บทที่ 59 คำพูดที่เด็ดขาด
ขณะนั้นเอง เป็นงานแถลงข่าวก่อนที่การประชุมจะเริ่มขึ้น
งานแถลงข่าวเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างตระกูลเฉิงแห่งเจียงตูกับตระกูลเซียว เรื่องนี้เรียกเสียงปรบมือจากทุกคนในงาน
เซียวเจิ้นเที่ยนยืนอยู่บนเวที เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิม “ความร่วมมือครั้งนี้ นับว่าเป็นความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ของเมืองจินโจว และเป็นเกียรติของตระกูลเซียวด้วยเช่นกัน ผมทราบว่าหลายวันมานี้ ตระกูลเซียวมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น คนจำนวนไม่น้อยอาจคิดว่าตระกูลของผมจะไปไม่รอดแล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากบอกทุกคนคือ ตระกูลเซียวเป็นตระกูลที่อยู่มากว่าร้อยปี หลายปีมานี้เราเจอเรื่องลำบากมานับไม่ถ้วน ไม่รู้กี่คนที่จ้องจะทำลายตระกูลของผม แต่ก็ได้รับเพียงความพ่ายแพ้ เหล่าคนที่จ้องจะทำลายตระกูลเซียว จ้องจะทำร้ายคนในตระกูลเซียว เข้ามาได้เลย คนอย่างผมเซียวเจิ้นเที่ยนจะรับมือเอง!”
คำพูดของเขาเรียนเสียงปรบมือจากผู้คนข้างล่างเวที
แต่ทว่าฟางเหยียนกลับแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มแห่งการดูหมิ่น
“ดีเลย ในเมื่อนายจะรับมือ งั้นก็รับมือให้ดีก็แล้วกัน” ฟางเหยียนพูดออกมาเบาๆ โดยไม่มีใครได้ยินคำพูดของเขา
หลังจากที่กล่าวจบ ตู้วี่หลินผู้นำตระกูลตู้ก็ยืนอยู่บนเวทีเช่นกัน เขาพูดอย่างยิ่งใหญ่ว่า “สองวันก่อนมีเบอร์แปลกโทรมาที่ตระกูลผม และพูดอะไรตลกๆ ให้ผมฟัง เขาบอกให้ผมยุติความร่วมมือกับตระกูลเซียว ผมขำออกมาทันที ผมเป็นมิตรกับท่านเซียวกว่าสิบปี จะไปกลัวโทรศัพท์ข่มขู่แค่สายเดียวได้อย่างไร วันนี้ผมมายืนอยู่บนเวทีแห่งนี้ เพื่อที่จะบอกคนนั้นว่า ตระกูลตู้ไม่กลัวอำนาจใดทั้งนั้น มีความสามารถก็เข้ามาได้เลย พวกเราจะรับมือเอง”
เสียงถกเถียงและเสียงปรบมือดังขึ้นจากข้างล่างเวทีอีกครั้งหนึ่ง
ตระกูลใหญ่สองตระกูลในเมืองจินโจวร่วมมือกัน เดิมทีมันก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว นี่บวกกับตระกูลเฉิงในเจียงตูอีก อำนาจของตระกูลเซียวก็ยิ่งแข็งแกร่งเข้าไปอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ธุรกิจอื่นๆ อาจจะมั่งคั่งตามเขาไปด้วย หรือไม่ก็ทำได้เพียงแหงนหน้ามองเขาเท่านั้น
ฟางเหยียนได้ยินคำพูดของตู้วี่หลินก็แสยะยิ้มออกมาอีก เขาพึมพำออกมาว่า “จบแล้วล่ะตระกูลตู้!”
