ฟางเหยียนมองเหล่ผู้หญิงคนนี้ สายตาเริ่มน่ากลัวมากขึ้น พนักงานสาวไม่รู้จักว่าอะไรคือรังสีอำมหิต เธอแค่รู้สึกไม่สบายเอามากๆ แต่ยังคงเปลี่ยนสายตาเหยียดหยามคนของเธอไม่ได้ เธอแค่นเสียงหยันพลางว่า “คุณมองฉันทำไม?”
ฟางเหยียนถามขึ้นตรงประเด็นว่า “คุณคิดว่าผมไม่มีปัญญาซื้อเสื้อตัวนี้ใช่ไหม?”
“พรืด!” พนักงานยังไม่ทันพูดอะไร คนที่โดนเรียกว่าคุณชายโล๋ก็หัวเราะร่วนออกมาก่อน จากนั้นเดินมายืนมองสำรวจจากหัวจรดเท้าที่หน้าฟางเหยียน และยกมือขึ้นลูบตัวฟางเหยียนเล็กน้อย จับดูคุณภาพของเสื้อตัวที่เขาใส่อยู่ พลางถามขึ้นว่า “เสื้อบนตัวแกนี่ราคาเท่าไหร่?”
ฟางเหยียนมองเสื้อผ้า ตอบเสียงเรียบว่า “50!”
คุณชายโล๋กลั้นหัวเราะ ก่อนหันไปมองกางเกงยีนและถามอีกว่า “แล้วกางเกงล่ะ?”
ฟางเหยียนมองกางเกงยีนสีซีดออกขาวพลางว่า “99!”
“แล้วรองเท้าบูททหารของแกล่ะ?” คุณชายโล๋ถามต่อ
ฟางเหยียนมองรองเท้าบูททหารบนเท้าพลางว่า “ไม่รู้ รัฐบาลให้มา น่าจะหาซื้อไม่ได้ล่ะมั้ง!”
“ฮะฮะ!” คุณชายโล๋หัวเราะร่วนๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนบอกว่ารองเท้าบูททหารเป็นของมีค่าแบบประมาณค่าไม่ได้ เขาชี้ไปที่รองเท้าของฟางเหยียนพลางว่า “รองเท้าแบบนี้แค่เคยไปเป็นทหารก็หาได้ทั้งนั้น แกนี่พูดจาน่าสนใจดีนะ”
เป็นทหารมีหมด! นั่นเป็นรองเท้าบูททหารธรรมดา แต่คู่นี้ของฟางเหยียนไม่เหมือนกัน
รองเท้าคู่นี้รัฐบาลให้มาจริงๆ หลังจากที่ฟางเหยียนทลายจอมพลทั้งสิบประเทศได้ เขาก็ได้รับรางวัลจากรัฐบาล ตอนนั้นนอกจากรัฐบาลจะให้สมญานามเทพเจ้าแห่งสงครามกับเขาแล้ว ยังมอบรองเท้าคอมแบตไร้คู่ต่อสู้คู่หนึ่ง รองเท้าคอมแบตคู่นี้แทนเกียรติยศอันประมาณค่าไม่ได้ ไม่ใช่ใครจะคู่ควรมีสิทธิ์ใส่รองเท้าคอมแบตแบบนี้ได้
แต่จะเปลืองน้ำลายกับคนแบบนี้ไปทำไมล่ะ พูดมากไป เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“จริงสิ แกอยากซื้อเสื้อตัวนี้หรอ?” คุณชายโล๋เห็นฟางเหยียนไม่พูดอะไร ชี้ไปที่เสื้อโค้ตกันลมตัวนั้นพลางถามขึ้น
ฟางเหยียนพยักหน้าเล็กน้อยพลางว่า “ใช่ เมื่อกี้ผมสนใจเสื้อตัวนี้”
“อ้อ!” คุณชายโล๋หัวเราะเหอะเหอะพลางว่า “งั้นแกรู้ไหมว่าเสื้อตัวนี้ราคาเท่าไหร่? 388,000 แกมีเงินมากขนาดนั้นไหม? ถ้ามีฉันจะได้ไม่แย่ง เสียสละให้แก!”
