ฟางเหมี่ยวพูดอย่างชัดเจนว่า “ครั้งที่แล้วน้องเหยียนมาที่บ้านต่อสู้กับขวังซือแล้วหนึ่งครั้ง เขาโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ขวังซือบาดเจ็บแล้ว และตอนนั้นเขาเผชิญหน้ากับขวังซือที่สมบูรณ์แบบไม่บาดเจ็บ แต่ตอนนี้เป็นขวังซือที่ถูกน้องเหยียนทำร้ายมาก่อน ผมขอคุณอย่าคิดแบบนี้อีกเลย ตำแหน่งของผู้นำตระกูล ไม่ได้นั่งง่ายๆนะ!” เมื่อได้ยินฟางเหมี่ยวพูดแบบนั้น ตงฟางหยุนเอ๋อร์ก็ตาลุกโต เธอไม่เชื่อ ยากที่จะเชื่อได้
เธอไม่ใช่ไม่เคยเจอฟางเหยียน รูปร่างผอมรีบ ผิวขาวซีด ดูๆแล้วเหมือนขาดสารอาหารอย่างไรอย่างนั้น ภายใต้รูปร่างแบบนั้นจะชนะขวังซือได้อย่างไรกัน แล้วยังใช้ท่าเดียวอีก นี่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้แน่นอน!
ตงฟางหยุนเอ๋อร์ไม่เชื่อ แต่ฟางเหมี่ยวกลับไม่สนใจแล้วว่าเธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อ
ขณะนี้ ขวังซือได้ยกกู่ซู๋ขึ้นมาแล้ว ชูเธอขึ้นบนหัวอย่างสูงๆ ขวังซือเงยหน้าขึ้น ใช้สายตาทั้งสองอันแดงก่ำจ้องกู่ซู๋ แล้วคำรามใส่เธอ คำรามอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าเขากำลังเตือนกู่ซู๋อยู่!
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ฟางจินหยวนตะโกนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “พอแล้ว ขวังซือ!”
เขาไม่อยากฆ่ากู่ซู๋ ไว้ชีวิตกู่ซู๋ โฆษณาตระกูลฟาง และง่ายต่อการที่จะให้คนของโลกภายนอกรู้ว่าตระกูลฟางไม่ใช่คนธรรมดาจะแตะต้องได้ แต่เขาไม่แน่ใจว่าขวังซือจะฟังเขามั้ย เพราะนี่เป็นเพียงครั้งที่สองที่เขาเจอขวังซือ
เป็นไปตามที่คิดไว้ ขวังซือไม่สนใจเขา ยังคงคำรามใส่กู่ซู๋อยู่ดี
ฟางจินหยวนอดที่จะตะคอกอีกครั้งไม่ได้ “พอแล้ว ขวังซือ!”
ครั้งนี้ ฟางจินหยวนใช้พลังทั้งหมดที่มีตะโกนออกไป ดังนั้นเมื่อได้ยินก็กลบเสียงคำรามของขวังซือไปหมด
จู่ๆ ขวังซือหันมาอย่างช้าๆ มองไปที่ฟางจินหยวน แววตาแดงก่ำทั้งสองเหมือนกับประตูใหญ่ของนรก เมื่อมองมา มองจนทำให้ฟางจินหยวนอดที่จะตัวเย็นไปไม่ได้
แต่ วินาทีต่อมา ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้ว แววตาของขวังซือเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างช้าๆ ท่าทางก็ผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ
ฟางจินหยวนเห็นดังนี้ จึงรีบไปข้างหน้าแล้วกล่าว “ขวังซือ พอแล้วล่ะ อย่าฆ่าเธอ!”
เหมือนขวังซือเข้าใจคำพูดของฟางจินหยวน ปล่อยคอหอยของกู่ซู๋ลง
เสียงดัง“เปะ!” กู่ซู๋ล้มลงกับพื้น เธอสภาพไร้เรี่ยวแรง หลังจากที่ไออย่างรุนแรงเป็นระยะ เธอจึงกลับมามีสติอย่างช้าๆ หลังจากที่กลับมามีสติแล้ว เธอเริ่มหายใจหอบหืดไม่หยุด
ฟางจินหยวนได้เดินมาถึงข้างกายของกู่ซู๋แล้ว เขามองกู่ซู๋อย่างได้เปรียบ แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไปซะ! ฉันให้โอกาสแกหนึ่งครั้ง ถ้าแกยังกล้ามาตระกูลฟางของฉันอีก ฉันต้องฆ่าแก!”
