ครึ่งชั่วโมงต่อมา ด้านนอกของโรงแรมหัวหลงเงียบสงัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากละแวกนี้ถูกกวาดต้อนคนไปทั้งหมด ผู้ที่มาแสดงความยินดีกับคุณชายตระกูลโจวต่างก็เข้ามาภายในโรงแรมทั้งหมดแล้ว
ทุกคนต่างก็เข้ามานั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ภายในโรงแรม ตำแหน่งที่นั่งจัดลำดับตามสถานะสูงต่ำ ยิ่งเป็นที่นั่งที่ใกล้ผู้นำแห่งตระกูลโจวมากเท่าไร ก็แสดงว่าตำแหน่งนั้นมีความสูงศักดิ์ยิ่งขึ้นไปอีก หยางจิ่งเซียนนั่งอยู่ด้านหน้าสุด ตำแหน่งที่ใกล้เจ้าตระกูลโจวมากที่สุด นี่ถือเป็นความเคารพต่อหยางจิ่งเซียน เนื่องจากบารมีของเขาไม่เพียงแต่อยู่กับประชาชนเพียงอย่างเดียว สำหรับธุรกิจ การเมืองล้วนถือว่าทำให้ผู้คนเคารพนับถือ ดังนั้นการที่เขานั่งอยู่ที่ตรงนั้น เหมาะสมมาก
และฟางเหยียนก็นั่งอยู่แถวหน้าของเขา แม้ว่าจะใกล้ ก็อยู่ใกล้กับเจ้าตระกูลโจว ทว่าความหมายกลับแตกต่างกัน เขาถือเป็นคนที่หยางจิ่งเซียนพามาด้วย ถือเป็นผู้ติดตามและรุ่นน้อง ดังนั้นจึงทำได้เพียงนั่งอยู่แถวที่สอง นี่คือกฎเกณฑ์ อันที่จริงตระกูลโจวไม่ทราบเลยด้วยซ้ำ ว่าการจัดที่นั่งให้ผู้ที่มีหน้ามีตา ได้นั่งอยู่แถวสองของตระกูลตน จะเป็นการลดทอนความอายุยืนของตระกูลตนได้ ทว่าสิ่งนี้ไม่สำคัญ จุดประสงค์ที่ฟางเหยียนมาที่นี่ไม่ได้เพื่อแสวงหาตำแหน่งแต่อย่างใด
ตรงกันข้ามหยางจิ่งเซียนนั้น ยังเหลือที่นั่งว่างอยู่หนึ่งตำแหน่ง ไม่มีผู้ใดนั่งอยู่ที่นั่น และก็ไม่มีใครกล้านั่ง ตำแหน่งเหล่านี้โจวปินคางเป็นผู้จัดการเองทั้งหมด หากไม่มีเขา ผู้ใดจะนั่งตำแหน่งนั้นได้?
และผู้ที่นั่งอยู่ตำแหน่งที่สอง คือผู้ว่าราชการมณฑลของดินแดนตะวันตก แม้แต่ผู้ว่าราชการมณฑลก็ยังนั่งได้เพียงตำแหน่งแถวที่สอง แล้วผู้ใดจะมีสิทธิ์นั่ง?
ในขณะที่ทุกคนล้วนเดาว่าผู้ใดจะมานั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น อยู่ๆ ก็มีน้ำเสียงของบุรุษอันหนักแน่นดังขึ้นมา “สำนักเจ็ดพิฆาตแห่งประเทศหวา จอมพลโผ้จวิน มาถึงแล้ว!”
เสียงนี้ ทำให้มีเสียงฮือฮาของผู้คนดังขึ้นมา ทุกคนต่างก็อ้าปากตกตะลึง โผ้จวินแห่งสำนักเจ็ดพิฆาตประเทศหวา ผู้คนที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีบารมีในแต่ละกองทัพ หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่มีตำแหน่งแนวหน้าในสังคม แน่นอนว่าทุกคนต้องทราบดีว่าคนผู้นี้คือใคร ยามที่เข้าร่วมงานหรือประชุม ก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามอันใหญ่โตของผู้นี้มาตั้งนานแล้ว ชื่ออันยิ่งใหญ่ของคนผู้นี้ สำหรับผู้คนที่นั่งอยู่ราวกับเป็นฟ้าร้องที่ดังก้องหูโดยแท้จริง นั่นเป็นถึงเทพแห่งประเทศเชียว เป็นบุคคลที่ทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกนับถือ
“โผ้จวินแห่งสำนักเจ็ดพิฆาตประเทศหวา? ใช่นายพลห้าดาวของประเทศหวาคนนั้นไหม? สายเลือดอันได้รับความชอบธรรมคนเดียวของประเทศหวา นายพลห้าดาวเพียงคนเดียว!”
