แค่สายตาก็สามารถฆ่าคนได้ สามารถทำลายจิตใจของคนๆหนึ่งได้ นี่ไม่ใช่คนธรรมดา นี่คือคุณชายของตระกูลหม่า มีเรื่องอะไรบ้างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าของคนๆนี้ เขากลับขี้ขลาด
เพราะเขากลัว เขาหวาดกลัว นี่คือเทพเจ้า แล้วใครจะไม่หวาดกลัวบ้างล่ะ?
คนแบบนี้ จะกลัวองค์กรที่ไม่มีทางมาที่ไปอย่างนั้นได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้นตัวตนของเขายังมีประเทศชาติคอยค้ำชูอยู่
ตระกูลหม่าไร้เดียงสาเกินไป นึกไม่ถึงว่าจะคิดว่าเข้าร่วมองค์กรนั้นแล้วจะสามารถต่อกรกับเขาได้
ฟางเหยียนยิ้มอ่อนๆอีกครั้ง รับชาที่อยู่ในมือหม่ากวงชาวมา เมื่อเห็นดังนี้ หม่าจงหัวก็ถอนหายใจยาวๆ เหมือนได้ยกหินออกจากอกแล้ว เพราะนี่คือเทพเจ้าแห่งสงครามของประเทศหวา ถ้าไม่มีเชิง ตระกูลหม่าต้องตาย!
เมื่อเห็นเขารับชาไป ทุกคนก็รู้ว่าเขาได้ยกโทษให้หม่ากวงชาวแล้ว คนของตระกูลหม่าก็พากันขอบคุณฟางเหยียน ความจริงแล้วฟางเหยียนไม่ได้ใส่ใจเรื่องของตระกูลหม่าเลย สำหรับเขาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือดาบเล่มนั้น
“ผู้นำตระกูลหม่า คุณเรียกผมมาที่นี่ คงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกนะ?” ฟางเหยียนถามอย่างไม่อ้อมค้อม
หม่าจงหัวรีบกล่าว “ก็ไม่ใช่เสียทั้งหมด แต่ก็ไม่ตัดออกจากเรื่องทั้งหมด เรื่องนี้สำหรับจอมพลโผ้จวินถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็ก แต่ในสายตาของตระกูลหม่ากลับเป็นปัญหาใหญ่มาก”
“อืม!” ฟางเหยียนตอบหนึ่งคำพอเป็นพิธี จากนั้นได้ถามว่า “ดูดาบนี้ให้ผมก่อนก็แล้วกัน!”
หม่าจงหัวตอบรับ จากนั้นก็เริ่มบรรเลงเพลงดาบในห้องโถง จำเป็นต้องพูด ว่าหม่าจงหัวเชี่ยวชาญในอาวุธศิลปะการต่อสู้สิบแปดอย่างจริงๆ ท่าทางตอนบรรเลงเพลงดาบดูๆแล้วสูงศักดิ์ ดูยังไงก็เจริญตา
หลังจากที่บรรเลงเพลงดาบไปได้สักพัก จู่ๆ ดาบเล่มนั้นก็บาดไปที่แขนของเขา เสียงเคร้งดังขึ้น ดาบหล่นลงกับพื้น หม่าจงหัวถูกบาดจนถอยหลังไปหลายก้าว
เมื่อเห็นดังนี้ ฟางเหยียนขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว จากการร่ายรำของหม่าจงหัว จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อย่างไร?
“พ่อ!” หม่าเหาและคนอื่นๆตะโกนออกมา
หม่าจงหัวยกมือขึ้นมาห้ามทุกคนพูดไว้ กอดแขนที่บาดเจ็บไว้ มองไปรอบๆ จากนั้นก็หลบสายตา ส่ายหัวแล้วกล่าว “ไม่เป็นไร!”
หลังจากที่พูดจบ เขาจ้องไปที่ดาบที่อยู่บนพื้น หลังจากเงียบสงัดไปสักพัก เขาก็ค่อยๆยื่นมือไปจับดาบ เหมือนกับโดนช็อตอย่างไรอย่างนั้น พอจับโดน ก็รีบหุบมือกลับไปทันที
หลังจากที่ลองทำแบบนี้หลายครั้ง เขาจึงตัดสินใจ จับดาบที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ครั้งนี้เขาไม่ร่ายรำเพลงดาบอีกต่อไป เพียงแต่มองดูตัวดาบ ลอยสนิมบนตัวดาบดูๆแล้วไม่ใช่สนิม แต่เป็นลวดลาย
เขากลืนน้ำลาย กล่าวออกมาด้วยคำอุทาน “ดาบคุณภาพดีเพียงหนึ่งเดียว!”