หลังจากกล่าวเสร็จ ก็มีการแจ้งว่างานเต้นรำในวันนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว
คนที่เข้ามาในสถานที่เต้นรำก่อนใครคือเย่ชิงหยู่กับเฉิงฉู่ การปรากฏตัวของทั้งสองคน เรียงเสียงฮือฮาไม่น้อย
“ทั้งสองคนเหมาะสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก เหมาะสมกันมาก”
“ใช่ คิดไม่ถึงว่าคุณชายตระกูลเฉิงกับคุณหนูตระกูลเย่อยู่ด้วยกันแล้วจะเหมาะสมกันขนาดนี้”
“ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาที่เหมาะสมกันนะ ขนาดท่วงท่าการเต้นรำยังเข้ากันได้ดีเป็นอย่างมาก”
“…”
ตอนแรกคิดว่าการที่เป็นจุดสนใจจะทำให้เย่ชิงหยู่รู้สึกตื่นเต้น แต่มันไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่จินตนาการเอาไว้
เมื่อเจอกับเสียงซุบซิบของผู้คนในงาน เย่ชิงหยู่รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาในใจ เธอมองหาฟางเหยียนอย่างไม่รู้ตัว กลัวว่าคำพูดเหล่านั้นจะไปเข้าหูของฟางเหยียน
เป็นดังที่คาดไว้ เธอเห็นฟางเหยียนแล้ว
ฟางเหยียนกำลังมองมาที่เธอบนเวที เมื่อเจอกับแววตาคุกรุ่นของฟางเหยียน เธอก็รู้สึกว้าวุ่นใจ
เมื่อเห็นว่าเย่ชิงหยู่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เฉิงฉู่จึงรีบพูดเตือนสติ “ชิงหยู่ เป็นอะไรไป ตั้งใจหน่อยสิ”
เย่ชิงหยู่ตอบรับ จากนั้นจึงค่อยๆ ตั้งสติ แต่ในใจก็ยังหวาดระแวงคนที่อยู่ข้างล่างเวทีอย่างฟางเหยียน
ณ เวลานี้ คนที่มีคู่เต้นรำ ต่างก็พากันเข้าไปเต้นรำ เสียงเพลงดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง
เวินหลานดึงแขนของฟางเหยียนแล้วพูดว่า “ฟางเหยียน เราไปเต้นรำกันเถอะ นายไม่ต้องกังวล ฉันจะไม่พูดเรื่องสัญญากับนายชั่วคราว และจะไปเต้นคู่กับนาย โอเคไหม”
ฟางเหยียนส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่โอเค ฉันเต้นไม่เป็นแล้วก็ไม่สนใจด้วย”
ขณะที่พูดสายตาของฟางเหยียนก็จ้องเย่ชิงหยู่ที่อยู่บนเวที
เวินหลานมองไปมองมา ก็รู้ทันที เธอพูดออกมาว่า “อ๋อ ฉันว่าแล้วทำไมนายเอาแต่จ้องเธอ ที่แท้ก็เรื่องของภรรยานี่เอง มาสิ เดี๋ยวฉันไปนายไปสนุกเอง”
งานเต้นรำเริ่มขึ้น สายตาของเหล่าชายหนุ่มล้วนมองไปยังหลินถง พวกเขากำลังรอคอยว่าใครจะเป็นคนที่ได้เต้นรำกับหลินถง มีบางคนเข้าไปชวนหลินถงเต้นรำ แต่คนแล้วคนเล่าก็ล้วนโดนเธอปฏิเสธ
หลินถงไม่ชอบผู้ชายคนไหนที่อยู่ตรงนี้เลย เธอเดินเข้าไปหาฟางเหยียนและหยุดตรงหน้าเขา จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “คุณฟางเหยียน ฉันชวนคุณไปเต้นรำด้วยกันได้ไหมคะ”
เมื่อคำพูดออกจากปากของเธอ ผู้ชายจำนวนมากก็มีสีหน้าสิ้นหวัง
แต่ทว่า ทันใดนั้นเองหลินถงก็รู้สึกยืนไม่อยู่ เธอล้มลงไปตรงหน้าของฟางเหยียนเบาๆ
ในฐานะที่เป็นผู้ชาย ฟางเหยียนก็ต้องยื่นมือออกไปรับตัวเธอเอาไว้อยู่แล้ว
ขณะนั้นเอง ผู้หญิงที่ดูธรรมดาๆ รีบเดินเข้ามา เธอรับตัวของหลินถงจากตัวของฟางเหยียน จากนั้นก็พูดว่า “คุณผู้หญิง คุณผู้หญิงเป็นอะไรไปคะ”
“หมอ ที่นี่มีหมอไหม!” เมื่อหญิงสาวเห็นว่าหลินถงไม่ตอบกลับ และสั่นไปทั้งตัว เธอก็รีบวิ่งเข้ามาในงาน
เพราะทุกคนต่างพากันมองหลินถง ดังนั้นตอนที่เธอเป็นลม ก็มีคนเข้ามามุงดูไม่น้อย
ขณะนั้นมีชายวัยกลางคนเบียดเข้ามาท่ามกลางผู้คน เขาเข้ามาข้างหน้าหลินถงและพูดอย่างจริงจังว่า “ผมเป็นหมอ ผมเป็นศาสตราจารย์แพทย์ที่เรียนจบจากต่างประเทศ ตอนนี้เป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลประชาชน ผมแซ่เจียง ขอดูอาการคุณผู้หญิงได้ไหม”
ผู้หญิงคนนั้นอยู่ในอาการตกใจ เธอรีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “ค่ะ คุณรีบมาดูอาการเธอหน่อย”
หมอเจียงเปิดตาของหลินถงดู จากนั้นก็คลำที่คอของเธอ เขาเงยหน้าขึ้นมาถามว่า “เมื่อกี้เธอได้รับการกระตุ้นอะไรหรือเปล่า ดูจากอาการแล้ว เหมือนเธอได้รับยากระตุ้นบางอย่าง”
คำถามนี้เขาถามฟางเหยียน จากสีหน้าและแววตาและทิศทางที่มองไปทางฟางเหยียน
ฟางเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ตู้หมิงล่างที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบพูดขึ้นมาทันที “เขาต้องเป็นคนทำแน่ๆ ชอบใช้วิธีสกปรกฝืนใจผู้หญิง ฉันว่าแล้วทำไม่ผู้หญิงถึงวิ่งเข้าหานายอยู่เรื่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างก็พากันตำหนิฟางเหยียน
“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันว่าแล้วว่าทำไมหลินถงถึงเอาแต่มองฟางเหยียน”
“คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีสกปรก หน้าไม่อายจริงๆ”
เวินหลานส่งเสียงไม่พอใจออกมา เธอพูดเถียงออกมาว่า “ถ้าพวกนายพูดแบบนั้น ฉันก็ต้องเป็นลมด้วยสิ อย่าพูดไร้สาระได้ไหม เธอโน้มตัวเข้ามาหาฟางเหยียนเอง เขาไม่ได้สนใจเธอสักหน่อย”
“พอเถอะ พวกคุณหยุดพูดก่อนได้ไหม มาคิดกันก่อนดีกว่าว่าจะช่วยคนยังไง” หญิงสาวคนนั้นพูดออกมาอย่างร้อนใจ
หมอเจียงจับชีพจรของหลินถงแล้วพูดว่า “ไม่ได้การแล้ว เหมือนลมหายใจของเธอจะช้าลงเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ให้เธอนอนราบกับพื้นจะได้หายใจสะดวก”
“ที่นี่ใครมีหน้ากากออกซิเจน ผมจำเป็นต้องพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาล”
ขณะนั้นเอง คนที่เอาแต่ไม่พูดอะไรอย่างฟางเหยียนนั่งยองลงมา และพูดว่า “คุณแน่ใจเหรอว่าตัวเองเป็นหมอ”
หมอเจียงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาหยิบหลักฐานออกมาจากกระเป๋าเสื้อ จากนั้นจึงพูดว่า “เห็นหรือยัง บัตรประจำตัวของแพทย์อันดับหนึ่งประจำโรงพยาบาลของประเทศหวา”
ผู้คนโดยรอบพากันตกตะลึงและพูดว่า “เป็นแพทย์อันดับหนึ่งประจำโรงพยาบาลจริงๆ ด้วย”
“ไม่เสียแรงที่เป็นศาสตราจารย์จบจากต่างประเทศ เก่งจริงๆ”
ฟางเหยียนส่ายหน้าอย่างทุกข์ใจ จากนั้นจึงพูดว่า “นี่การแพทย์ของประเทศหวาล้มเหลวแล้วหรือไง คนไม่เอาไหนถือบัตรประจำตัวแพทย์ แล้วมาบอกว่าตัวเองเป็นแพทย์อันดับหนึ่งประจำโรงพยาบาลก็ได้งั้นเหรอ”