“ไม่รู้สิ แต่ดูท่าทางแล้วก็คงจะใช่ แม้แต่ผู้ว่าราชการมณฑลก็ยังถูกจัดให้นั่งตำแหน่งที่สองเลย นอกจากเขาแล้วยังจะมีใครที่สามารถนั่งอยู่ตำแหน่งแรกได้อีกล่ะ”
“ตระกูลโจวนี่ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ คิดไม่ถึงว่าแม้แต่คนแบบนี้ก็ยังเชิญมาได้!”
“ไม่อย่างนั้นจะบอกว่าตระกูลโจวเป็นครอบครัวตระกูลนินจาแห่งดินแดนตะวันตก กระทั่งประเทศหวาเราได้อย่างไรกันล่ะ แม้แต่ตระกูลฟางแห่งเจียงตูก็อาจยังเกรงกลัวพวกเขาด้วยเลย!”
“การมาเยือนตระกูลโจวที่นี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกับบุคคลที่มีอิทธิพลเช่นนี้อยู่ด้วย ช่างทำให้เปิดหูเปิดตาเสียจริง”
คนที่อยู่ในสถานที่ต่างก็ตกตะลึง มีเพียงสองคนที่มีสีหน้าฉงนใจไม่คลายและตกตะลึงยิ่ง ผู้ที่มีสีหน้าฉงนใจคือหยางจิ่งเซียน เขามองฟางเหยียนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจชั่วครู่ เนื่องจากเขาทราบสถานะที่แท้จริงของฟางเหยียน ดังนั้นจึงรู้สึกประหลาดใจต่อบุคคลที่มาเยือน
ฟางเหยียนเคยบอกว่าตนคือโผ้จวินแห่งประเทศหวา ซึ่งบอกอยู่ในบ้านของตนเอง แน่นอนว่าเขาก็ได้เชื่อไปโดยไร้ซึ่งข้อกังหา บัดนี้มีโผ้จวินแห่งประเทศหวาอีกคนมา นี่มันคือเรื่องอันใดกัน? ผู้ใดคือตัวจริง? ผู้ใดโกหก?
หรือว่าฟางเหยียนหลอกลวงตนหรือ? เขาเป็นพวกเดียวกับสองคนนั้น? จงใจที่จะมาซื้อความเชื่อใจของตนเอง?
ผู้ที่คิ้วขมวดแน่นอนว่าต้องเป็นฟางเหยียน เมื่อคืนวานนี้ยมราชโทรศัพท์หาเขา เอ่ยว่ามีบุคคลหนึ่งสวมรอยเป็นเขา คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมายังบ้านตระกูลโจว เรื่องนี้ทำให้ฟางเหยียนรู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย จึงต้องขมวดคิ้วเช่นนี้
หากฟางเหยียนเดาไม่ผิดละก็ เขาน่าจะเป็นผู้ที่โจวชื่อเจี๋ยไปรับที่สนามบิน
เวลานี้ หยางจิ่งเซียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา “คุณฟาง นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ฟางเหยียนยกมือขึ้นวางบนไหล่ของหยางจิ่งเซียน ตบเบาๆ สองครั้ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เฝ้ามองสถานการณ์เตรียมรับมือ!” เพียงไม่กี่พยางค์ เรียบง่ายได้ใจความ อีกทั้งยังมีสีหน้าที่ทำให้ผู้อื่นจำต้องเชื่อใจ
หยางจิ่งเซียนกลืนน้ำลายลงลำคอ เขาทราบว่าความอดทนของฟางเหยียนนั้นแข็งแกร่งมาก ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะมีความสงสัยอันใดมากมาย ทว่าหากจะให้เขาปักใจเชื่อเต็มที่ว่าฟางเหยียนคือโผ้จวินของประเทศหวา อันที่จริงเขาเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยเห็นโผ้จวินแห่งประเทศหวามาก่อน
บัดนี้สิ่งที่ทำได้นั้นก็คือทำตามที่ฟางเหยียนกล่าว เฝ้ามองสถานการณ์เตรียมรับมือ สังเกตดูว่าเหตุการณ์เป็นเช่นไรกันแน่
หยางซงนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางก้ำกึ่งเอ่ยถาม “น้องฟาง เมื่อครู่นี้คุยอะไรกับพ่อพี่เหรอ?”
ฟางเหยียนโบกไม้โบกมือเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร!”
“จริงสิ โผ้จวินแห่งประเทศหวาคนนี้เก่งกาจมากเลยเหรอ? ทำไมตระกูลโจวถึงได้ให้ความสำคัญเขาถึงขนาดนี้?” หยางซงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ อันที่จริงหยางซงไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับสำนักเจ็ดพิฆาต อายุของเขายังไม่ถึงขั้นที่ทราบเรื่องราวเหล่านี้
ฟางเหยียนมองสำรวจหยางซง เอ่ยว่า “ถ้างั้นพี่รู้หรือเปล่าว่าสมัยนี้ยังมีสงครามสู้รบกันอยู่?”
หยางซงหัวเราะหึหึขึ้นมา เอ่ยว่า “น้องฟาง นี่น้องกำลังล้อพี่เล่นอยู่ใช่ไหม? นี่มันยุคสันติแล้ว จะมีสงครามสู้รบได้ยังไง? ถ้ามีสงครามจริงๆ พวกเราจะไม่รู้ได้เหรอ?”