นี่คือความคิดเห็นขั้นสูงสุดของนักดาบอาวุโสที่มีต่อดาบ ดาบคุณภาพดีเพียงหนึ่งเดียวนี้สามารถออกมาจากปากของหม่าจงหัวได้ งั้นแสดงว่าดาบเล่มนี้ต้องเป็นดาบคุณภาพดีเพียงหนึ่งเดียวจริงๆแน่นอน
“ผมไม่คู่ควรกับดาบเล่มนี้!” หม่าจงหัวใช้มือทั้งสองยกดาบขึ้นมา แล้วยื่นไปให้ฟางเหยียน
ฟางเหยียนลุกขึ้นรีบดาบมา แล้วสำรวจดูในมืออีกสักแป๊บ แล้วถามว่า “ว่าไง?”
หม่าจงหัวกล่าว “ดาบเล่มนี้อย่างน้อยก็มีอายุมากกว่าพันปี ตัวดาบทำมาจากน้ำ ดาบเล่มนี้เอาแต่ใจ ถ้าคนที่ฝีมือด้อยถือดาบนี้มันจะทำร้ายชีวิตของตัวเอง ก็เหมือนกับเมื่อกี๊ที่ผมถือดาบนี้ไว้ แล้วมันพยายามที่จะทำร้ายผมอย่างไรอย่างนั้น ถ้าฝีมือผมด้อยลงไปอีก เกรงว่าจะต้องเสียชีวิตไปแล้วล่ะครับ ถ้าผมเดาไม่ผิด นี่เป็นดาบที่มีพลังเล่มหนึ่ง และยอดฝีมือเป็นผู้ตีมันขึ้นมา ทั้งประเทศหวา คนที่สามารถใช้น้ำตีดาบที่มีพลังได้ มีเพียงท่านเทพดาบเมื่อสองพันกว่าปีก่อนเท่านั้น”
“ใช้น้ำตี?” ฟางเหยียนพึมพำคำพูดที่หม่าจงหัวพูดเมื่อกี๊วกไปวนมา เป็นที่ทราบกันทั่วไป การตีดาบล้วนใช้เหล็กหรือสเตนเลสตี แล้วใครจะไปใช้น้ำตีดาบเล่า?ต่อให้คิดจะตี ก็ตีไม่สำเร็จ!น้ำไม่ได้เป็นของแข็ง เพียงแค่หยิบขึ้นมาก็ละลาย ถึงแม้หยดน้ำจะกัดกล่อนก้อนหินได้ แต่ใช้น้ำมาตีอาวุธ มันไม่ค่อยมีตรรกะสักเท่าไหร่
หม่าจงหัวพยักหน้าอย่างจริงจังแล้วกล่าว “ใช่ ใช้น้ำตีขึ้นมาจริงๆ!ในโลกนี้ของที่แข็งที่สุดไม่ใช่เหล็ก และก็ไม่ใช่เพชร คริสทัลจำพวกนี้ที่พวกเรารู้จักกัน ความจริงแล้วสิ่งที่มีความควบแน่นมากที่สุดคือน้ำ น้ำถ้ามีแรงอัดที่แข็งแกร่ง ฆ่าคนได้โดยสิ้นเชิง!และเมื่อคู่กับความเร็วแสง ก็สามารถผ่าสิ่งของได้ ดาบที่ใช้น้ำตีออกมา ไม่ใช่ต้องการความสามารถที่ธรรมดา ดาบแบบนี้ ผมกล้าพูดเลย ว่าทั้งโลกมีแค่ด้ามเดียวเท่านั้น!”
