ตายแล้ว!
หญิงหน้ากากพยัคฆ์ตายแล้ว!
ทุกคนของตระกูลฟางล้วนรู้สึกไม่คาดคิด แต่ศพนั้นโยนไปอีกฝั่งอย่างเหยียดยาว ราวกับกำลังพูดอย่างไร้เสียง
มันดูปลอมเกินไปหรือเปล่าเนี่ย!
หรือฟางเหยียนเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานจริงๆ?
ตอนที่ทุกคนๆของตระกูลฟางมองไปที่ฟางเหยียน ในแววตา ก็อดไม่ได้ที่จะประกายความช็อกและหวาดกลัวออกมา แทบจะในเวลาเดียวกัน ที่ในหัวของทุกคนผุดคำพูดหนึ่งที่ฟางเหยียนคือพูดไว้ ‘การทำลายตระกูลฟางเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก’
ตอนนั้นทุกคนคิดว่าคำพูดนี้ของฟางเหยียนเป็นความคึกคะนองของวัยรุ่น คุยโวไม่กระดากปาก แต่ในขณะนี้ ไม่มีใครกล้าพูดว่าคำพูดนี้ของฟางเหยียนเป็นความคึกคะนองของวัยรุ่นอีก เขาพูดจริงมาโดยตลอด เพียงแต่คนพวกนี้มีตาแต่หามีแววไม่ก็เท่านั้น
แว็บเดียว ทุกคนก็เข้าใจฟางจินหยวนขึ้นมา ว่าทำไมไม่ว่าจะยังไงก็ต้องให้ฟางเหยียนกลับมาที่ตระกูลฟางให้ได้ ต่อให้ตำแหน่งของผู้นำตระกูลของตระกูลฟางเขาก็ยอมสลัดทิ้ง ที่แท้เขาก็กำลังประจบประแจงฟางเหยียนอยู่ เชื่อมต่อไปยังที่ฟางจินหยวนพูดไว้เมื่อก่อนว่า ตระกูลฟางมีฟางเหยียน จึงจะมีชื่อเสียงเรืองนาม ชั่วกาลตลอดไป
ทุกคนเข้าใจแล้ว
ตัวตนของฟางเหยียนและความสามารถ เป็นสิ่งที่ตระกูลฟางต้องคว้าไว้
แทนที่จะพูดว่าตระกูลฟางทำให้ฟางเหยียนสำเร็จ สู้พูดว่าฟางเหยียนยกระดับตระกูลฟางจะดีกว่า
นาทีนี้ฟางไห่อิงน้ำตาเอ่อล้นเต็มดวงตาอย่างตื้นตัน ฟางเหยียนเป็นผู้ใหญ่แล้ว เติบใหญ่จนทุกคนภาคภูมิใจ พ่อแม่ที่อยู่บนสวรรค์ของเขาน่าจะปลาบปลื้มใจแล้ว
หญิงหน้ากากพยัคฆ์ตายแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจบเรื่อง เพราะยังมีอีกสี่คน!
เมื่อฟางเหยียนโยนหญิงสาวเหมือนโยนขยะ สี่คนที่เหลือก็หวาดผวาโดยสิ้นเชิง พูดอย่างไม่เกินจริงคือ ทั้งหมดได้กลัวจนฉี่ราดแล้ว หนังเปลี่ยนไปเป็นคนละม้วนแล้ว ทุกคนของตระกูลฟางที่เดิมทีรอการถูกฆ่า จู่ๆมีชีวิตกลับมาได้แล้วไม่ว่า ยังเหมือนกับดูการแสดงก็มิปราณ มองดูห้าคนนั้นตายไป
นาทีนี้ ทุกคนของตระกูลฟางตื่นเต้นอย่างทาสเป็นไทขับร้องลำนำ ความรู้สึกนี้มีเพียงคนที่ผ่านความตายมาแล้วจึงจะตระหนักได้ คำพูดไม่สามารถอธิบายจิตใจของพวกเขาในตอนนี้ได้
เมื่อนัยน์ตาอันนิ่งสงบของฟางเหยียนมองมา หม่างเทียนคุกเข่าลงกับพื้น ศีรษะเหมือนกับลูกเจี๊ยบจิกข้าว ตรงๆไม่อ้อมค้อม อ้อนวอนรวดเดียวว่า “ลูก ลูกพี่ นาย นายท่าน ปล่อย ปล่อยพวกเราเหมือนผายลมได้มั้ยครับ?ผมมีแม่ที่อายุแปดสิบปี มีภรรยาเป็นโรคที่อายุสี่สิบกว่าปี และลูกชายที่ร่างกายอ่อนแอโรคภัยไข้เจ็บรุมเล้า ผมตายไม่ได้ ได้โปรด ปล่อยพวกเราไปได้มั้ยครับ ทุกๆอย่างล้วนเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ก่อมันขึ้นมา จริงๆครับ ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลย”
ฟางเหยียนไม่แม้แต่จะชายตามองพวกเขา หัวไปมองขวังซือที่‘เชื่อฟัง’ ดูแคลนออกมาว่า “แกทำให้ฉันผิดหวังมาก ฉันว่าแกไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อไปอีกแล้วล่ะ!”
หม่างเทียนดีใจขึ้นมาทันใด เขาคิดว่า‘ความจริงใจ’ของตัวเองทำให้ฟางเหยียนซาบซึ้ง แล้วเอาชีวิตกลับคืนมาได้!เมื่อมีการเบิกฤกษ์ของเขา สามคนที่เหลือก็ต่างพากันเลียนแบบ คำนับไปไม่กี่ครั้ง เลือดบนหน้าผากไหลออกมาอย่างไม่หยุด เทียบกับความเจ็บปวดแค่นี้ แล้วมีชีวิตต่อไปได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ศักดิ์ศรีเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย ไม่มีค่าอะไรทั้งนั้น!
ฟางเหยียนหักคอของเทพธิดาอย่างง่ายดาย แบบนี้ใครจะต้านทานได้!
แต่เดิมทุกคนของตระกูลฟางที่ตื่นเต้น ราวกับถูกคนสาดน้ำเย็นใส่หัว ฟางเหยียนกำลังจะคิดบัญชีเหรอเนี่ย? ถ้าไม่ใช่เพราะขวังซือ พวกเขาตระกูลฟางจะอยู่มาได้นานขนาดนี้มั้ย?
ฟางเหยียนจะฆ่าขวังซือมั้ย?
นี่เป็นความคิดที่ผุดขึ้นในจิตใจของทุกๆคน
ขวังซือสั่นไปทั้งตัว ขยับร่างกายที่ใหญ่โตอย่างไม่สงบสุข ท่าทีระมัดระวัง ราวกับเด็กที่กระทำความผิด กำลังรอการสั่งสอนของผู้ปกครองอยู่ก็มิปราณ
ฟางจินหยวนชะงักไป ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงอ้าปากค้าง พบว่าพูดอะไรไม่ออก เขาสามารถควบคุมการกระทำของฟางเหยียนได้มั้ย?ไม่เพียงควบคุมไม่ได้กลับกันจะทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นต่อฟางเหยียน เมื่อโมโหขึ้นมาอาจจะทำให้ตระกูลฟางเต็มไปด้วยเลือดก็เป็นได้ เหมือนกับจะนึกอะไรออก เขาส่งสายตาคาดหวังไปที่ใบหน้าของฟางไห่อิง
ฟางไห่อิงรู้โดยปริยายว่าพ่อหมายความว่าอย่างไร ว่าสัตว์เจ้าที่ในตำนานตายไม่ได้ และจะตายในมือของฟางเหยียนไม่ได้ แต่ฟางเหยียนที่เกรี้ยวกราดจะฟังเธอมั้ย?เธอก็ไม่เชื่อมั่นตัวเองเช่นกัน สุดท้ายแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะขวังซือ บางทีพวกเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว ตามหลัก ขวังซือเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการของตระกูลฟาง เสร็จงานฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพลแบบนี้ เธอค่อนข้างทำใจไม่ได้
ไม่ว่าจะยังไง เธอไม่มีเหตุผลที่จะไม่‘ช่วย’หวังซือ ตระกูลฟางที่ไร้มนุษยธรรมนี้ บางทีนอกจากเธอ ไม่ว่าคำพูดของใครฟางเหยียนก็ไม่มีทางฟัง แต่!
ฟางเหยียนออกโรงเพื่อตัวเองนะ แบบนี้จะทำให้ฟางเหยียนเดือดพล่านมั้ย?
เมื่อไตร่ตรองแล้ว ฟางไห่อิงตัดสินใจ แม้ตระกูลฟางไม่มีสิ่งที่ให้อาลัยอาวรณ์ แต่อย่างน้อยก็เป็นที่เกิดที่เติบโตของเธอ สุดท้ายแล้ว นี่ก็เป็นบ้าน และเป็นบ้านของฟางเหยียน และการกระทำทั้งหมดของขวังซือ เป็นการปกป้องตระกูลฟางอย่างดีที่สุด ต่อให้มีพลังน้อยนิด แต่อย่างน้อยมันก็ได้ทำแล้ว
จากความเข้าใจในตัวของฟางเหยียน เขาโกรธแค้นตระกูลฟางจริง แต่ไม่เคยทำเรื่องที่ทำร้ายผลประโยชน์ของตระกูลฟาง จุดนี้ทุกคนรู้ดี ฟางไห่อิงตัดสินใจขอความเมตตาให้ขวังซือ ไม่เพียงเพื่อขวังซือเท่านั้น และยังทำเพื่อตระกูลฟาง แม้ต้องใช้ความเคารพของตัวเองที่ฟางเหยียนมีต่อตน แต่เธอก็ต้องใช้ความเคารพอันน้อยนิดนี้ไป
มองฟางเหยียนที่เดินไปที่ขวังซือ ทั้งสองยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้กันเรื่อยๆ ภายใต้การสังเกตของผู้คน ฟางไห่อิงสุดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าว “เสี่ยวเหยียน ปล่อยขวังซือไปได้มั้ย”
จู่ๆฟางเหยียนหยุดเดินลง มองไปที่ขวังซือ “แกล่ะ?”
ขวังซือส่งเสียงร้องอาวๆออกมา ราวกับกำลังร้องขอเช่นกัน
ฟางเหยียนเงียบไป หันไปมองน้าสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังตาเป็นประกาย ปรากฏเป็นรอยยิ้มที่นิ่งสงบ การอ้อนวอนของน้าสาวอยู่ในความคาดหมายของเขา ไม่ว่าจะเป็นการขอของฟางจินหยวนหรือการบีบบังคับ น้าสาวได้เอ่ยปากแล้ว และเขาเองก็บรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว
ในการคาดการณ์ของเขา เขาต้องการให้น้าสาวเอ่ยปาก เขาเพียงอยากบอกทุกคนของตระกูลฟางว่า ไม่ว่าใครก็นังแกฟางไห่อิงไม่ได้ ต่อให้เป็นผู้นำตระกูลของตระกูลฟางฟางจินหยวนก็เช่นเดียวกัน
ขวังซือแข็งแกร่งมากไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด แม้แต่นาทีนี้ฟางจินหยวนยังไม่กล้าเอ่ยปากอ้อนวอน เปรียบเทียบสักหน่อยก็เห็นได้ชัดแล้ว แต่ฟางไห่อิงทำได้ นี่ทำให้ทุกคนของตระกูลฟางเข้าใจอย่างหนึ่ง ว่าไม่ใช่จะรังแกฟางไห่อิงได้ง่ายๆ ต่อให้เป็นผู้นำตระกูลของตระกูลฟาง ก็ไม่สามารถให้เธอได้รับบาดเจ็บหรือเสียเปรียบแม้แต่นิดเดียว
หลังจากวันนี้ไป ไม่ว่าใครก็รู้ ว่าตำแหน่งของฟางไห่อิงได้ยกระดับขึ้นแล้ว พวกเขาทำได้เพียงอิจฉาริษยาเกลียดชัง แน่นอนว่าเกลียดก็ทำได้แค่เกลียดตัวเอง เกลียดการแย่งชิงอำนาจของตัวเอง เกลียดตัวเองที่กลัวจะรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ จึงได้ต่างพรรคต่างพวกไป สูญเสียความมีน้ำใจ เมื่อไม่มีบรรยากาศของครอบครัว สุดท้ายก็กลายเป็นคนแปลกหน้าที่เคยผ่านทางเท่านั้น
แต่เธอฟางไห่อิงไม่ว่าจะแต่งงานออกไปหรืออยู่ในตระกูลฟาง การปกป้องของเธอที่มีต่อฟางเหยียนยังคงเป็นเช่นเคย ไม่เคยเสแสร้งแม้แต่น้อย
พายเรือตามน้ำ ฟางเหยียนกล่าวเสียงเบาๆว่า “โทษประหารละได้ แต่ยากจะหนีจากการลงโทษได้ เริ่มจากไหนก็จบตรงนั้น เข้าใจมั้ย?”
และแล้ว ขวังซือก็รอดพ้นจากวิกฤต จากนั้นทุกคนของตระกูลฟางยินดีประดา แต่ไม่แสดงอาการออกมา
ฟางไห่อิงฝืนยิ้มแสยะยิ้มออกมา “ขอบคุณนะ”
ขวังซือดีใจ จากนั้นเสียงคำรามอย่างกลัดกลุ้ม ได้กลายเป็นเสียงคำรามดังที่ตื่นเต้น ร่างกายขยับ ร่างกายกำยำใหญ่โตสั่นราวกับภูเขาลูกเล็ก เกรี้ยวกราดไปยังอีกสี่คนที่เหลือ และจากนั้นเมื่อเห็นขวังซือ ก็งงงวยไปทันที
“เชี่ย!ฟางเหยียนแกคำพูดเชื่อถือไม่ได้” หม่างเทียนแทบจะพูดออกมาโดยไม่คิด “พวกเราขอโทษแล้ว ทำไมยังต้องฆ่าพวกเราอีก!”