ศาสตราจารย์โจวถอนหายใจออกมา พูดด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง “เอาเถอะ ทุกคนมีปณิธานของตนเอง! หากคุณคิดตกแล้ว อยากจะเข้าสู่อาชีพนี้ ก็ติดต่อผมมาได้ทุกเมื่อ ขอเพียงผมยังมีลมหายใจอยู่ ก็จัดการทุกอย่างให้คุณได้”
“อืม!” พูดถึงตรงนี้ ฟางเหยียนก็วางสาย
ในห้องโถงใหญ่ หยางจิ่งเซียนนั่งอยู่ใต้โถงใหญ่ของบ้านตน ถอนหายใจออกมายาวเหยียด เวลานี้ คนกลับไปกันหมดแล้ว ตระกูลหยางจึงกลับมาเงียบสงบดังเดิม
เวลาสั้นๆ เพียงวันเดียว ตระกูลหยางถึงกับประสบเรื่องราวเช่นนี้ ในอดีตเรื่องพวกนี้ดูไม่น่าจะเกิดขึ้นกับตระกูลหยางได้ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวันนี้จะประสบกับตระกูลหยาง หยางจิ่งเซียนไม่รู้ว่านี่เป็นโชคดีหรือโชคร้าย สรุปแล้วตระกูลใหญ่ที่มั่นคงเช่นนี้เมื่อมีความหละหลวมเล็กน้อย มักจะแฝงด้วยภัยอันตรายที่ใหญ่กว่าซ่อนอยู่เบื้องหลัง
หากองค์กรเหล่านั้นไม่มีการเตรียมพร้อมใดๆ คงไม่มีทางมาถึงตระกูลหยางได้ง่ายๆ
พายุของตระกูลหยางเริ่มจู่โจมแล้ว ไม่รู้ว่าตระกูลหยางจะต้านลมพายุลูกนี้ได้หรือไม่
ในเวลานี้เอง เจ้าใหญ่ตระกูลหยางก็มายังห้องโถงใหญ่ เขาถามหยางจิ่งเซียนว่า “พ่อ ทำไมพ่อถึงไม่รับปากเรื่องนั้นล่ะ?”
เจ้าใหญ่หยางคสามคิดละเอียดรอบคอบ ทำเรื่องใดสุขุมมาก แทบจะนั่งตำแหน่งผู้สืบทอดหัวหน้าตระกูลของตระกูลหยาง
หยางจิ่งเซียนได้สติคืนมา เขาสูดหายใจเข้าลึกยาว ส่งเสียงอ้อออกมา แล้วถามว่า “เรื่องไหนล่ะ?”
เจ้าใหญ่หยางรีบพูดว่า “ก็คือเรื่องแต่งงานของน้องฟางกับเข่อเข่อไงล่ะ! หากพ่อรับปาก สำหรับตระกูลหยางของเรานั้น จะต้องเป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก วันนี้พ่อก็เห็นแล้ว น้องฟางไม่เพียงมีฝีมือร้ายกาจ แม้แต่วิชาแพทย์ก็เก่งกาจขนาดนั้น หากตระกูลหยางได้มีลูกเขยแบบนี้สักคน วันหน้าคงไม่มีทางเกิดเรื่องอย่างในวันนี้ขึ้นอีก ต่อให้พบเจอ ก็ต้องแก้ไขปัญหาได้อย่างราบรื่นแน่ พ่อเองก็รู้ว่า พวกเขาหากมีแผนการแล้ว เมื่อมีครั้งแรก แสดงว่าก็ยังจะมีครั้งที่สองอีก”
หยางจิ่งเซียนถอนหายใจ ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาแล้วพูดว่า “แกคิดว่าพ่อไม่คิดเหรอ? แต่เป็นพวกเราที่ไม่มีสิทธิ์เอง!”
เจ้าใหญ่หยางได้ยินเช่นนี้ สีหน้าท่าทางก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับส่งเสียงหาออกมา
คำพูดนี้พอออกมาจากปากท่านใหญ่หยางจึงดูน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง แถมท่านหยางยังคงใช้น้ำเสียงอับจนหนทางเช่นนั้นพูดออกมา นี่จึงทำให้เขาตกใจมากกว่าเดิม
“พ่อ นี่…ตระกูลหยางของเราไม่มีสิทธิ์?” เจ้าใหญ่หยางยากจะเชื่อจริงๆ ตระกูลหยางเป็นตระกูลอะไร เป็นตระกูลใหญ่อันดับสองของดินแดนตะวันตก หากว่ากันถึงทรัพย์สินเงินทอง อย่างน้อยก็ถึงระดับแสนล้าน หากพูดถึงคุณธรรม ท่านหยางอยู่ในท้องถิ่นยังถูกเรียกว่าหยางกง ได้รับความรักจากชาวบ้าน สร้างโรงเรียน สร้างถนน สร้างประโยชน์ต่างๆ นาๆ ให้กับชาวบ้าน อยู่ในประเทศหวาก็นับว่ามีชื่อเสียงโดดเด่น อีกอย่างหากว่ากันถึงฉินเข่อ หน้าตาน่ารักหมดจด นับเป็นสาวงามก็ว่าได้ เช่นนี้เมื่อคำนวณดูแล้ว จะยังมีคนที่ตระกูลตนไม่คู่ควรได้อย่างไร?