ฟางเหยียนยิ้ม เอ่ยว่า “มีสงครามสู้รบอยู่ตลอดจริงๆ พี่คิดว่าพวกเลวทรามเหล่านั้นที่อยู่นอกประเทศได้ล้มเลิกการบุกรุกเข้ามาในประเทศหวาแล้วอย่างนั้นเหรอ? สำนักเจ็ดพิฆาตก็คือเกราะป้องกันอันแข็งแกร่งของประเทศหวา เป็นผู้ที่เฝ้าพิทักษ์รักษาความปลอดภัยของประเทศหวาเรา พูดเรื่องนี้กับพี่ไปพี่อาจจะไม่เข้าใจ หากพี่ว่างตอนไหน ถามพ่อพี่ได้”
หยางซงทำสีหน้าไร้คำพูด เขามองฟางเหยียน คิดในใจว่าฉันไม่เข้าใจ แล้วนายเข้าใจอย่างนั้นหรือ? ดูท่าทางของนายแล้วอ่อนต่อโลกว่าฉันเสียอีก
ทว่าเขาไม่ได้เอ่ยออกมา เพียงแค่มีความคิดเช่นนี้อยู่ในใจเท่านั้น
ในขณะนี้เอง ก็ได้ยินเสียงเท้าเดิน “ตึก ตึก ตึก” ดังขึ้นมา ทำให้ทุกคนจับจ้องไปมอง
“โผ้จวินแห่งประเทศหวา” ผู้ที่สวมรอยเป็นฟางเหยียนนั้น เข้ามาสู่ห้องโถงใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
เขาสวมรองเท้าคอมแบตสีดำคู่หนึ่ง สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ที่กระดำกระด่างเล็กน้อย ใบหน้าแลดูเคร่งขรึมอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกราวกับเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น รูปร่างของเขาท้วมกว่าฟางเหยียนเล็กน้อย อายุก็ไม่ได้มากนัก ท่าทางอายุราวๆ ยี่สิบห้ายี่สิบหก ผมเผ้ายาวกว่าฟางเหยียน ราวกับว่าเขากำลังเลียนแบบตนเองอยู่ อีกทั้งยังบดบังใบหน้าของตนเองครึ่งหนึ่งโดยอาจตั้งใจ เผยให้เห็นถึงความรู้สึกลึกลับอย่างหนึ่ง
และในขณะที่เขาเดินถึงประตู ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะไอขึ้นมา เขายื่นมือออกมาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากไว้ จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยให้คนที่อยู่ในห้อง ต่อมาก็สาวเท้าเดินเข้าไปข้างใน
เบื้องหลังของเขายังมีบอดี้การ์ดสองคนตามมาด้วย คนสองคนนั้นผิวสีดำสนิท อีกทั้งบนใบหน้ายังมีรังสีอำมหิตอยู่อีกด้วย แค่มองก็ทราบทันทีว่าเป็นทหารที่คลุกคลีอยู่กับสนามรบมาเป็นเวลานานหลายปี หากมองเพียงสองคนนั้น จะไม่มีผู้ใดสงสัยในสถานะของเขา
“พ่อ คนนี้แหละจอมพลโผ้จวินที่ผมบอกกับพ่อ!” โจวชื่อเจี๋ยเอ่ยพลางชี้ไปยังชายหนุ่มวัยรุ่นที่กำลังเดินอยู่ตรงกลาง
โจวปินคางมองสำรวจชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า ส่ายหน้าอุทานทำเสียงจึ๊ๆ ขึ้นมา จากนั้นก็เอามือทั้งสองประสานกันแล้วยกขึ้นในระดับหน้าอก เอ่ยว่า “ได้ยินกิตติศัพท์ชื่อเสียงอันเลื่องลือของคุณผู้ชายมาเนิ่นนาน วันนี้ได้พบหน้าก็สมคำร่ำลือจริงๆ เรื่องราวที่เคยทำของคุณผู้ชายทำให้ผู้คนในประเทศหวาชื่นชมเคารพตั้งนานนมแล้ว คิดไม่ถึงว่าทั้งชาตินี้ ตระกูลโจวของกระผมจะมีวาสนาได้รู้จักบุคคลเช่นท่านด้วย ตระกูลโจวของกระผมช่างโชคดีเสียจริง!”
ชายผู้นั้นยกมือขึ้นมา แสดงสีหน้าที่สงบนิ่งอย่างยิ่ง เอ่ยว่า “ท่านโจว ไม่ต้องเกรงใจ!”
สายตาของโจวปินคางเปลี่ยนเป็นมีประกายเพิ่มมากขึ้น เขามองชายหนุ่ม เอ่ยว่า “ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจอมพลโผ้จวินที่เลื่องชื่อลือนามแห่งประเทศหวานั้นจะยังเป็นวัยรุ่นอยู่เช่นนี้ ช่างเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยจริงๆ !”