สำหรับผู้ที่แข็งแกร่งระดับเช่นเธอนั้น ความสามารถที่รับรู้ความอันตรายล่วงหน้าได้ทำให้เธอมีชีวิตรอดครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เคยผิดมาก่อน บนโลกใบนี้ยังมีสิ่งที่ทำให้เธอต้องรู้สึกหวาดกลัวกระส่ายกระสับได้ แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน
หญิงหน้ากากพยัคฆ์ทราบอยู่ลึกๆ ว่าการที่นักเบญจธาตุถูกทำลายนั้นไม่ได้มาจากความบังเอิญ สามารถเอ่ยได้ว่าเป็นสิ่งที่จำต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว พวกเขารวมกันห้าคนสามารถปล่อยพลังการสู้รบที่รุนแรงออกมาได้ ทว่าหลังจากที่แยกกันอยู่ พละกำลังก็จะลดทอนลงอย่างมาก การที่ถูกสังหารนั้นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว
อีกทั้งเมื่อขาดคนทั้งห้าแห่งนักเบญจธาตุไปแล้ว ความสามารถในการสู้รบก็สูญเสียไปครึ่งหนึ่ง
เมื่อพูดถึงห้าคนในตอนนี้ นอกจากเธอแล้วก็ยังมีนินจาระดับปรมาจารย์อีกสองคน ที่เหลือสองคนล้วนเป็นนินจาระดับต้าชี่ ซึ่งรวมถึงหม่างเทียนด้วย ความสามารถลดทอนลง ทว่าผู้คนที่เหลืออยู่กลับเป็นผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดในสิบคน
เมื่อนึกได้ว่ายังไม่เห็นแม้กระทั่งฟางเหยียนเลย ครั้นตนกลับสูญเสียกำลังในการรบไปเสียแล้ว เธอยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห โดยเฉพาะเบื้องหน้ายังมีขวังซือที่มีความสามารถไม่ธรรมดากำลังจ้องเตรียมตะครุบทุกคนอยู่ สายตาคู่นั้นราวกับเป็นนกอินทรี จ้องเธอจนรู้สึกไม่สบายใจ!
จำต้องได้ขลุ่ยวิเศษมาครอบครองให้ได้ อีกทั้งตระกูลฟางก็จำต้องชดใช้ด้วยเลือด!
ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้พบกับขวังซือ หม่างเทียนเข่นฆ่าผู้อื่นมาตลอดทาง จิตใจฮึกเหิม ทว่าหลังจากที่ขวังซือปรากฏตัวออกมาแล้วนั้น ตนเองรู้สึกกระอักกระอ่วนครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มลองรสชาติความล้มเหลวแห่งความพ่ายแพ้ ดังประโยคที่ว่า: ก่อนหน้านี้เข่นฆ่าสะใจเพียงใด หลังจากนี้ก็จะซาดิสม์ขึ้นเท่านั้น!
เมื่อขวังซือปรากฏตัวขึ้นมา เขาก็พ่ายแพ้จนราบคาบ ไม่เพียงเท่านี้ ยังเกือบจะสูญเสียชีวิตน้อยๆ ของตนเองไปอีก
มีความคับแค้นใจอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้อยู่แต่กลับแก้แค้นไม่ได้ เขายังคือหม่านเทียนอยู่หรือไม่?
สมแล้วหรือกับชื่ออันน่าเกรงขามที่พ่อแม่ตั้งให้?
สู้รบกับขวังซือไม่ได้ ครั้นการสังหารคนของตระกูลฟางธรรมดาสองสามคนนั้นก็คงเป็นเรื่องที่ง่ายดายชัดๆ ง่ายราวกับหั่นผักหั่นปลา!
ช่วงเวลาที่ได้ยินคำสั่ง หม่างเทียนได้กำหมัดชูขึ้นเตรียมพร้อมที่จะสู้รบเสียจนอดใจไม่ไหวแล้ว เนื่องจากอันดับแรกคือ ชีวิตของตนแขวนอยู่บนเส้นด้าย และเนื่องด้วยนักเบญจธาตุถูกทำลาย เขาโมโหจนทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว หากมิใช่เพราะเขาไม่สามารถที่จะทำอันใดตามใจชอบได้นั้น เขาแทบต้องการเข่นฆ่าคนของตระกูลฟางเพื่อระบายความเกลียดชังเต็มทนแล้ว แม้นว่าขวังซือจะแข็งแกร่งมาก ทว่าหญิงหน้ากากพยัคฆ์ก็แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน!
“เทพธิดา ไม่ต้องห่วง แค้นใหม่แค้นเก่าคิดบัญชีพร้อมกัน หากคนตระกูลฟางไม่สิ้นชีพไปเสีย กระผมขอปลิดชีวิตตัวเอง!” หม่างเทียนทำท่าวันทยหัตถ์ตัวตรงเอ่ยคำสัตย์สาบาน หญิงหน้ากากพยัคฆ์พยักหน้าเบาๆ เท่านั้น หม่างเทียนกลับหลังหันพร้อมมองไปยังผู้คนตระกูลฟาง บนใบหน้าผุดรอยยิ้มอันเยือกเย็นขึ้นมา แลดูน่ากลัวและแปลกประหลาดยิ่ง “การสังหารหมู่เริ่มต้น ณ บัดนี้!”
แม้นว่าจะเป็นครอบครัวตระกูลฟางที่มีผู้คุ้มครองไร้ซึ่งความกงวลใดๆ ทว่าเมื่อมองเห็นหม่างเทียนรวมไปถึงหญิงสาวอีกคนล้อมเข้ามานั้น สีหน้าของพวกเขาก็ดูย่ำแย่จนถึงที่สุด ความหวาดกลัวทันใดนั้นก็ได้ผุดขึ้นมาภายในใจของทุกคน
แม้กระทั่งฟางจินหยวนในเวลานี้เองก็มีสีหน้าเฉกเช่นพวกเขาเหมือนกัน ทว่าเขาทราบดีว่า บัดนี้ตระกูลฟางได้อยู่ในช่วงวิกฤตชี้เป็นชี้ตาย อีกทั้งขอเพียงแต่ฝ่าฟันผ่านไปได้ ตระกูลฟางก็จะได้รับการพัฒนาจนถึงจุดสุดยอดระลอกใหม่เป็นแน่ แต่หากผลเป็นไปในตรงกันข้าม ตระกูลฟางก็จะสูญสลายหายไปในช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์พัฒนาโดยสิ้นเชิง
ไม่สามารถถอนตัวได้เลย!
ฟางจินหยวนตะโกนขึ้นเสียงดังทันที “ชายฉกรรจ์ของตระกูลฟางออกมาให้หมด รับมือกับศัตรู ต่อให้ตายก็ห้ามถอย!”
ใช่แล้ว!
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องให้ฟางจินหยวนเอ่ยเตือนทุกคน ตระกูลฟางไม่ขาดแคลนชายหนุ่มที่มีจิตใจฮึกเหิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะตอนนี้ที่ไม่มีบ้านเรือนตัวเองแล้ว ผู้ใดจะกล้าหดหัวอยู่ในกระดองราวกับเต่าได้ ผู้คนทั้งหลายต่างก็ทราบดีว่า ขอเพียงรับประกันว่าตระกูลฟางจะไม่ดับสิ้นไป พวกเขาก็จะมีโอกาสที่จะกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้ไม่มากก็น้อย ทว่าหากตระกูลฟางถูกทำลายจนดับสิ้นไป ทุกสรรพสิ่งก็จะแตกสลายไปด้วย และจะไม่มีวันที่สามารถพลิกฟื้นชีวิตกลับมาได้ตลอดไป!
“รับมือกับศัตรู ต่อให้ตายก็จะไม่ยอมถอย!”
“รับมือกับศัตรู ต่อให้ตายก็จะไม่ยอมถอย!”
“……”
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงตะโกนคำขวัญดังสนั่นกึกก้องทั่วท้องนภา ชายหนุ่มของตระกูลฟางทั้งหมดต่างก็ลุกขึ้นมา ต่อให้เป็นการเอาชีวิตเข้าไปแลกก็จะมิยอมถอยหลังกลับเด็ดขาด ตระกูลฟางเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของพวกเขา มีบ้านถึงจะมีครอบครัว
เป็นที่ทราบกันดีว่า ฟางเหมี่ยวไม่มีนิสัยชอบเรียนรู้วรยุทธ ทว่าเขาลุกขึ้นมาเป็นคนแรกอยู่ดี กำหมัดแน่น สายตามีความเกรี้ยวกราด เขาจ้องมองไปยังหม่างเทียนและอีกคนอย่างดุดัน
หนึ่งคน สองคน สามคน…ชายฉกรรจ์แห่งตระกูลฟางลุกขึ้นมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภาพนี้ งดงามยิ่งนัก ผู้ได้เห็นจำต้องตราตรึงใจ ส่วนเหล่าสตรีก็ถูกพวกเขาปกป้องไว้อยู่ข้างหลัง ความตื่นกลัวบนใบหน้าถูกแทนที่ด้วยความเป็นกังวลใจแทนแล้ว มีเพียงความเป็นกังวลใจเต็มไปหมด
ตราบใดที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันก็สามารถแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ออกมาได้ สามัคคีคือพลัง แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ไม่มีปัญหาใดที่จัดการไม่ได้!
ทว่าทุกคนต่างก็ทราบดี ต่อให้จะมีมาเพิ่มอีกสักร้อยคน ก็ยังคงเป็นการเอาชีวิตเข้าแลกอยู่ดี ถึงอย่างไรความสามารถของหม่างเทียนก็แข็งแกร่งมาก ครั้นไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แถมยังมีคนที่ความสามารถทัดเทียมกับเขาอีกหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว ประเมินตนเองสูงเกินไป!
ทว่าต่อให้จะเป็นการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว ก็จำต้องทำให้ศัตรูเหน็ดเหนื่อยจนตายกันไปข้างจนได้!
“รับมือกับศัตรู ต่อให้ตายก็จะไม่ยอมถอย!”
เสียงตะโกนดุดันดังขึ้นมา ชายหนุ่มตระกูลฟางที่ล้อมวงอยู่นั้นจึงได้วิ่งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว และเป้าหมายก็คือหม่างเทียน ทว่าเขามิได้เข้าไปใกล้หม่างเทียนแต่อย่างใด ก็มีดาบอันคมฟันมายังท้องของเขาอย่างไร้เสียง จากนั้นร่างของเขาก็ขาดเป็นสองท่อน ตายอย่างราบคาบ!
“เมื่อดาบพันปรากฏตัว ทั่วพสุธานี้ก็ต้องเรียกฉันว่าราชา!”
นี่ก็คือราชาดาบพัน คติประจำใจของหม่างเทียน!
และก็คือความศรัทธาที่หม่างเทียนยึดเป็นคติพจน์
เหี้ยมโหดและเย็นชา!
ผู้บุกรุกมีโทษทัณฑ์เสียจนเขียนไม่จบสิ้น ทำให้ผู้คนไม่พอใจเกรี้ยวกราด การต่อต้านเท่านั้นถึงจะเป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียว!
ภายในเวลาอันสั้น เสียงร้องโหยหวนดังกึกก้อง เสียงแห่งการเข่นฆ่าดังทั่วพสุธา ชายฉกรรจ์แห่งตระกูลฟางพุ่งเข้าไปหาหม่างเทียนทันที ความเยาะเย้ยถากถางบนใบหน้าของหม่างเทียนหยุดชะงักทันที ผู้คนตระกูลฟางที่สามัคคีเป็นหนึ่งเดียวก็ถือเป็นพลังที่มิควรดูถูกได้เช่นกัน อีกทั้งชายหนุ่มแห่งตระกูลฟางทั้งหลายดูเหมือนจะฝึกวิทยายุทธมาตั้งแต่วัยเยาว์แล้ว นินจาจำนวนมากเช่นนี้ลงมือพร้อมกัน เขาก็ถือว่ามีอุปสรรคเช่นกัน
ทว่าศัตรูผู้อ่อนแอจะเอาชนะผู้แข็งแกร่งได้อย่างไร!
ต่อให้จะมีจำนวนเยอะแล้วจะอย่างไรเล่า?
