จอมนักรบทรงเกียรติยศ – ตอนที่ 426 ถูกคนสะกดรอยตาม

หลังจากที่ฟางเหยียนและเทียนขุยเดินออกมาจากตระกูลหม่าแล้ว ก็ตรงมากินข้าวที่ร้านอาหารหนึ่ง นี่เป็นร้านอาหารธรรมดาร้านหนึ่ง ด้านในไม่มีคน ตอนนี้ได้เวลากินข้าวแล้ว เมื่อเห็นคนน้อย ทั้งสองจึงตัดสินใจกินที่นี่

ฟางเหยียนไม่ชอบความครึกครื้น โดยเฉพาะตอนกินข้าว เขาไม่ชอบได้ยินเสียงน่ารำคาญพวกนั้น ที่เลือกร้านอาหารนี้ ก็เพราะรู้สึกว่าร้านนี้สงบ จึงได้ตัดสินใจมา

กับข้าวของทั้งสองเพิ่งจะถูกยกมา ในร้านอาหารก็มีผู้ชายที่ลับๆล่อๆสองคนเข้ามา ชายสองคนนี้ย้อมผมสีทองเหมือนกัน เจาะหู ใส่เสื้อกั๊ก รองเท้าแตะ กางเกงยีนรัดรูป แขนโผล่ออกมาด้านนอก. จงใจโชว์รอยสักบ้านนอกบนเขียนทั้งสองข้างออกมา ดูไปแล้วเหมือนคนที่ทำงานแล้ว

เดิมทีสองคนนี้ไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือเนื้อแท้ก็ไม่สามารถดึงดูดสายตาของฟางเหยียนได้ แต่พวกเขานั่งพูดคุยข้างๆฟางเหยียน และเพราะหัวข้อที่พวกเขาคุยกันจึงทำให้ฟางเหยียนและเทียนขุยต้องสนใจสองคนนี้ขึ้นมา

“แกมั่นใจเหรอวะว่าเมื่อคืนได้กันแล้ว?” หนึ่งในผู้ชายผมทองถามอีกคนอย่างแปลกใจ

ชายผมทองที่ถูกถามกล่าว “แหงสิ แกคิดว่าฉันล้อเล่นเหรือไง? เราสองคนเป็นใคร ฉันล้อเล่นกับใคร ก็ไม่มีทางล้อเล่นกับแกหรอก ถูกมั้ย? เพราะได้แล้วไง วันนี้ถึงได้เรียกแกให้ไปด้วยกัน จะบอกให้นะเว่ย แจ่มมาก แต่ผู้หญิงคนนั้นแต่งตัวเก่าๆไปหน่อย แต่สวยมาก หน้าอกใหญ่ตูดกลม เรื่องนี้เศษเดนพวกนั้นนั้นยังไม่รู้ ถ้าพวกมันรู้แล้วล่ะก็ พวกเราจะมีโอกาสได้ไงกัน”

“ว้าว มีเรื่องดีขนาดนั้นจริงๆเหรอเนี่ย? เมื่อคืนแกถึงอกถึงใจเลยใช่มั้ยวะ?

“คิๆๆ ความจริงก็ไม่ได้ถึงอกถึงใจอะไรนักหรอก ก็แค่ลูบๆไป ไม่ว่าจะลูบยังไงเธอก็ไม่ร้อง ก็แบบ พอจะถึงตอนสำคัญเธอก็ร้องมั่วกัดมั่ว แกคิดเอาเองนะ ไม่ต้องจ่ายเงินลูบได้ตามใจชอบ ได้ปลดปล่อยความอยากขอฉันได้บ้าง คืนนี้พวกเราเอาข้าวกล่องไป ถึงตอนนั้นใส่ยาลงไปในข้าวกล่องสักหน่อย ถึงตอนนั้นเธอก็จะเป็นของเราสองสหายแล้ว”

“เชี่ย! แล้วเธอจะร้องออกมามั้ยเนี่ย ถ้าถูกคนจับได้ จะทำไง?”

“บ้าป้ะ ที่นั่นมันที่ไหน? เขตเมืองเก่าอันรกร้างภาคตะวันออกของเมือง ไม่มีคนอยู่ในรัศมีสิบกิโลเมตร ต่อให้ร้อง แล้วใครจะไปได้ยินวะ? แกนี่นะ เผชิญโลกภายนอกมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมความกล้ายิ่งอยู่ยิ่งน้อยลงวะ ช่วงนี้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศเหรอวะ?”

“พูดอะไรอย่างนั้น จะเสื่อมได้ไงกันเล่า! ก็แค่ แกบอกว่าเธอเป็นคนจรจัด ฉันก็เลยไม่ค่อย…”

“คนจรจัดแล้วไงวะ? นอกจากเสื้อผ้าบนตัวของเธอเท่านั้นที่เก่าหน่อย แต่ดีกว่าคนในซ่องล่ะวะ ฉันแอบพูดกับแกนะเว่ย ครั้งที่แล้วที่เราได้เมียของคนรวยคนนั้นมา ยังเทียบกับเธอไม่ได้เลย! เมียของคนรวยคนนั้นเจ๋งป่ะ?”

“ไม่มั้ง! ดีขนาดนั้นเลยเหรอ? ตอนนี้ฉันยังคิดถึงคนนั้นเสมอ”

“อิๆ เอาเป็นว่า ในร่างกายของเธอ ล้ำค่ามาก ล้ำค่าแน่นอน น่าจะเจอเข้ากับเรื่องกระทบจิตใจจึงได้กลายเป็นแบบนั้น ถ้าแต่งองค์ทรงเครื่องสักหน่อย ฉันรับรอง เป็นของดีแน่ๆ”

คุยไปคุยมา ทั้งสองตระหนักได้ถึงคนที่อยู่ข้างๆ พบว่าฟางเหยียนกำลังจ้องทั้งสองอยู่พอดี คนที่เมื่อคืนอยากจะแอ้มผู้หญิงที่พูดถึงนั้นตบโต๊ะขึ้นมา ส่งเสียงเห้ย แล้วถาม “มองอะไรวะ?”

เทียนขุยขมวดคิ้ว กำลังจะหันไปจัดการสองคนนั้น แต่ถูกฟางเหยียนห้ามไว้ เขาลากแขนของเทียนขุยไว้ ส่ายหน้า จากนั้นก็มองไปทางอื่น

ทั้งสองเห็นฟางเหยียนไม่กล้าทำอะไรพวกเขา จึงได้คุยโวว่า “จะบอกให้นะ ต้องโหดเหี้ยมกับคนแบบนี้! ฉันอยู่ที่ถนนเส้นนี้มานานหลายปี ไม่มีใครกล้าจะเป็นปฏิปักษ์กับฉัน ครั้งที่แล้วคนที่เป็นปรปักษ์กับฉัน ตอนนี้ยังนอนอยู่โรงพยาบาลอยู่เลย”

“ใช่ เราสองพี่น้องเป็นใคร!”

ขณะนี้เจ้าของร้านเอาข้าวผัดสองกล่องมาให้พวกเขา หลังจากที่รับเงินแล้ว ทั้งสองก็เดินออกจากร้านอย่างโอหังอวดดี เมื่อมาถึงประตูร้านก็สตาร์ทรถมอเตอร์ไซด์ แล้วออกไปอย่างสบายใจ

ความจริงไม่ว่าที่ไหนล้วนมีคนแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีวัฒนธรรมอะไร มักจะรู้สึกว่าตัวเองเจ๋ง พอรังแกคนได้สักคนสองคน ก็จะคุยโวโอ้อวด พวกเขาจะจำเรื่องราวครั้งสองครั้งนั้นไปตลอดกาล

เทียนขุยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “จิมพลโผ้จวินครับ ทำไมไม่ให้ผมจัดการพวกมันล่ะครับ? ก็แค่สวะสองตัวเท่านั้น!”

“ตามพวกมันไป อย่าให้พวกมันทำอะไรได้ แล้วก็ช่วยคนขอทานที่น่าสงสารนั้นด้วยเลย” ฟางเหยียนออกคำสั่ง

เทียนขุยชะงักไป นี่ไม่เหมือนสไตล์ของจอมพลโผ้จวินเป็นอย่างมาก เขาไม่ชอบยุ่งเรื่องแบบนี้มาโดยตลอด แต่ในเมื่อจอมพลโผ้จวินสั่งการแล้ว เขาจะกล้าพูดอะไรอีก จึงได้ตอบรับอย่างจริงจัง “ครับ!”

พูดจบเทียนขุยก็เดินออกไป!

ฟางเหยียนทานอาหารอยู่ในร้านอาหารจนกระทั่งมืดค่ำจึงค่อยๆเดินออกจากร้านมาอย่างช้าๆ เมื่อเดินออกมาจากร้านอาหารเขาเดินตามช่องทางเล็กๆไปที่เขตคฤหาสน์หุบดอกพีชโดยตรง นานแล้วที่เขาไม่ได้เดินในตลาดกลางคืนที่สุขสงบแบบนี้

เมื่อก่อนตอนที่เดินในตลาดกลางคืนแบบนี้ ก็เป็นตอนช่วงมัธยมปลาย ตอนนั้นหลังจากที่เขาทบทวนบทเรียนในตอนกลางคืนเสร็จแล้ว ก็ได้เดินตามหลังเย่ชิงหยู่อย่างเงียบๆ ป้องกันภัยอันตรายให้เธอ และข้างๆเย่ชิงหยู่มักจะอยู่กับผู้หญิงสองสามคน มักจะไม่สนใจเขา และผู้หญิงพวกนั้นยังเยาะเย้ยฟางเหยียนอีกว่าเขาเป็นหมาประจบสอพลอ แต่เขาไม่สนใจ เพียงแค่สามารถอยู่ด้านหลังของเย่ชิงหยู่ได้ มองแผ่นหลังของเธอ ฟางเหยียนก็พอใจแล้ว

ไม่รู้ว่าตอนนี้เย่ชิงหยู่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว เมื่อวานโทรหาเธอ จนตอนนี้ก็ยังไม่เห็นเธอจะโทรกลับมา

เดินไปเดินมา ก็ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่แล้ว จู่ๆมือถือของฟางเหยียนก็ดังขึ้น เขาคิดว่าเย่ชิงหยู่โทรมา จึงรีบหยิบออกมาดู เมื่อดูจึงได้เห็นว่าไม่ใช่เบอร์ของเธอ จู่ๆในใจก็อดไม่ได้ที่จะผิดหวัง

หลังจากลังเลอยู่สักพัก ฟางเหยียนก็รับสาย ปลายทางเป็นเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคย “เทพหมอฟาง! ท่านอยู่ไหนคะ?ฉันขอเจอคุณหน่อยได้มั้ยคะ?” เป็นเสียงของหลินถง

“มีธุระเหรอครั้บ?” ฟางเหยียนไม่ค่อยอยากเจอหลินถง สถานะของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ธรรมดา

หลินถงลังเลไปสักพัก แล้วกล่าว “ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่…”

เธอยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกฟางเหยียนขัดจังหวะ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็แค่นี้ละกันนะครับ!”

เมื่อพูดจบ ฟางเหยียนวางสายลงอย่างไม่ไยดี จากนั้นก็เอามือถือเก็บเข้าไปในกระเป๋า เพิ่งจะเก็บเข้าไป มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้งฟางเหยียนหยิบมือถือออกมาอีกครั้งอย่างไม่พอใจสุดขีด ไม่ใช่เบอร์โทรเมื่อกี๊ แต่เป็นเบอร์แปลก จะต้องเป็นหลินถงเปลี่ยนเบอร์โทรมาแน่นอน ผู้หญิงคนนี้น่ารำคาญจริงๆ

เมื่อนึกถึงจุดนี้ เขาถอนหายใจยาวๆ แต่ก็รับสาย ดูว่าหลินถงจะแสดงละครอะไรอีก!

เพิ่งรับสาย เขาก็ได้ยินเสียงที่แปลกๆดังขึ้นบริเวณรอบๆของตัวเอง

เขาค่อยๆเก็บมือถือ เริ่มสังเกตการณ์โดยรอบ

จอมนักรบทรงเกียรติยศ

จอมนักรบทรงเกียรติยศ

เทพแห่งสงครามกลับเยือนบ้าน เห็นภรรยาตกที่นั่งลำบากถูกคนเย้ยหยัน ความโกรธแผ่ซ่านไปทั่วเมือง! คนที่คิดจะกระตุกหนวดเสือ มันต้องไม่ตายดีแน่! กล้าทำให้เทพแห่งสงครามมีน้ำโห เตรียมเผชิญกับสงครามนองเลือดไว้ได้เลย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset