หยางซงลังเลไปสักพัก แล้วถาม “พวกแกรู้จักกันได้ไง?ฟังสำเนียง สหายคนนี้ไม่ใช่คนท้องถิ่นของดินแดนตะวันตกของพวกเรานี่หน่า”
ฉินเข่อเฮ้อออกมา แล้วกล่าว “กลับไปฉันค่อยเล่าให้พี่ฟัง!งานวันเกิดของคุณอา เรื่องการจัดวางยังมีอีกหลายที่ต้องการจากชี้แนะของพี่นะ รีบกลับบ้านไปทำงาน”
พูดพลาง ฉินเข่อลากหยางซงขึ้นรถ หลังจากที่นั่งบนรถแล้ว เธอยังหันหลังส่งสัญญาณมือOKให้ฟางเหยียนด้วยจิตใต้สำนึก ไม่นาน ทั้งสองขับรถจากไป
ขึ้นรถ หยางซงถามอย่างลังเลไม่เข้าใจว่า “อ้อ น้องสาว พวกแกรู้จักกันได้ยังไง?ทำไมพี่ไม่รู้ว่าแกรู้จักคนต่างถิ่นด้วย!แกบอกว่าเขาคืออาจารย์รับเชิญของมหาลัยพวกแก อาจารย์ของมหาลัยพวกแกฉันรู้จักกันทุกคน รวมทั้งศาสตราจารย์รับเชิญบางคนฉันก็รู้จัก ทำไมถึงไม่รู้ว่ายังมีศาสตราจารย์ที่วัยรุ่นขนาดนั้นด้วยนะ?”
ฉินเข่ออะแห่มสองครั้ง แล้วกล่าว “เขาเป็นศาสตราจารย์รับเชิญที่ค่อนข้างยอดเยี่ยม มาสอนให้ความรู้ที่มหาลัยของเราหนึ่งสัปดาห์แล้วก็ไป ตอนนั้นฉันเรียนคลาสของเขา ดังนั้นจึงรู้จักเขา”
“งั้นเมื่อกี๊พวกแกพูดอะไรกัน?” หยางซงยังคงถามอย่างเป็นห่วงมาก เพราะสัญชาตญาณบอกตัวเองว่า คนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา
ฉินเข่อกล่าว “ความจริงก็ไม่มีอะไร ก็แค่พูดคุยเรื่องทั่วไป ถามว่าช่วงนี้เป็นไงบ้าง”
หยางซงหรี่ตาครุ่นคิดสักพัก แล้วถาม “คงไม่ใช่ว่าพวกแกกำลังมีความรักกันหรอกนะ!”
“พี่ชาย!” ใบหน้าของฉินเข่อแดงขึ้นมาอย่างเร็ว เธอขมวดคิ้วชักตาใส่หยางซง
หยางซงนึกถึงฉากเมื่อกี๊ เขาไม่มีความน่าจะเป็นที่จะเป็นแฟนหนุ่มของฉินเข่อ ด้วยเหตุนี้เองตนจึงพูดอย่างไม่สนว่า “ล้อเล่นหน่า เขาน่าจะมีแฟนแล้ว!”
“อะไร?” ฉินเข่อถามด้วยแววตาแปลกใจ “พี่รู้ได้ไง?”
“พี่ไม่ใช่แค่รู้ พี่ยังรู้ว่าแฟนของเขาคือคู่หมั้นของโจวเจิ้ง!ที่เขามาดินแดนตะวันตกของเรา ต้องมีเพื่อแฟนสาวของเขาแน่ๆ” หยางซงพูดเองเออเอง
หลังจากพูดจบ เขาได้พูดอีกประโยคว่า “แต่พูดไปก็แปลกๆนะ นึกไม่ถึงว่าคนนี้จะไม่กลัวโจวเจิ้งเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้พี่ไม่คาดคิด ที่ดินแดนตะวันตกโจวเจิ้งเป็นเสือที่ขึ้นชื่อนะ”
“พี่ก็ไม่กลัวไม่ใช่เหรอ?ทำไมต้องกลัวโจวเจิ้งด้วย!เขาไม่ใช่ผีสักหน่อย” ฉินเข่อกล่าวอย่างดูถูก
ความจริงในใจเธอรู้ดีว่าทำไมฟางเหยียนไม่กลัว พูดอีกนัยคือ บางทีคนที่กลัวคือตระกูลโจวมากกว่านะ
อีกด้าน โจวเจิ้งที่นั่งอยู่บนรถ
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แดงก่ำ กำหมัดแน่น ดูๆแล้วเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานที่เจอเหยื่อ ไม่เคยมีใครทำให้เขาเสียเปรียบได้ขนาดนี้มาก่อน คนนั้น นอนกับภรรยาของตน นึกไม่ถึงว่ายังกล้าข่มตนอีก
ที่สำคัญที่สุดคือ ที่นี่คือดินแดนตะวันตก เขาเคยตบตนที่เมืองจินโจว ตนไม่คุ้นเคยกับสถานที่ก็ช่างแล้ว เมื่อมาถึงถิ่นของตัวเอง เขายังเล่นงานตัวเองอีก แล้วยังไม่แคร์ตนอีก
หรือ ในสายตาของเขา ตนอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอ?เมื่อโจวเจิ้งนึกถึงสิ่งเหล่านี้ สีหน้าก็ดูไม่ดีเหมือนกินขี้อย่างไรอย่างนั้น ในใจเต็มไปด้วยเย็ดแม่ปะทุเต็มไปด้วย
เขาหันมองหวังชิงชิงที่นั่งอยู่ข้างๆตน หวังชิงชิงท่าทางนิ่งสงบ เธอถึงขั้นขี้เกียจมองโจวเจิ้งเลยทีเดียว เพียงแต่แววตาจ้องไปที่เบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย
ถึงตอนนี้แล้ว เธอไม่ปลอบตนก็ช่าง นึกไม่ถึงว่ายังจะไม่สนใจตนแบบนี้อีก เมื่อกี๊เธอพูดแล้ว ว่าเธอยินยอมแต่งงานกับเขาเอง ต่อให้เสแสร้งเชื่อฟังตัวเองสักหน่อย ปลอบตัวเองสักหน่อยไม่ได้เหรอ?
ความหยิ่งไร้มารยาทแบบนี้ มองข้ามคนอื่นแบบนี้ ทำให้ไฟที่อยู่ในทรวงของโจวเจิ้งยิ่งอยู่ปะทุมากขึ้น ยิ่งปะทุมากขึ้น และแล้ว ไฟนั้นก็ปะทุถึงจุด เขาอดที่จะคำรามออกมาไม่ได้!
“อ้า!” เสียงคำราม หมัดของเขาต่อยลงไปที่เบาะนั่งของเรา เมื่อต่อยลงไปเบาะนั่งพังเป็นหลุมลงไปโดยตรง ทันใดนั้น ทำให้คนขับรถที่ขับรถอยู่ต้องหยุดรถลงทันใด
เบาะที่นั่งทำจากฟองน้ำ คิดจะทุบเบาะรถพังก็เหมือนกับการทุบลูกบาสลูกบอลให้พังอย่างไรอย่างนั้น ของแบบนี้ไม่ได้ง่ายที่จะทำลายได้ ดังนั้นตอนที่เบาะที่นั่งถูกต่อยพัง ทำให้คนขับรถตกใจจนต้องรีบเหยียบเบรก
คนขับรถรีบหันหลังกลับมาถาม “เป็นอะไรไปครับ?คุณชายโจว!”
โจวเจิ้งยกมือขึ้นมาตบหัวของคนขับรถ คนขับรถถูกตบจนในหัวดังวิ้งๆ โจวเจิ้งกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ขับรถ ใครแม่งให้มึงจอดรถ?”
