ท่านปรมาจารย์เงียบไปสักพัก จากนั้นชูขึ้นมาสองนิ้วแล้วนับ หลังจากที่ผ่านไปสักพักได้พูดว่า “รอเงียบๆ!”
ของที่เปล่งสามคำนี้ออกมาดังมาก ดังก้องไปทั่วห้องโถง ทำเอาพวกเขาไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป เดิมทียังอยากรายงานปัญหา แต่เมื่อเห็นอารมณ์ของท่านปรมาจารย์แล้ว ต่างพากันหุบปากไป
ขณะนี้ ชายที่วัยรุ่นคนหนึ่งเดินมา แล้วกล่าว “ท่านปรมาจารย์จะพักผ่อนแล้ว เชิญทุกท่านกลับครับ!”
ทันใดนั้นใบหน้าของผู้เฒ่าหลายคนก็เปลีย่นไปไม่เข้าใจขึ้นมา แต่ไม่มีใครก็พูดแค้นเคืองอะไรออกมา ทุกคนเพียงแต่มองหน้ากันและกัน สุดท้ายเดินออกจากองค์กรนินจาอย่างช่วยไม่ได้!
เมื่อมาถึงประตูขององค์กรนินจา ผู้ชายหนึ่งในนั้นที่ไม่เข้าใจมากที่สุดกล่าว “ท่านปรมาจารย์นี่เป็นอะไรกันแน่นะ? ทำไมผมรู้สึกว่าเขาตั้งใจจะปกป้องคนนั้น?”
“ผู้อาวุโสหก!” ผู้เฒ่าหนึ่งในนั้นที่ค่อนข้างแก่กว่ามองผู้เฒ่าที่พูด แล้วกล่าว “ให้ความสำคัญตัวเองไปหรือเปล่า!”
ผู้อาวุโสหกชะงักไป แล้วกล่าว “ผู้อาวุโสเจ็ด ผมก็แค่ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของท่านปรมาจารย์สักเท่าไหร่! ไอ้นั่นมันฆ่านินจาไปมากมายขนาดนั้นแล้ว พวกเรายังไม่ออกโรงขัดขวาง เป็นแบบนี้ต่อไป จะมีองค์กรนินจาอีกมากมายคิดว่าพวกเราไม่สนใจเรื่องนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผมเป็นห่วงว่าองค์กรนินจาทั้งหมดจะรวมตัวกันมาล้างแค้นสังคมนะสิ ถึงตอนนั้นสังคมจะระส่ำระสาย เกรงว่าต่อให้คนขององค์กรนินจาของเราออกโรง ก็ขัดขวางคาวเลือดแบบนี้ไม่ไหว! ในเมื่อรู้ว่าจะมีความโกลาหลแบบนี้ ทำไมไม่ขัดขวางไว้ก่อนล่ะ ขัดขวางไว้ก่อนก็สามารถยับยั้งสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นแบบนี้ได้นะ”
“ใช่ ผมก็เห็นด้วยกับความคิดของผู้อาวุโสหกนะครับ ถ้าออกโรงตั้งแต่แรกๆ สถานการณ์แบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น”
ผู้อาวุโสเจ็ดลูบเคราของตัวเอง ดูแคลนเหอะๆออกมา แล้วกล่าว “ผมเข้าใจความรู้สึกของทุกคนนะครับ ความจริงความคิดของทุกคนจะไม่เหมือนของผมได้อย่างไรกัน เพียงแต่ตอนนี้ พวกเราอย่าเพิ่งรีบร้อน ท่านปรมาจารย์ไม่มีทางให้โลกระส่ำระสายแน่นอน เขาเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นใต้หล้า แล้วจะไม่สนใจใต้หล้าได้อย่างไรกันเล่า เชื่อผม ท่านปรมาจารย์ไม่มีทางทิ้งประชาชนของเขา”
“ผู้อาวุโสเจ็ด ไม่งั้นผมไปยับยั้งก่อนดีมั้ย! ผมลงจากเขาไปบอกคนนั้น ให้เขาอย่าฆ่าคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีก!” ผู้อาวุโสหกเสนอตัวป้องกันอันตรายขึ้นมา อยากข้ามหัวของท่านปรมาจารย์ลงจากเขาไปโดยตรง
ผู้อาวุโสเจ็ดส่ายหน้าแล้วกล่าว “ไม่เหมาะสม! พวกเราไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ลับหลังท่านปรมาจารย์ได้ จำไว้ องค์กรนินจาเป็นองค์กรที่มีกฎเกณฑ์ ถ้าตัวเองทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า งั้นจะต่างอะไรกับนินจาอิสระกันเล่า! ฟังคำสั่งของท่านปรมาจารย์ รอเงียบๆ!”