“บรรพบุรุษของผมเคยกล่าวไว้ ดาบที่ดีที่สุดบนโลกไม่ใช่ดาบหนักที่ตีมาจากเหล็ก แต่เป็นดาบที่มีพลังที่ตีมาจากน้ำ ผมคิดว่าบรรพบุรุษอ่านจากในหนังสือแล้วเอามาหลอกพวกเรา แต่ไม่คาคคิดว่าจะมีดาบแบบนี้อยู่ด้วย แต่ ผู้ที่คู่ควรกับดาบเล่มนี้ เกรงว่าจะมีแต่จอมพลโผ้จวินแล้วล่ะครับ!“ หม่าจงหัวก็ยังมิวายที่จะประจบประแจง
ฟางเหยียนพยักหน้าตอบรับ แล้วได้เอาดาบวางไว้ในมือและสอดส่องดูอีกครั้ง ดาบที่ตีมาจากน้ำ ที่แท้ก็มีที่มาอย่างนี้นี่เอง
หม่าจงหัวพูดต่อว่า “ดาบนี้เลือดไม่แปดเปื้อนร่างกาย ฆ่าคนเร็วดั่งสายลม!คนที่ปฏิกิริยาช้าเมื่อถือดาบนี้จะทำร้ายเข้าที่ร่างกาย มีเพียงคนที่มีปฏิกิริยารวดเร็ว โหดเหี้ยมมากพอ จึงจะกดความร้ายกาจในตัวดาบของมันได้ ในตอนนั้นนักดาบจำนวนไม่น้อยหาดาบนี้ จนทำให้ยุทธภพแตกแยกไม่เป็นชิ้นดี เลือดไหลนองเป็นสายน้ำ แต่สุดท้ายก็หาไม่เจอ ไม่มีใครรู้ว่าดาบเล่มนี้อยู่หนใด แต่ในยุทธภพมักจะมีข่าวลือเกี่ยวกับมัน มิทราบว่าจอมพลโผ้จวิน ท่านไปได้ดาบนี้แต่ใดมา?”
ฟางเหยียนไม่ปิดบัง มองหม่าจงหัวแล้วถาม “คุณเคยได้ยินเจ้าค้างมีดมั้ย?“
หม่าจงหัวพยักหน้าแล้วกล่าว “ทราบครับ องค์กรลึกลับองค์กรหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นทายาทของสำนักกุ่ยกู่!มีดเล่มนี้ ได้มาจากมือของเจ้าค้างมีดเหรอครับ?”
ฟางเหยียนพยักหน้าแล้วกล่าว “ใช่ ดาบเล่มนี้เจ้าค้างมีดให้ผมมา”
หม่าจงหัวไม่ได้ตกใจอะไรมากนัก กลับกันพยักหน้าอย่างครุ่นคิดแล้วกล่าว “อย่างนี้นี่เอง แสดงว่านี่คือบัญชาจากสวรรค์ ใต้หล้านี้ จะต้องเกิดความวุ่นวายแล้วล่ะ!”
ฟางเหยียนเปล่งเสียงอ๋อออกมา เงยหน้ามองหม่าจงหัวแล้วถาม “ทำไมถึงพูดเช่นนี้?”
หม่าจงหัวเคร่งเครียด แล้วกล่าว “ปกติเจ้าค้างมีดจะไม่ค่อยปรากฏกายในช่วงบ้านเมืองสงบสุข มีเพียงช่วงโกลาหลเท่านั้นพวกเขาจึงจะปรากฏตัวออกมา ในเมื่อปรากฏกายมอบดาบนี้ให้กับท่านแล้ว แสดงว่าพวกเขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แน่นอน นี่เป็นเพียงคำร่ำลือในยุทธภพเท่านั้น และเป็นคำพูดที่บรรพบุรุษของตระกูลผมทิ้งไว้เท่านั้น จริงเท็จยากจะตัดสิน!”
ในหัวของฟางเหยียนผุดคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าค้างมีดพูดไว้ขึ้นมาอีก จากนั้นได้มองไปที่ดาบนั้นอีกครั้ง
จู่ๆ หม่าจงหัวโบกมือให้กับพวกลูกชายหลายคนของตน ส่งสัญญาณให้พวกเขาออกไป พวกเขาเดินออกจากห้องโถงไปอย่างเข้าใจ แล้วยังปิดประตูของห้องโถงอีกด้วย
เมื่อเห็นดังนี้ เทียนขุยถามอย่างรู้สึกไม่ชอบมาพากล “หม่าจงหัว คุณหมายความว่าไง?คิดจะปิดประตูตีแมวใช่มั้ย?”
หม่าจงหัวรีบส่ายหัวแล้วกล่าว “ไม่ๆๆ ผมจะไปมีปัญญาทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน ผมเพียงแต่…”
เขายังไม่ทันพูดจบ ก็คุกเข่าปุงลงไปกับพื้น แล้วกล่าวด้วยความละอายใจ “ผมเพียงแค่อยากอ้อนวอนขอร้องให้จอมพลโผ้จวินช่วยตระกูลหม่าของเรา ผมไม่อยากให้ตระกูลหม่าผู้ภักดีของพวกเราเมื่อมาถึงรุ่นของผมแล้วกลายเป็นตระกูลอกตัญญูที่ทรยศต่อประเทศชาติ”