คำพูดของศาสตราจารย์โจวทำให้ศาสตราจารย์อาวุโสบางคนในที่นั้นทนไม่ไหวส่ายหน้าออกมา ชายหนุ่มคนหนึ่งจะมีความรู้อะไรมากมาย? พวกตนสอนมาหลายปี ยังไม่กล้าพูดว่ามีความรู้มากเลย!
คนอย่างศาสตราจารย์โจวก็เป็นแบบนี้แหละ พูดอะไรที่ฟังยาก ชอบพูดจาโอเวอร์เกินจริง ทุกคนสบตากันไปมา ต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ ไม่แปลกใจกับการกระทำของศาสตราจารย์โจวคนนี้เลย
อัจฉริยะที่เขาพูดถึง คำพูดที่ว่าจะช่วยพัฒนาโลกการศึกษาใหม่อะไรนั่นก็แค่พูดจาเกินจริงเท่านั้นเอง
ศาสตราจารย์โจวไม่ได้โง่ สายตาของเขากวาดมองไปทางเหล่าศาสตราจารย์อาวุโสที่อยู่ที่นี่ พบว่าสายตาทุกคนดูไม่แยแส เขาเลยขมวดคิ้วถามขึ้นว่า “ทุกคนหมายความว่าอะไร? หรือว่าไม่เชื่อคำพูดของผมกันล่ะ?”
ได้ยินคำพูดคาดคั้นของศาสตราจารย์โจว มีศาสตราจารย์อาวุโสคนหนึ่งทนไม่ไหว ยืนขึ้นพูดว่า “ศาสตราจารย์โจว พวกผมรู้ว่าคุณมีผลงานกับวงการการศึกษามากนัก ด้านการวิจัยก็มีผลงานมากมาย แต่พวกผมเองก็เคยพบเห็นอะไรมามาก ผมเคยไปศึกษาที่ยุโรปมาก่อน และเคยไปร่วมงานสัมมนามากมายในเอเชีย พวกอาจารย์ที่ไปสอนก็เป็นระดับประเทศทั้งนั้น สไตล์การสอนของพวกเขามีทุกที่ทุกแบบ เพราะระดับเด็กที่ได้รับการศึกษาไม่เหมือนกัน นิสัยเด็กก็ไม่เหมือนกัน ถ้าจะให้สอนตรงนิสัยเด็ก ต่อให้เป็นพวกเขา วิจัยศึกษาวงการการศึกษาทั้งชีวิตก็ยากที่จะกล้าพูดว่าวิธีสอนของตนสามารถส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศได้?”
คำพูดของศาสตราจารย์อาวุโสคนนี้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทุกคนพากันถกเถียงกันว่า “ใช่สิ การศึกษาต้องแบ่งระดับด้วย การศึกษาที่ทุกคนได้รับมาแต่เด็กก็ไม่เหมือนกัน คุณจะเหมารวมได้ยังไงล่ะ?”
“อีกอย่าง มีศาสตราจารย์อาวุโสบางคนยังวิจัยศึกษาการศึกษาตลอดชีวิต วิธีสอน พวกเขายังหาวิธีที่ทำให้ผู้เรียนรับรู้พร้อมกันได้หมดไม่ได้เลย วิธีที่คุณว่าจะได้ผลได้ยังไง?”