“อีกอย่าง เมื่อกี๊ท่านปรมาจารย์พูดไว้ชัดเจนแล้ว ว่านี่เป็นแค่การกำจัดตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าไม่มีธาตุโลหะแล้ว เบญจธาตุก็เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ในเมื่อเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ก็หนีไม่พ้นจากการกำจัดของธรรมชาติ การล่มสลายของสำนักไร้หน้าหมายถึงองค์กรใหม่ได้เริ่มปรากฏขึ้นแล้ว ทำไมทุกท่านถึงไม่รอดูการสลับสับเปลี่ยนเบญจธาตุทั้งหมดเล่า!”
ผู้เฒ่าหลายคนตาลุกโต แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก ถ้าเบญจธาตุสลับสับเปลี่ยนไปทั้งหมดจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าโลกนี้จะวุ่นวายขนาดไหนกัน
——
นี่เป็นห้องเรียนมหาลัยที่มาตรฐานห้องหนึ่ง บนเวทีมีอาจารย์วัยรุ่นคนหนึ่งยืนอยู่ เขาใส่แว่น ดูท่าทางสุภาพเรียบร้อยมีมารยาท เวลาบรรยายมักจะทำให้นักศึกษาเบื่อหน่ายมาก นักศึกษาจำนวนไม่น้อยเริ่มสัปหงก ในนั้นก็มีจำนวนไม่น้อยที่เหม่อลอย พูดคุยเสียงเบา ห้องเรียนมหาลัยก็เป็นแบบนี้ ถ้าอาจารย์จะสนใจ ไม่รู้ว่าต้องเหนื่อยขนาดไหน
ฉินเข่อนั่งในห้องเรียน เธอเป๋อเหลอไปนานแล้ว หลังจากที่หลับมาจากสำนักไร้หน้านั่น เธอก็มักจะเป็นแบบนี้ แม้จะบอกกับทุกคนแล้ว ว่าจะไม่พูดเรื่องที่เห็นในหุบเขาออกไป แต่สิ่งที่อยู่ในหัว ทำให้เธออดคิดไม่ได้ นั่นเป็นฉากยังไง ไม่ได้เป็นฉากที่คนธรรมดาจะรับได้
เลือดไหลเป็นลำธาร ศพกองพะเนินเทินทึกเหมือนเขา ด้านในยังมีกลิ่นเน่าเหม็นฟุ้งไปทั่ว เหมือนกับถ่ายหนังอย่างไรอย่างนั้น ยังไงฉินเข่อก็ไม่คาดคิดว่าช่วงชีวิตที่เหลือของตัวเองยังได้เห็นฉากที่น่ากลัวอย่างนั้นด้วย นี่ทำให้เธอไม่สามารถลืมได้
ช่วงกลางคืนหลายวันมานี้ เธอแทบจะฝันร้ายทุกคืน และตื่นจากฝัน ไม่สิ ตกใจตื่นต่างหาก ตกใจตื่นเพราะฉากอันน่ากลัว เธอเป็นเพียงคนธรรมดา จะรับกับเหตุการณ์อย่างนั้นได้อย่างไรกัน
นึกไม่ถึงว่าเมื่อหลายวันก่อนเธอได้เจอเข้ากับความเป็นความตาย ถ้าไม่ใช่เพราะคนนั้น บางทีตอนนี้เธอตายไปแล้วก็ได้! แต่คนนั้นเป็นใครกัน? ทำไมเขาต้องฆ่าคนนั้น นั่นมันหลายพันคนเลยนะ
ไม่สิ เหมือนว่าเธอจะผิดแล้วล่ะ! นั่นเหมือนจะไม่ใช่ความจริง นั่นเหมือนกับตนฝันไป
ตอนที่พวกเธอแจ้งความ หลังจากที่ตำรวจมาถึงที่นั่นแล้ว นึกไม่ถึงว่าที่หน้างานจะไม่เจอศพสักศพ ด้านในมีรอยการต่อสู้กันจริง แต่ศพทั้งหมดหายไปอย่างสิ้นซาก แม้แต่คนที่ต่อสู้กันสองคนนั้น คนที่ตายคนนั้นก็ไม่เห็นแล้ว
ตอนที่เห็นหน้างานไม่มีคนตายสักคน พวกเธอกี่คนล้วนมึนงง ฉากนั้นเป็นฉากที่หลายๆคนเห็นกับตาทั้งหมด ทำไมในช่วงระยะเวลาสั้นๆไม่ถึงสองชั่วโมง ศพทั้งหมดได้หายไปแล้วนะ! หน้างานมันเลือดไหลเป็นลำธารเลยนะ ตอนที่ไปถึงที่นั่นอีกครั้ง พวกเธอถึงขั้นแม้แต่กลิ่นเหม็นก็ไม่ได้กลิ่นแล้ว!
นี่ทำให้พวกเธอคิดว่าตัวเองเห็นภาพลวงตา แต่ภาพลวงตาของทุกคนได้ปรากฏออกมาแล้ว นี่มันแปลกมาก ไม่พูดเกี่ยวกับคนตายพวกนั้น แต่สองคนนั้นก็ควรจะมีจริงป่ะ! ฉินเข่อเห็นอย่างจริงๆจังๆ คนที่หนึ่งในนั้นยังข่มขู่ถึงชีวิตของฉินเข่ออีกด้วย ตอนนั้นคนที่สวมชุดเกราะทองรวบเอวจับตัวฉินเข่อไว้แน่น อีกนิดก็จะฆ่าเธอแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอีกคนสละชีพเข้าช่วย เป็นไปได้มากว่าฉินเข่ออาจจะเสียชีวิตแล้วก็ได้
ความรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกจริง ฉินเข่อเข่อมั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นเรื่องจริง
ดังนั้นนั่งไม่ใช่ความฝัน และไม่ใช่ภาพลวงตา สองคนนั้นไม่ได้ออกมาจากจินตนาการแน่นอน
หรือตอนที่สองคนนั้นกำลังต่อสู้ได้ปล่อยกำลังภายในของแข็งแกร่งออกมา เนื่องจากพวกเธอเป็นแค่คนธรรมดา ดังนั้นจึงเกิดเป็นภาพลวงตา เห็นฉากที่ศพกองพะเนินเทินทึกเหมือนเขา และความวุ่นวาย
แล้วว่า สองคนนั้นไม่ใช่คนเสียด้วยซ้ำ พวกเขาคือเทพเซียน นั่นเป็นศึกสงครามของเทพเซียน! เมื่อคนธรรมดาเข้าไป จะต้องเห็นฉากแบบนั้นเป็นธรรมดา ใช่ ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ สองคนนั้นต้องไม่ใช่คนที่อยู่ในสังคมนี้แน่นอน พวกเขาต้องเป็นเทพเซียนแน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ! ช่วงนี้ความคิดของฉินเข่ออยู่แต่ในเรื่องนี้ เธอสงสัยมากว่าคนที่วันนั้นพวกเธอเห็นคือเทพเซียน ถ้าเป็นเทพเซียน คนนั้นก็เป็นคนที่ไม่มีตัวตน คนที่ช่วยเธอไม่มีอยู่จริง เพียงแค่เธอจินตนาการขึ้นมา
ฉินเข่อเท้าคาง แล้วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าเซ็งอย่างไรก็เซ็งอย่างนั้น!
มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ดีว่าช่วงนี้เธอผ่านมันมายังไง เรื่องนี้แทบจะครอบครองความคิดของเธอทั้งหมดแล้ว!
ความลี้ลับของคนนั้นทำให้เธอสับสน!