ตอนที่หมอหลินกำลังทดสอบว่านี่คือพิษอะไรอยู่นั้น ฟางเหยียนก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก้าวเท้าเดินมายังข้างหน้า หลังเพ่งมองบนร่างของเจ้าสามหยางอยู่พักหนึ่ง เขาก็เปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “พิษที่คุณชายสามโดนคือผงเบญจพิษ!”
ตอนที่ฟางเหยียนพูดออกมา สายตาของทุกคนล้วนตกอยู่ที่ตัวเขา รวมถึงหมอหลินและเด็กผู้หญิงคนนั้นที่เขาพามา ดวงตาสองข้างที่เบิกกว้างของเด็กผู้หญิงดูราวกับตุ๊กตา น่ารักอย่างมาก เธอจ้องฟางเหยียนพลางถามว่า “คุณเป็นใคร?”
ฟางเหยียนไม่ได้ตอบคำถามเด็กผู้หญิง เพียงแค่เดินมาข้างหน้าสองก้าวอย่างเงียบๆ
เด็กผู้หญิงอุทานออกมา ถามอีกว่า “ฉันถามคุณอยู่นะ? คุณเป็นใครกัน? รู้ไหมว่าปู่ฉันเป็นใคร?”
จู่ๆ ฉินเข่อก็นึกถึงยาเม็ดหนึ่งที่ฟางเหยียนให้เธอกินตอนอยู่ที่อารามเต๋าก่อนหน้านี้ ดูแล้วเขาน่าจะรู้วิชาแพทย์ เธอจึงรีบเดินไปตรงหน้าฟางเหยียน พูดโดยใช้วาจาแกมขอร้องว่า “คุณ คุณ คุณสามารถช่วยพี่สามได้ไหม?”
ฟางเหยียนยังไม่พูดอะไร เด็กผู้หญิงคนนั้นกํเปิดปากเอ่ยขึ้นอีกว่า “ดูท่าทางคุณไม่เหมือนหมอ แถมยังเย็นชามากด้วย!”
หมอหลินยกมือขึ้นมาตัดบทเด็กผู้หญิงคนนั้น จ้องฟางเหยียนแล้วถามว่า “คุณคือ?”
เจ้าใหญ่หยางส่งเสียงตอบว่า “นี่คือแฟนหนุ่มของญาติผู้น้องผม เมื่อกี้ตระกูลเราเกิดเรื่องนิดหน่อย และก็เป็นเขานี่และที่ช่วยกู้หน้าให้ตระกูลเรา!”
“อ้อ!” หมอหลินตอบรับหนึ่งประโยค จากนั้นก็ถามอย่างไม่สนใจนักว่า “คุณรู้วิชาแพทย์?”
ฟางเหยียนพยักหน้าน้อยๆ พลางกล่าวว่า “เคยเรียนมาบ้าง!”
“เหอๆ!” หมอหลินหัวเราะเสียงเย็นชา ในเสียงหัวเราะนี้ยังมีความเหน็บแนมซ่อนอยู่ด้วย หลังหัวเราะจบเขาก็ไม่มองฟางเหยียนอีก เพียงแค่เอาสายตาวางไว้บนร่างของเจ้าสามหยาง แล้วศึกษาพิษที่อยู่ในร่างเขาต่อ
หลานสาวของเขากลับแค่นเสียงออกมา แล้วพูดเหน็บแนมว่า “คนที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือพวกที่รู้นิดหน่อยแบบนี้แหละ!”
หมอหลินทางหนึ่งศึกษาร่างกายของเจ้าสามหยาง ทางหนึ่งพูดพึมพำกับตัวเอง “ผงเบญจพิษ! นายนึกว่านี่เป็นนิยายหรือไง? พิษอย่างผงเบญจพิษนั่นมันหายสาบสูญไปนานแล้ว นอกจากเห็นอยู่ในนิยายแล้ว ข้างนอกนายคิดว่ายังมีคนเคยใช้พิษแบบนั้นด้วยเหรอ? อย่าเพิ่งพูดเลยว่าที่เขาโดนใช่พิษนี้หรือไม่ สภาพสังคมแบบนี้ ยังจะมีใครไปวิจัยพิษแบบนี้กัน? คิดจะวิจัยผงเบญจพิษออกมา ไม่รู้ว่าคนจะต้องตายไปมากน้อยเท่าไหร่ ฉันวิจัยงานทั้งสี่มาสิบกว่าปี ยังไม่เคยพบเห็นผงเบญจพิษแบบที่นายพูด”
ฟางเหยียนส่งเสียงอืมตอบรับ แล้วกล่าวว่า “ก็เพราะคุณไม่เคยเห็นน่ะสิ ดังนั้นคุณถึงไม่รู้ว่านี่คือผงเบญจพิษ! หากคุณเคยเห็น คุณยังจะไม่รู้ว่านี่คือพิษอะไรอีกหรือ?”