เขามิใช่คนธรรมดาเสียหน่อย
“ซื่อนวี่ เรามาร่วมมือกัน!”
“ได้!”
หญิงสาวเอ่ยตอบรับขึ้นมาน้ำเสียงราบเรียบ จากนั้นเธอก็เข้าไปอยู่ในกลุ่มคนราวกับเป็นดวงวิญญาณที่ทะลุไปมา ในมือถือดาบฟาดฟัน โดยไม่กระทบกระทั่งต่อตนเอง กระบวนท่าคล่องแคล่วว่องไว ทุกที่ที่ไปถึงจำต้องมีคนล้มลง เสียงร้องโหยหวนอันเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ดังกึกก้องทั่วทั้งเรือนตระกูลฟาง!
อีกทั้งเมื่อซื่อนวี่ลงมือ หม่างเทียนก็ฮึกเหิมขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า ราวกับหมาป่าดุร้ายลงจากเขา เข้าตะครุบเหยื่ออย่างโหดเหี้ยมอย่างไรอย่างนั้น ภายในเวลาอันสั้น ก็สังหารไปทั่วสี่ทิศ ช่างรวดเร็วอะไรเช่นนี้!
ในเวลานี้ ความอัดอั้นและความไม่พอใจทั้งหมด ล้วนสลายกลายเป็นแรงผลักดันพรั่งพรูเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
จะกลัวไปทำอะไร ต่อให้จะเป็นหรือจะตายก็ไม่เห็นจะเป็นอันใด ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการก็พอ!
อีกทั้งตนเองยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ด้วย การรับมือกับพวก ‘ชนชั้นต่ำ’เหล่านี้ เป็นเพียงเรื่องกล้วยๆ มิใช่หรือ?
ฟางจินหยวนไม่อยากจะมองเห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้านี้ เขาหลับตาและส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ตระกูลฟางได้อยู่ในช่วงวิกฤตชี้เป็นชี้ตายแล้วจริงๆ อีกทั้งบัดนี้ก็เป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบตระกูลฟาง ทว่าช่วงเวลาที่ชายฉกรรจ์แห่งตระกูลฟางล้มลงนั้น ภายในจิตใจของเขาเจ็บปวดราวกับมีมีดกรีดนับพันเล่ม
ศึกแพ้ชนะอยู่ในเวลานี้!
“ขวังซือ ลงมือ!” ฟางจินหยวนตะโกนขึ้นมาเสียงดังอย่างเจ็บปวดหัวใจ หลังจากที่ตะโกนเสร็จ ร่างกายก็สั่นเทาอย่างรุนแรง มิใช่เป็นความหวาดกลัว แต่เป็นเสียงของหัวใจอันเจ็บปวด
ลงมือก่อนได้เปรียบ!
นี่คือวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดที่ฟางจินหยวนสามารถคิดถึงได้ โบราณกล่าวไว้ว่า: ต้องจัดการตัวสำคัญเสียก่อน ทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีในการสกัดหญิงหน้ากากพยัคฆ์รวมถึงสองคนที่อยู่ด้านหลังเธอ จึงจะได้เวลาในการเอาชนะเพื่อตระกูลฟางมากยิ่งขึ้น และยังสามารถรักษากำลังสุดท้ายของตระกูลฟางเอาไว้ได้ด้วย
ขวังซือร้องคำรามขึ้นมา ร่างกายสั่นสะเทือน พร้อมสาวเท้าไปออกไป ชั่วพริบตาเดียว ทั่วทั้งร่างกายก็แผ่ซ่านพลังอันน่าเกรงขาม น่ากลัวออกมา เส้นขนเงาวาวพลิ้วไหวโดยไม่มีแรงลมอยู่ในสวน ราวกับเป็นเกราะที่ออกแบบมาให้พอเหมาะกับร่างกายพอดี อีกทั้งขวังซือก็ราวกับเป็นเทพสวรรค์ลงมาเยือนโลกมนุษย์ สายดาสีแดงก่ำคู่นั้น จับจ้องมองไปยังหญิงหน้ากากพยัคฆ์เขม็งราวกับเป็นพระราชา