หยางจิ่งเซียนเห็นเจ้าใหญ่หยางทำท่าทางราวกับไม่อยากจะเชื่อ ก็กล่าวต่อว่า “ใช่แล้ว แกคิดว่าเขาเป็นใครเป็นคนที่คิดจะประจบก็ประจบได้เหรอ? เขามาเยือนบ้านเราได้ ทั้งหมดนั่นคือบุญที่บรรพบุรุษตระกูลเราสั่งสมมา! นี่คือเกียรติของตระกูลหยางเรา อย่าขอให้เขาทำเรื่องที่มากเกินไปเด็ดขาด เข่อเข่อของเราไม่คู่ควรกับเขา!”
เจ้าใหญ่หยางรู้ว่าหยางจิ่งเซียนไม่ใช่คนด้อยค่าตระกูลตัวเอง ยิ่งกว่านั้นฉินเข่อยังเป็นไข่มุกกลางฝ่ามือของเขาอีกด้วย เขาถามอย่างเต็มไปด้วยคสามไม่เข้าใจว่า ไปที่ https://th.readeraz.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! สีหน้าหยางจิ่งเซียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา พร้อมกับถามว่า “แกเคยรู้จักสำนักเจ็ดพิฆาตตัวจริงไหม?”
“สำนักเจ็ดพิฆาต!” เจ้าใหญ่หยางพึมพำสามคำนี้ออกมา แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินสำนักเจ็ดพิฆาตนี้มาก่อน! เมื่อกี้เสี่ยวหงก็แนะนำไม่ใช่หรือ ชายฉกรรจ์ที่ชื่อเทียนขุยคนนั้นก็คือสำนักเจ็ดพิฆาต นอกจากจะรู้จักสำนักเจ็ดพิฆาตจากปากของเสี่ยวหงแล้ว เขายังรู้จักจากข่าวลือเกี่ยวกับสำนักเจ็ดพิฆาตผ่านการได้ยินได้ฟังมาบ้าง อย่างไรก็เป็นลูกชายคนโตของตระกูลหยาง ย่อมจะมีสายตาอยู่แล้ว
หลังรวบรวมคำพูดอยู่ชั่วครู่ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาพลางพูดอย่างครุ่นคิดว่า “หากจะบอกว่ารู้จัก ผมก็ไม่ได้รู้จักลึกซึ้งอะไรนัก ปีที่แล้วผมอยู่ทางเหนือเคยได้ยินเพื่อนที่นั่นพูดชื่อนี้กัน ว่ากันว่าเป็นกองทัพที่อยู่เขตชายแดน ฝีมือในการรบป่าเถื่อนอย่างยิ่ง นับได้ว่าเป็นกองกำลังที่อารักขาประเทศหวาเรา พูดกันว่าคนที่เข้าไปได้ ล้วนแต่ดำรงอยู่บนจุดสูงสุดของประเทศหวาเรา ถึงขนาดกล้าหาญกว่าทหารหน่วยอื่นๆ เสียด้วยซ้ำ ทำไม? หรือว่าเขาก็เป็นคนของสำนักเจ็ดพิฆาต?”
พูดมาถึงตรงนี้ เจ้าใหญ่หยางก็อดเบิกตากว้างขึ้นมาโดยอัตโนมัติไม่ได้ เพราะเขาอดคิดไปถึงท่าทางเย้ยหยันโลกเมื่อกี้นี้ของเขาขึ้นมาไม่ได้ นั่นก็คือท่าทางของราชาผู้หนึ่งไม่ใช่หรือ? แถมหลังจากที่เขาเรียกนายพลสี่ดาวคนนั้น ชายฉกรรจ์ที่สูญเสียสติผู้นั้นก็ไม่ขยับอีก นี่แสดงให้เห็นถึงอะไร? แสดงว่าตำแหน่งของเขาสูงส่งน่ะสิ!