กู่ซู๋ชะงักไป เงยหน้ามองฟางจินหยวน แววตามีความไม่พอใจ แต่ก็มีความกลัวเช่นกัน เธอหันไปมองขวังซืออีกครั้ง สายตาของขวังซือเปลี่ยนเป็นสีดำ แสดงว่าแรงอาฆาตลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดแล้ว จากนั้นเธอยันตัวขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ ยกมือทั้งสองมากำเป็นหมัด แล้วพูดกับฟางจินหยวนว่า “ขอบคุณสำหรับบุญคุณที่ผู้นำตระกูลไม่ฆ่า!”
หลังจากพูดจบ กู่ซู๋หันหลังแล้วจากไป แต่เพิ่งเดินไปได้สิบเมตร จู่ๆฟางจินหยวนได้เตือนอีกครั้งว่า “แกอย่าไปฟาเสี่ยวเหยียนอีกเลย ฉันเป็นห่วงว่าถ้าแกไปหาเขาแล้วจะไม่ได้โชคดีขนาดนั้นนะสิ”
ต่อหน้าของขวังซือเธอไม่มีแม้กระทั่งช่องทางที่จะเอาคืน แล้วจะเป็นคู่ต่อสู้ของฟางเหยียนได้อย่างไรกัน
กู่ซู๋ไม่ได้หันกลับมา เพียงแต่พยุงร่างที่สั่นไปจากที่นี่อย่างโซซัดโซเซ
หลังจากที่เดินออกจากตระกูลฟางแล้ว เธอรีบหยิบมือถือขึ้นมาโทรออกไปเบอร์หนึ่ง ไม่นานปลายทางก็รับสาย
“ฮาโหล ทำไมแกไม่บอกฉัน ว่าตระกูลฟางยังมีสัตว์เจ้าที่ในตำนานอยู่หนึ่งตัว!!”
หลังจากที่ปลายสายเงียบไปสักพัก จึงได้ถามว่า “คุณเห็นสัตว์เจ้าที่ในตำนานของตระกูลฟางแล้วเหรอ?”
นั่นคือเสียงที่แหบ ฟังดูแล้วผิดปกติ แล้วยังมาพร้อมกับความแปลกประหลาดอย่างเหมือนคนและไม่ใช่คน
กู่ซู๋ตอบ “ไร้สาระ ฉันถูกมันทำร้ายเจ็บหนักแล้วเนี่ย”
“โอเค รับทราบ!” หลังจากพูดจบ ปลายทางวางสายไปโดยตรง เหลือไว้แค่เสียงตู๊ดๆๆ กู่ซู๋กดโทรไปอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าปลายทางจะปิดเครื่องไปแล้ว
นี่ทำให้กู่ซู๋โมโหจนหมดคำพูดทันใด หลังจากที่เธอเอามือถือใส่ไว้ในกระเป๋าแล้ว ก็เกิดข้อสรุปที่คาดไม่ถึงขึ้น คนนี้ให้ตนมาลองดูว่าสัตว์เจ้าที่ในตำนานของตระกูลฟางมีอยู่หรือไม่อย่างตั้งใจ เขารู้ตั้งนานแล้วว่าตระกูลฟางมีสัตว์เจ้าที่ในตำนานอยู่ เพียงแต่ไม่มั่นใจว่าสัตว์ในตำนานนี้ยังอยู่หรือไม่ เขามองว่าตัวเองเป็นอะไร? หน่วยกล้าตาย!?
“เชี่ย!” เมื่อนึกถึงจุดนี้ กู่ซู๋อดไม่ได้ที่จะเปล่งคำหยาบคายออกมา!