“เสียสละให้ผม?” ฟางเหยียนทวนคำเหล่านี้ สายตาจับจ้องไปที่ผู้ชายตรงหน้าพลางว่า “คุณแน่ใจว่าคุณเสียสละให้ผม? เสื้อตัวนี้ถ้าผมไม่ยกให้ ใครก็อย่าคิดจะเอาไปได้!”
“พรืด!” คุณชายโล๋หัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม ตอนแรกยิ้มละไมก่อน จากนั้นก็หัวเราะกลั้วคอร่วนเลยจนเห็นฟันขาว จากนั้นสะดุดร้องไอ้หยาออกมา พูดต่อด้วยสีหน้าเหนื่อยใจว่า “ตลกจริงๆ แกนี่พูดจาตลกน่าสนใจนะ มีข้อดีอีกอย่างคือหยิ่งทระนง แต่ว่าฉันชอบคนนิสัยหยิ่งทระนงแบบแก!”
“ดี!” คุณชายโล๋ปรบมือดังพลางว่า “ในเมื่อแกพูดเองว่า ถ้าแกไม่เห็นด้วย ใครก็เอาเสื้อตัวนี้ไปไม่ได้ งั้นฉันจะเอาล่ะ ห่อใส่ถุงให้ฉันเลย ฉันจะดูสิว่าแกจะทำอะไรได้?”
พนักงานสาวไม่สนใจว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน เธอสนใจแค่คำว่าห่อใส่ถุงเลย
เธอรีบพยักหน้าย่อเอวลงพลางว่า “ได้ค่ะได้ คุณชายโล๋ ฉันจะรีบเอาไปใส่ถุงเลย”
ตอนนี้เธอออกจะขอบคุณหมอนั่นแล้ว ถ้าไม่ใช่หมอนั่นยั่วคุณชายโล๋ เขาคงไม่ตกลงซื้อเร็วขนาดนี้ แต่ว่าคนตาไร้แววอย่างหมอนั่นคงต้องลำบากหน่อยแล้วล่ะ
ช่างมันละกัน คิดซะว่าทำดีสักครั้ง เธอหันไปบอกฟางเหยียนว่า “นี่ ไม่อยากมีเรื่องก็รีบไปเถอะ! ท่านนี้คือประธานโล๋กรรมการผู้จัดการของโล๋ซื่อกรุ๊ป พ่อเขาเป็นประธานกรรมการผู้จัดการของโล๋ซื่อกรุ๊ป”
ฟางเหยียนพูดอย่างไม่ยี่หระว่า “แล้วยังไงล่ะ? วันนี้ต่อให้ประธานกรรมการผู้จัดการของโล๋ซื่อกรุ๊ปมาเอง ก็อย่าหวังจะเอาเสื้อตัวนี้ไปได้ ของที่ผมสนใจใครก็แย่งไม่ได้ ต่อให้แย่งไปแล้ว ก็ต้องประคองสองมือเอากลับมาให้ผม”
“ประสาท!” พนักงานสาวบ่น “ฉันหวังดีเตือนคุณ คุณกลับไม่สนใจ! ต้องโดดเข้ากองไฟใช่ไหม? ไม่อยากมีเรื่องก็รีบไปเลยไป”
พนักงานสาวโกรธขนาดนั้นเพราะว่ากลัวคุณชายโล๋จะลงมือในร้าน เธอไม่สนใจหรอกว่าหมอนี่จะอยู่หรือตาย เกิดลงมือลงไม้กันในร้านจะทำให้ภาพลักษณ์ดูไม่ดี เธอก็แค่อยากรักษาภาพลักษณ์ของร้านเท่านั้นเอง
“อืม!” คุณชายโล๋หันไปมองพนักงานสาวหนึ่งที เธอตกใจกับสายตานั้นของเขา “ไอ้หนู กล้ามากนี่! แกเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ฐานะฉันแล้ว ยังกล้าพูดจาแบบนี้ต่อหน้าฉันอยู่”
“ทำไม? คุณเก่งมากหรือไง?” ฟางเหยียนถามเสียงเย็นชา เขาใช้สายตาประหนึ่งราชาดูถูกทุกสิ่ง เหมือนกับว่าในสายตาเขา คุณชายโล๋เป็นแค่อากาศธาตุ ไม่คู่ควรให้เขามองด้วยซ้ำ
ใบหน้าคุณชายโล๋กระตุกสองสามครั้งก่อนหัวเราะเสียงเย็นออกมา “น่าสนใจ! น่าสนใจ!”
เห็นสีหน้าไม่รู้จักตายของฟางเหยียน พนักงานยกสองมือขึ้นกอดอกแสดงท่าทางเหมือนดูละคร หมอนี่เผลอๆมีไม่ถึงห้าพันด้วยซ้ำ ยังกล้ามาดูเสื้อผ้าราคาสามแสน ที่สำคัญที่สุดคือหาเรื่องคุณชายโล๋ได้แล้ว
คราวนี้สนุกละ ดูสิคุณชายโล๋จะจัดการเขายังไง
ตอนนี้ เห็นแค่คุณชายโล๋จัดชายเสื้อที่ข้อมือพลางว่า “นานแล้วไม่ได้อัดคน ในเมื่อแกอยากหาเรื่องเอง! งั้นฉันจะสั่งสอนแก ให้แกรู้ว่าต่อไปต้องเคารพใครยังไง!”
พูดจบ คุณชายโล๋เช็ดหมัดตัวเอง บ่นพึมพำว่า “ฉันไม่ได้ซ้อมหมัดนานแล้ว วันนี้เอาแกเป็นคู่ซ้อมมือละกัน!”
ระหว่างพูด เขากำหมัดพุ่งเข้าหาฟางเหยียน จังหวะที่หมัดกำลังจะโดน ปากเขายังพูดว่า “ให้แกรู้จักฉันละกัน”
พูดจบปุ๊บ หมัดก็โดนจับไว้มั่น มันเป็นฝ่ามือผอมแห้ง ดูผอมแห้งแต่แรงเยอะจนน่าตกใจ ตอนคุณชายโล๋โดนจับข้อมือไว้ เขารู้สึกเหมือนข้อมือใกล้จะหักแล้ว
คุณชายโล๋มองฟางเหยียนด้วยสีหน้าตะลึงปนหวาดกลัว นี่มันอะไรกัน? ทำไมมือหมอนี่แรงเยอะแบบนี้
ร่างเขาผอมบางขนาดนั้น แถมยังไม่สูง เป็นไปได้ยังไง? ยังไงตนก็เรียนเทควันโดมา จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหมอนี่ได้ยังไง? หรือว่าหมอนี่ก็เคยเรียนมาเหมือนกัน?
ใช่ หมอนี่ต้องมีวิชาแน่!
แต่มีวิชาแล้วยังไง เขาเป็นใคร? เขาคือคุณชายโล๋!
ตนสู้ไม่ได้ ก็เรียกคนมาได้ หนึ่งร้อยคนพอไหม? ถ้าร้อยคนไม่พอ งั้นก็พันคน
“โอ๊ยโอ๊ยโอ๊ย!” พอคิดอย่างนั้นก็ต้องร้องโอดโอยออกมาก่อน เพราะหมอนั่นเพิ่มแรงมือ จนเขาได้ยินเสียงกร๊อบกร๊อบของกระดูกจากข้อมือรอบนอก
ฉากนี้ดึงดูดความสนใจจากคนในร้านทั้งหมด สายตาทุกคนพร้อมใจกันมองมาทางนี้