หมอหลินหยุดงานในมือลง เงยหน้าขึ้นมาสำรวจฟางเหยียนอีกครั้ง เพื่อพิจารณาหนุ่มสาวอายุยี่สิบกว่าปีที่อยู่ตรงหน้านี้ใหม่อีกครั้ง
หลานสาวของเขายังคงปากไวเหมือนเคย เธอหัวเราะเหอๆๆ ออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “คุณรู้ไหมว่าปู่ฉันเป็นใคร? เมื่อก่อนเป็นหมอยาของโรงพยาบาลในเมืองดินแดนตะวันตก เป็นหมอยาที่ไม่ว่าโรคอะไรก็สามารถให้ยาได้ อายุอย่างคุณ คงจะเหมือนกับฉัน เป็นแค่เด็กฝึกงานใช่ไหมล่ะ? พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น?”
ฟางเหยียนยังคงไม่สนใจตุ๊กตาสาวตัวน้อยคนนี้ เพียงแค่ใช้ดวงตาสองข้างมองตรงไปที่หมอหลิน
เด็กผู้หญิงมองเห็นสีหน้าท่าทางที่ไม่เห็นตนอยู่ในสายตาครั้งนี้ของฟางเหยียน ก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา จึงร้องเรียกทันทีว่า “นี่ ฉันพูดกับคุณอยู่นะ คุณเห็นเป็นลมผ่านหูหรือไง?”
“หลินอีอี!” จู่ๆ หมอหลินก็เรียกขึ้นมา ก่อนจะกล่าวว่า “ตอนที่มาฉันบอกกับแกว่ายังไง พบเจอเรื่องเช่นนี้ก็ต้องพูดให้น้อย ดูให้มาก! ตอนที่คนโตเขาพูดกัน เด็กห้ามสอดปาก หากแกยังทำแบบนี้อีก คราวหลังฉันจะไม่พาแกมาด้วย”
หลินอีอีแลบลิ้นพูดว่า “เขาก็เป็นเด็กไม่ใช่หรือไง!”
หมอหลินไม่ได้สนใจตุ๊กตาสาวตัวนี้อีก เพียงแค่พิจารณาฟางเหยียนใหม่อีกครั้งแล้วถามว่า “ความหมายของคุณผู้ชายคนนี้คือ คุณสามารถรักษาคุณชายสามได้?”
ฟางเหยียนพยักหน้าโดยไม่ต้องคิดแล้วกล่าวว่า “เมื่อกี้คุณบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ให้ยาถูกโรค มีเพียงรู้จักพิษที่คุณชายสามโดนถึงจะสามารถให้ยาถูกกับมันได้ ผมบอกชื่อพิษที่เขาโดนออกมา ผมคิดผมก็น่าจะแก้พิษมันได้สิ!”