ดินแดนตะวันตก
สองวันให้หลัง วันเกิดของนายท่านตระกูลหยาง
ตระกูลหยางก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมายอย่างเร็วมาก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นตระกูลที่ใหญ่โต ลูกทุกคนของหยางจิ่งเซียนกลับมาหมดแล้ว ลูกทั้งเจ็ดคนของเขามีหกคนที่มีครอบครัวแล้ว และลูกทั้งหกคนนี้ล้วนมีลูกสาวลูกชายกันแล้ว คนที่เล่นสนุกกันที่ประตูก็คือลูกของพวกเขา ในบรรดาตระกูลหยางทั้งหมด มีเพียงหยางซงที่ยังไม่แต่งงาน
หยางจิ่งเซียนเดินไปเดินมาในห้อง เขาเดินอย่างทรงเกียรติสง่างาม ลักษณะก็ไม่ได้สูงอายุขนาดนั้น สวมชุดคอจีนสีดำ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เอื้ออาทร ดูท่าทางก็รู้ได้ว่าคนนี้เป็นคนดี
ข้างกายของเขาตามมาด้วยหยางซง หยางจิ่งเซียนถามนู่นถามนี่ หยางซงกำลังตอบคำถามเขาอยู่
ขณะนี้ ฉินเข่อเดินออกมาจากห้องโถงที่รับแขก การแต่งกายของเธอวันนี้แตกต่างกับเมื่อวานโดยสิ้นเชิง ฉินเข่อในวันนี้สวมกระโปรงที่เหมาะสม กระโปรงรัดรูปสีขาว โชว์รูปร่างอันสมบูรณ์ของเธอออกมาให้เห็น ใบหน้าได้แต่งหน้าบางๆ ดูๆแล้วสวยโดดเด่นกว่าคนอื่น ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายสดชื่น
“ลุงใหญ่คะ!” หลังจากที่วิ่งออกมาแล้ว ฉินเข่อตะโกนเรียกหยางจิ่งเซียน
“หืม!เข่อเข่อ” หยางจิ่งเซียนตอบฉินเข่อ ฉินเข่อเข้ามาก็พยุงแขนของหยางจิ่งเซียนโดยตรง ถึงแม้จะเป็นลุงใหญ่ แต่ในใจของฉินเข่อ หยางจิ่งเซียนก็คือพ่อของตน
“วันนี้เข่อเข่อสวยจริงๆ!” หยางจิ่งเซียนมองฉินเข่อ แล้วชมออกมา
หยางซงก็ยกนิ้วขึ้นมาแล้วกล่าว “ชุดนี้กำลังพอดี เมื่อสวมใส่ให้ความรู้สึกของนางฟ้าตัวน้อยของครอบครัวเรา”
ฉินเข่อหัวเราะอิอิ ไม่ตอบอะไร
เงียบไปสักพัก หยางซงถาม “อ้อ เข่อเข่อ แกแพลนจะให้ของขวัญอะไรกับลุงใหญ่ของแกล่ะ?”
ฉินเข่อกลอกตาไปมา แล้วกล่าว “ไม่บอกพี่หรอก!”
“อ้อ พี่ชาย พี่ให้ฉันยืมรถของพี่หน่อยได้มั้ย?ฉันจะไปรับเพื่อน” วันนี้ฉินเข่อจะไปรับฟางเหยียนมา นี่เป็นสิ่งที่ทั้งสองคนตกลงกันเอาไว้แล้ว ขณะเดียกวันก็เป็นสิ่งที่ฉินเข่อเฝ้ารอ
“อ๋อ?” หยางจิ่งเซียนถาม “แกจะไปรับใครเหรอ?คงไม่ใช่แฟนหนุ่มหรอกนะ!”
ฉินเข่อหัวเราะอิๆ แล้วกล่าว “อีกเดี๋ยวเขามาลุงก็รู้แล้วค่ะ”
“เข่อเข่อ!” หยางซงยื่นกุญแจรถไปให้ แล้วกล่าว “แกน่าจะเข้าใจกฏของที่บ้านดีนะ เพศหญิงต้องเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆ เพศชายต้องเป็นแฟนหนุ่ม ไม่งั้นพากลับบ้านไม่ได้ โดยเฉพาะวันแบบนี้”
“อืม! ฉันรู้ค่ะ” หลังจากที่ฉินเข่อรับกุญแจมา ก็ออกจากประตูไป