสตราจารย์โจว ต่อสายอยู่นานกว่าอีกฝ่ายจะกดรับ พอโทรติด ก็เป็นเสียงศาสตราจารย์โจวพูดรัวเร็วปานไฟแลบว่า “ฮัลโหล! ศาสตราจารย์ฟาง คุณมาหนานหลิงหรือยัง? คิดจะมาสอนให้เมื่อไหร่น่ะ? ผมรอคุณจนรอไม่ไหวแล้วนะ อยากฟังคุณสอนใจจะขาดแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าคุณเคยปฏิเสธผมไปสองครั้งแล้ว ผมคงโทรหาคุณก่อนหน้านี้แล้วล่ะ สายของคุณนี่ผมรอจนปวดใจแล้วนะ!”
คำเรียกของศาสตราจารย์โจวที่มีให้กับฟางเหยียนมีสองแบบแล้ว ครั้งแรกคืออาจารย์ฟาง ตอนนี้ก็กลายเป็นศาสตราจารย์ฟาง เขาพูดจาเร่งรีบแบบนี้เสมอ คิดอะไรมักไม่เก็บไว้ในใจ เขาจะพูดออกมาหมด แบบนี้ถึงจะเข้ากับสไตล์ของเขา
“ศาสตราจารย์โจว พรุ่งนี้ผมจะแวะไป ทางคุณจัดการได้ไหม?” ฟางเหยียนถาม
ศาสตราจารย์โจวรีบบอก “ได้ได้ ได้อยู่แล้ว พรุ่งนี้ผมจัดการเอง คุณมาตอนเช้าละกัน! เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวเช้าคุณก่อน จากนั้นก็คุยเรื่องรายละเอียดการสอน จากนั้นพวกเราก็เริ่มสอนเลย โอเคไหม?”
“ไม่ต้องหรอก คาบเดียวเอง ไม่ต้องเตรียม! คุณบอกผมมาเลยว่าเข้าสอนกี่โมงละกัน?” ฟางเหยียนตอบเสียงเรียบ
ปลายสายอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนพูดอย่างตื่นเต้น “ได้เลยได้ บ่ายสองนะ ศาสตราจารย์ฟาง คุณสามารถมาสอนให้มหาลัยเรานี่ มันมีความหมายมากนะ พรุ่งนี้จะเป็นการบรรลุขั้นใหม่ของมหาลัยเราแน่! คลาสของคุณจะเป็นคลาสในประวัติศาสตร์เลย ต้องทำให้วงการศึกษาอึกทึกครึกโครมแน่ คุณวางใจได้ ผมจะจัดการให้ดีเลย”
“อืม!” ฟางเหยียนตอบเสียงเรียบ และวางสายไป
ศาสตราจารย์โจวนี่บ้าจริงๆ พอเจอคนที่ตนชื่นชมและเรื่องที่ชอบเข้า ก็จะทำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คนที่เคารพในงานตนเองแบบนี้มักจะดึงดูดสายตาคนอื่น แต่เขากลับไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองยังไง นี่เป็นระดับคนอย่างหนึ่ง ขอเพียงทำเรื่องที่ตนชอบ ไม่สนใจว่าคนอื่นจะว่ายังไง
วันต่อมา มหาวิทยาลัยหนานหลิง!
ซ่งหยิงช่วงนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เหมือนวิญญาณหลุดออกร่างไงพิกล บางทีทานข้าวมื้อหนึ่งก็ปาเข้าไปหนึ่งชม.กว่าจะกินเสร็จ บางครั้งนั่งเหม่อบนเตียงในห้องพักเป็นครึ่งชม.
ช่วงนี้เธอตั้งใจเว้นระยะห่างกับเพื่อนรอบข้าง ไปกินข้าวคนเดียว ไปเรียนคนเดียว นอกจากอู๋สิ้วจงใจพาหยางยีเฟิงมาหาเธอแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เธอเลย หนึ่งเดือนมานี้เธอออกไปทานข้าวข้างทางกับเพื่อนร่วมหอแค่ครั้งเดียว ชีวิตมหาลัยแบบนี้ไม่เหมาะกับการสร้างความสามัคคีในหมู่เพื่อนนักศึกษาเลย
สำหรับเธอแล้ว เรื่องที่มีความหมายที่สุดคือไปเข้าคลาสวิชาประวัติศาสตร์ เหตุผลหลักเพื่อไปดูว่าอาจารย์ฟางคนนั้นจะมาไหม แต่ทุกครั้งที่ไปคนสอนก็เป็นโจวหยางซึ่งเป็นลูกศิษย์ศาสตราจารย์โจวคนนั้นทุกที โจวหยางสอนน่าเบื่อมาก ไม่สนุกเลย พอเข้าหมดหนึ่งคาบ ซ่งหยิงก็จะออกจากคลาส หลังจากเจอฟางเหยียนครั้งก่อน เธอก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย
เธอไปที่ตระกูลถังหลายครั้ง และได้เจอคุณนายน้อยคนนั้นของตระกูลถัง แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาเลย หลายครั้งซ่งหยิงอยากถามว่าฟางเหยียนอยู่ไหนจากหลินถง แต่ไม่รู้จะเอ่ยปากถามยังไง เลยกลับมา และไม่รู้ว่าหมอนั่นมีเสน่ห์ตรงไหนกัน ถึงได้จับเธอได้อยู่หมัดแบบนี้ ทำให้เธอเอาแต่คิดถึงเขาไม่หยุด
“ซ่งหยิงซ่งหยิง!” อู๋สิ้ววิ่งจากด้านนอกห้องของหอพักมาถึงเตียงซ่งหยิง และนั่งแหมะลงข้างตัวซ่งหยิง
ซ่งหยิงเก็บสมุดและปากกาข้างหน้าตนเงียบๆ ถามว่า “ทำไมหรอ? อู๋สิ้ว”
“คลาสประวัติศาสตร์วันนี้ เธอไปไหม?” อู๋สิ้วถามดื้อๆ
ซ่งหยิงส่ายหัวบอก “ไม่อยากไปแล้ว อาจารย์โจวหยางสอนน่าเบื่อจะตาย”
อู๋สิ้วยิ้มแหะๆ พลางยกนิ้วชี้แกว่งไปมาว่า “NO NO NO!วันนี้คนสอนไม่ใช่ โจวหยาง”
ซ่งหยิงอึ้งเล็กน้อย สองตามองนิ่งถามว่า “ศาสตราจารย์โจวหรอ?”
อู๋สิ้วหัวเราะบอก “ไม่ใช่ศาสตราจารย์โจว แต่เป็น…”
เธอแกล้งทำมีลับลมคมในไม่พูดต่อให้จบ และแย่งสมุดไดอารี่หน้าซ่งหยิงมา