ผงเบญจพิษ อันที่จริงนี่เป็นพิษที่พบเห็นได้ดาษดื่นทั่วไปในบางประเทศของแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อก่อนตอนพวกเขาอยู่ในกองทัพก็เคยพบเห็นบางประเทศใช้วิธีการเหล่านี้มาจัดการกับคนของกองกำลังระดับภูมิภาค เวลานั้นลูกน้องชองฟางเหยียนก็เคยถูกพิษชนิดนี้
ต่อมาพิษนี้ยังคงเป็นเขาที่แก้ได้ แถมขั้นตอนทั้งหมดก็ไม่มียาให้ใช้ด้วยซ้ำ ดังนั้นฟางเหยียนจึงยังพอจะแก้พิษตัวนี้ได้ อย่างน้อยเขาก็มีความมั่นใจที่จะแก้พิษนี้ได้ จากพิษนี้สามารถมองออกได้เล็กน้อย เสี่ยวหงมีการติดต่อกับคนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่บ้าง ไม่แน่ว่าเขาอาจเป็นคนนำมาจากต่างประเทศ แต่ตอนนี้นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฟางเหยียนต้องสนใจ สิ่งสำคัญสำหรับเขาในตอนนี้ก็คือแก้พิษให้เจ้าสามหยางก่อน
“น่าจะ!” หมอหลินรู้สึกว่าอาชีพของตนได้รับการสบประมาท เขาเป็นหมอที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมและบารมีสูงส่ง อยู่ในโรงพยาบาลมาสี่สิบปี ตอนนี้มีคนบอกกับเขาว่าน่าจะรักษาได้ นี่ก็คือข้อห้ามใหญ่ของหมอ หมอไม่อาจพูดว่าน่าจะได้ มีแค่ได้ หรือไม่ได้ มีที่ให้น่าจะที่ไหนกัน นี่มันผิดจรรยาบรรณของหมอคนหนึ่ง
เขาแค่นเสียงออกมา แล้วกล่าวว่า “เด็กน้อยอย่างเธอ หรือเธอคิดว่าอ่านหนังสือแพทย์แค่ไม่กี่เล่มตัวเองก็เป็นคนมีวิชาแพทย์แล้วงั้นเหรอ? เธอรู้ไหมสิ่งที่คนเป็นหมอถือมากที่สุดก็คือคำว่าน่าจะ เธอทำพลาดในระดับที่ต่ำที่สุดแล้ว”
หมอหลินในเวลานี้ ก็เหมือนกับเทพผู้สูงส่งใสวงการการแพทย์ ส่วนฟางเหยียนก็เหมือนกับคนนอกรีตที่หยาบคายคนหนึ่ง ไม่ว่าใครเมื่อเอาคู่นี้มาเทียบกัน ก็ไม่มีทางรู้สึกว่าความรู้ทางการแพทย์ของฟางเหยียนจะเทียบกับหมอหลินได้
มิหนำซ้ำเมื่อครู่หมอหลินเองก็พูดแล้ว ฟางเหยียนพอเปิดปากก็ละเมิดข้อห้ามใหญ่ของแพทย์เสียแล้ว นี่จึงทำให้ความเชื่อถือในตัวเขาที่เพิ่มขึ้นมาของทุกคนดับลงในพริบตา ทุกคนต่างใช้สายตากังขามองสำรวจฟางเหยียน
หลินอีอีจ้องฟางเหยียน คิดในใจว่านายจะตายหรือไม่ แอบอ้างเช่นนี้ช้าเร็วก็ต้องตาย!
ฟางเหยียนหัวเราะเสียงขื่น ก่อนจะกล่าวว่า “ผมไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นหมอ!”
“เหอๆ!” หมอหลินเผยเสียงหัวเราะอย่างเหยียดหยามออกมาอีกครั้ง เขามองฟางเหยียนโดยตรง ถามว่า “ในเมื่อเธอไม่ใช่หมอ นั่นก็เท่ากับศึกษาเป็นงานอดิเรก หากเธอคิดจะใช้งานอดิเรกของตัวเองมาท้าทายอาชีพที่ฉันใช้ทำมาหากิน นั่นแสดงว่าเธอโง่เขลาเกินไปแล้วหรือเปล่า! นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตคน คำว่าน่าจะประโยคเดียวของเธอ รู้ไหมว่ามันคร่าชีวิตคนคนหนึ่งได้ เจ้าสามอยู่ในมือฉันอย่างน้อยก็ยังมีความเป็นไปได้หนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่จะรอดชีวิต แต่ถ้าอยู่ในมือเธอล่ะ? เธอมีความมั่นใจแค่ไหนที่จะช่วยเขาได้?”
หลินอีอีทนไม่ไหวพูดแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ถูกต้อง คนอย่างนายปู่ฉันเห็นมาเยอะแล้ว ปู่หยาง คุณไม่ควรเชื่อใจพวกวณิพกข้างถนนแบบนี้ ฉันว่าเขากำลังติดป้ายขายตัวเอง จงใจเรียกความเชื่อใจของพวกคุณ จากนั้นก็หลอกเอาความเชื่อใจจากพวกคุณ เพื่อให้ได้น้าเล็กฉินเข่อมาครอง ขนาดปู่ฉันยังไม่รู้ แล้วเขาจะรู้ได้ยังไง”
ถูกหลินอีอีกับหมอหลินพูดเช่นนี้ ตัวหยางจิ่งเซียนก็ทนไม่ไหวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาย่อมไม่เชื่อว่าเป็นจริง ฟางเหยียนเป็นใคร ฟางเหยียนก็คือเทพแห่งสงครามของประเทศหวาเชียวนะ