หยางจิ่งเซียนหัวเราะเสียงเย็นออกมา จากนั้นก็พูดอย่างสงบเสงี่ยมว่า “พ่อคิดว่าแกคงรู้แล้ว เขาก็คือผู้นำของสำนักเจ็ดพิฆาต! นายพลห้าดาวเพียงคนเดียวของประเทศหวาเรา ชายที่ถูกเรียกว่าเทพแห่งสงครามผู้นั้น”
เจ้าใหญ่หยางฟังมาถึงตรงนี้ ก็อดอ้าปากค้างไม่ได้ ปากนั่นสามารถยัดไข่ไก่ลงไปได้ลูกหนึ่งเลยเชียว
หยางจิ่งเซียนโบกมือพูดว่า “เอาล่ะ พ่อเองหลังจากคิดอย่างละเอียดเมื่อสักครู่ถึงได้รู้ สรุปแล้วตระกูลหยางของเราไร้โชคที่จะได้ใกล้ชิดคนใหญ่คนโตเช่นนี้ ตอนนี้เขามาเยือนบ้านเรา นั่นคือความโชคดีของบ้านเรา ที่พวกเราทำได้ก็คือต้อนรับเขาให้ดี ทำให้เขาพอใจ ให้เขารับรู้ไมตรีจิตของบ้านเรา”
“แต่!” เจ้าใหญ่หยางลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “เขากับเข่อเข่อของเราเป็นคู่รักกันนะ ไม่ว่าเขามีฐานะยังไง ขอเพียงคนทั้งสองรักกัน หรือว่ายังไม่อาจอยู่ด้วยกันได้เชียวหรือ?”
“ฮ่าๆๆ!” หยางจิ่งเซียนพูดอย่างอับจนปัญญาอีกครั้ง “ฉันกลับหวังให้พวกเขาเป็นคู่รักกันจริงๆ น่ะสิ แล้วก็ได้แต่งงานกัน! หากเป็นเช่นนี้ ฐานะของตระกูลหยางเมื่ออยู่ในประเทศหวาเท่ากับไร้คนสั่นคลอนได้ แต่พวกเขาไม่ใช่คนรักกันจริงๆ คนทั้งสองไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรถึงมาอยู่ด้วยกันได้ เป็นไปได้มากว่าสองคนนี้เคยพบหน้ากันแค่สองหนหรือสามหนเท่านั้น เข่อเข่อรับปากช่วยเขา ต้องเป็นเพราะถูกความลึกลับของเขาดึงดูดแน่ สรุปว่า เรื่องหมั้นหมายอย่าเอ่ยถึงอีก!”
เจ้าใหญ่หยางพยักหน้าอย่างครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “ผมรู้แล้ว พ่อ!”
“จริงสิ พ่อ ยังมีอีกเรื่องที่ต้องถามพ่อ พรุ่งนี้เรื่องไปร่วมงานแต่งของคุณชายตระกูลโจว น้องสามเป็นแบบนี้แล้ว ควรให้ใครไปดี? เจ้าใหญ่หยางถาม
ลังเลอยู่ไม่กี่วินาที หยางจิ่งเซียนก็กล่าวว่า “คุณฟางไป!”
เจ้าใหญ่หยางกลอกตารอบหนึ่ง แล้วพยักหน้ารับคำ
งานแต่งตระกูลโจวมีกฎเกณฑ์ โดยทั่วไปจะกำหนดจำนวนคนที่แต่ละคนพามาร่วมงานด้วย
——
กลับมาได้สองวัน จู่ๆ หวังชิงชิงก็ราวกับเปลี่ยนเป็นอีกคนอย่างไรอย่างนั้น เปลี่ยนมากินข้าว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ไม่กินข้าว และไม่ก่อเรื่องเหมือนก่อนหน้านี้ เธอสงบเสงี่ยมมาก แถมเวลากินข้าว เธอยังกินพร้อมพ่อกับแม่ของตน ทั้งยังกินได้ไม่น้อย
เพียงแค่ดูแปลกประหลาดมากไปหน่อย ตอนที่เธอกินข้าวก็จะไม่พูดจา พ่อหวังแม่หวังถามอะไรเธอก็จะพูดอย่างนั้น แต่หลังจากกินข้าวเสร็จเธอจะพูดประโยคหนึ่งว่า หนูกินอิ่มแล้วค่ะ จากนั้นก็จะกลับเข้าไปในห้องโดยไม่หันหลังกลับมามอง
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นติดๆ กันสองวันแล้ว แม่หวังถามเธอว่าวันนั้นออกไปเจออะไรมา เธอก็ไม่บอก