ทุกคนเริ่มแสดงความคิดเห็นกันเมามัน คนทุกคนที่นี่มักได้รับการศึกษามาในระดับสูง และเป็นผู้ให้ความรู้ สำหรับส่วนนี้ การจะทำให้ใครเชี่อมั่นร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม มันเป็นไปไม่ได้
เพราะในเส้นทางการศึกษานี่คนที่อยากจะทำให้ทุกคนเชื่อ มันยากซะยิ่งกว่ายาก หนึ่งร้อยคนก็มีวิธีสอนร้อยแบบ นักศึกษาหนึ่งร้อยคนก็มีสไตล์ในการรับการสอนร้อยแบบ ดังนั้นมันยากที่จะทำให้ใครยอมรับคุณร้อยเปอร์เซ็นต์
ในวงการการศึกษามักพูดไว้แบบนี้ นักศึกษาเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง มันชัดพอที่จะบอกว่านักศึกษาทุกคนไม่เหมือนกัน ต่อให้ไปจนถึงระดับมหาลัยแล้ว ความเคยชินในชีวิตพวกเขา สไตล์การรับรู้การศึกษาก็ไม่เหมือนกัน
ใบหน้าเหี่ยวย่นของศาสตราจารย์โจวกระตุกสองสามที สองตาจ้องเขม็งไปที่ศาสตราจารย์อาวุโสคนนั้นว่า “ผมไม่เคยพูดเลยว่าคนคนี่ทำให้ศาสตราจารย์ทุกคนยอมศิโรราบให้ ยิ่งไม่เคยพูดว่าสไตล์การสอนของเขาจะทำให้นักศึกษาทุกคนยอมรับได้ ผมแค่พูดว่าวิธีสอนของเขาจะสร้างความแปลกใหม่ให้กับนักศึกษา เราในฐานะผู้ให้ความรู้ควรเรียนรู้สไตล์การสอนของคนอื่นบ้าง ทุกคนควรเรียนรู้วิธีสอนรวมถึงแนวทางแบบนี้ สอนแนวทางใหม่ๆเป็นสิ่งที่อาจารย์อย่างพวกเราสมควรทำ ทุกคนเอาแต่สอนตามหนังสือแบบเดิมๆ ไม่คิดกันเลยหรอว่านักศึกษาจะรู้สึกเบื่อน่ะ? ในฐานะผู้ให้ความรู้อย่างพวกเรา ก็ควรจะสรรหาวิธีสอนที่เหมาะกับนักศึกษามากกว่านี้ พวกเราไม่ควรจะเอาแต่สอนตามหนังสือ ถ้าแค่สอนตามหนังสือ สู้ให้นักศึกษาอ่านหนังสือเองเลยดีกว่า ผู้เรียนตอนนี้เป็นนักศึกษา ไม่ใช่เด็กประถมหรือมัธยม”
ศาสตราจารย์อาวุโสคนนั้นยังเถียงอย่างไม่ยอมว่า “ตามแนวทางของศาสตราจารย์โจว หนังสือก็ไม่จำเป็นแล้วงั้นสิ? ในเมื่อไม่จำเป็น งั้นทำไมพวกเรายังต้องการมันทุกปีล่ะ?”
“เหลวไหล หนังสือเป็นแค่เอกสารประกอบการวิจัยเท่านั้นเอง ที่สำคัญกว่านั้นคือให้นักศึกษาไปวิจัย เพื่อให้เข้าใจในสิ่งนี้จริงๆ ถ้ามีแค่หนังสือแล้วเข้ามหาลัยได้ จะต้องการนักศึกษาทำอะไรล่ะ? ที่ผมพูดหมายถึงวิธีสอน”
ศาสตราจารย์อาวุโสคนนั้นหัวเราะหยันพลางว่า “ศาสตราจารย์โจว ในเมื่อคุณพูดถึงคนนั้นซะโอเวอร์ ไม่เห็นบอกเลยนี่นาว่าเขาจบระดับไหน? มีผลงานวิจัยยิ่งใหญ่อะไรมา หรือบุกเบิกอะไร?”
ศาสตราจารย์โจวตอบอย่างไม่ยี่หระว่า “เขาไม่ได้จบปริญญา แค่เรียนจบมัธยมปลายมาเท่านั้น! ส่วนเรื่องผลงาน ผมตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเขามีผลงานอะไรไหม ถ้าไม่ใช่เพราะผมเห็นว่าวิธีการสอนของเขาได้รับความนิยมจากนักศึกษามาก ผมก็ไม่มีทางได้รู้จักคนหนุ่มแบบนี้ สรุปแล้ว ได้ฟังคลาสเขา ต่อให้ผมยืนฟัง ผมก็รู้สึกดี ผมฟังคลาสเรียนมาหลายสิบปี ไม่เคยได้ยินการบรรยายที่สนุกขนาดนี้มาก่อนเลย พูดอย่างไม่โอเวอร์เลยคือ ระดับการสอนของเขาสูงกว่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนซะอีก”
“หา!” เสียงร้องอุทานดังไปทั่วห้องทำงาน สีหน้าทุกคนต่างมองศาสตราจารย์โจวอย่างตกใจ บ้าแล้ว ตานี่บ้าไปแล้วแน่ๆ ให้คนจบม.ปลายมาเป็นศาสตราจารย์สอนคลาสให้กับนักศึกษา แถมยังบอกว่าจะเป็นแบบอย่างการศึกษา ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่รู้ว่าชื่อเสียงมหาลัยหนานหลิงจะกลายเป็นยังไง โลกภายนอกจะมองศาสตราจารย์มหาลัยหนานหลิงยังไงกัน
บางทีทุกคนอาจจะถกเถียงกันอย่างสนุกสนาน นี่คือศาสตราจารย์มหาลัยหนานหลิงหรอ? ให้มาฟังคนเรียนจบม.ปลายสอน เขาไม่ได้เรียนปริญญาตรีด้วยซ้ำ เป็นแค่เด็กที่เรียบจบม.ปลายเท่านั้นเอง
คนส่วนมากวางหน้าไม่ลง เลยไม่หันไปมองศาสตราจารย์โจวอีก และหันมาถกเถียงกระซิบกระซาบกัน อาจารย์มัธยมหลายคนพวกเขายังไม่เห็นในสายตา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเรียนที่เรียนจบมัธยมปลายเลยด้วย
ถกเถียงกันไปมาสักพัก ทุกคนต่างพร้อมใจกันไม่พูดอะไร มองหน้ากันไปมา สายตาเหยียดหยามมาก สุดท้ายทุกคนพากันหันไปมองหน้าศาสตราจารย์โจว ศาสตราจารย์โจวรู้ความหมายของสายตาเหล่านั้นดี เขามองทุกคนสีหน้าเคร่งเครียด พลางถามว่า “ทุกคนมองผมแบบนี้หมายความว่าไง? ไม่เชื่อหรอ?”
ศาสตราจารย์อาวุโสคนนั้นบอก “คุณให้ศาสตราจารย์ทั้งกลุ่มที่จบปริญญาโทเป็นอย่างน้อยอย่างพวกเราไปฟังคนที่ไม่มีปริญญาอะไรเลยสอน แถมยังเป็นแค่จบม.ปลายด้วย คุณคิดว่าพวกเราจะไปไหม? เอาเรื่องศักดิ์ศรีพักไว้ก่อน คุณคิดว่าเจ้าเด็กนั่นเก่งขนาดไหนกัน? ศาสตราจารย์โจว พูดคำหนึ่งแบบไม่เกรงใจว่าคุณจะโกรธเลยนะ คุณดูถูกวิธีสอนพวกเราใช่ไหม ถึงคิดวิธีนี้ออกมา? แกล้งใช้เด็กม.ปลายคนหนึ่งมากดดันพวกเรา? เหยียดหยามพวกเรา?”
คำพูดของศาสตราจารย์อาวุโสเริ่มระอุด้วยความโกรธแล้ว จากนั้นก็มีเสียงร้องอย่างเห็นด้วยว่าใช่ๆตามมาไม่หยุด ไม่เพียงแต่ศาสตราจารย์อาวุโสท่านนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างรู้สึกว่าตนโดนเหยียดหยาม!
ศาสตราจารย์โจวเดิมเริ่มโกรธ แต่ตอนนี้เขาไม่โกรธแล้ว กลับกลายเป็นนิ่งมาก ท่าทีนิ่งเฉยใจเย็นนั่นกลับเหนือความคาดหมายของทุกคน ทุกคนพากันมองไปทางศาสตราจารย์โจวที่ท่าทางแปลกๆนี่
มันแตกต่างกับสไตล์ปกติของเขาแบบคนละเรื่องเลย!