“ครับ!” คนขับรถหน้าดำคร่ำเครียดรีบขับรถ ฝ่ามือและฝ่าเท้ามีเหงื่อซึมออกมาไม่น้อยแล้ว
“เหอะๆ!” จู่ๆหวังชิงชิงก็ดูแคลนออกมา จากนั้นก็พิงพนักพิงไป
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยแบบนี้ของหวังชิงชิง โจวเจิ้งหรี่ตาถาม “คุณหัวเราะอะไร?”
หวังชิงชิงหันหน้าไปมองโจวเจิ้ง สบตากัน ในใจนิ่งสงบ การกระทำทั้งหมดของฟางเหยียนเมื่อกี๊ส่งผมต่อเธอ ตอนนี้ เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องกลัวโจวเจิ้งอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงได้กล่าวว่า “ฉันหัวเราะความอนาถของแกยังไงล่ะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ โจวเจิ้งยิ่งเกรี้ยวกราดขึ้นไปอีก เขาเงยหน้าอย่างเร็วบีบคอหวังชิงชิง แล้วตะคอกอย่างดุดันว่า “หมายความว่าไงวะ?หวังชิงชิง อย่ามองข้ามความอดทนของกูที่มีต่อมึงนะ”
พลังของโจวเจิ้งไม่มาก หวังชิงชิงยังสามารถหันเหลือบไปมองโจวเจิ้งได้ เธอมองโจวเจิ้งแล้วหัวเราะอย่างขมขื่น แล้วกล่าว “หรือแกไม่อนาถเหรอ?ในใจของแก แกไม่เคยมองฉันเป็นคนมาก่อน แกไม่เข้าใจความรัก ไม่เข้าใจความเป็นครอบครัว และไม่เข้าใจว่าจะเอาชนะผู้หญิงคนหนึ่งได้อย่างไร แกมองฉันว่าเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งในวัยเด็กของแก ฉันคือคนที่แกไม่เคยได้ใจมาก่อน ดังนั้นไม่ว่าต้องแลกกับอะไร แกก็ต้องเอามาให้ได้ แม้ว่าตอนนี้แกไม่ได้ชอบฉันจริงๆ แกก็จะหาวิธีที่จะครอบครองให้ได้ แกไม่เคยสนใจความรู้สึกของฉัน แม้แต่รักแท้แกยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร แม้แต่ผู้หญิงคนหนึ่งคิดอะไรแกยังไม่รู้ แกว่า คนอย่างแกไม่อนาถเหรอ?”
“ใช่!” โจวเจิ้งพยักหน้าอย่างไม่คิดแล้วกล่าว “มึงพูดถูก กูอนาถจริง และกูก็ไม่เข้าใจความรักจริงๆ กูก็แค่อยากได้มึง กูก็แค่อยากเห็นท่าทางของมันที่อยากได้แต่ก็ครอบครองไม่ได้!แล้วไง?หรือมึงคิดว่าแบบนี้สามารถจะขัดขวางการครอบครองมึงได้งั้นเหรอ?ถึงแม้จะได้มาแค่ตัวของมึง กูก็ยอม”
หวังชิงชิงยังคงแสยะยิ้มออกมา รอยยิ้มนี้แปลกประหลาดมาก ถึงขั้นมีเลศนัย เธอสูดหายใจเข้าเบาๆ แล้วกล่าว “ดูภายนอกแกรุนแรง แข็งกร้าวกว่าใครๆ แต่ความจริงในใจของฉันแกเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด”
“น่าสงสาร?” โจวเจิ้งดูแคลนออกมา แล้วกล่าว “มึงอย่าคิดว่าพูดแบบนี้แล้วกูจะปล่อยมึงไปนะ ยังไงมึงก็ต้องเป็นผู้หญิงของกูอยู่ดี และไอ้นั่นไม่ช้าก็เร็วต้องตายด้วยน้ำมือของกู”
สายตาของหวังชิงชิงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แต่แว็บเดียวก็กลับมาเงียบสงบ
เธอเยาะเย้ยออกมา แล้วกล่าว “เหรอ?งั้นแกก็ลองดู!”
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังชิงชิงใช้คำพูดที่ท้าทายแบบนี้พูดกับโจวเจิ้ง เหมือนเธอเปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคน!