“ไม่หรอกๆ !” ชายหนุ่มตอบกลับไปตามมารยาท
โจวปินคางเอ่ยถามต่อว่า “คิดว่าประเทศของเราควรจะเขียนถึงท่านลงไปในตำราเรียนด้วย สติปัญญาและสิ่งที่ท่านทำไปถึงจะเป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังของประเทศเราควรจะร่ำเรียน คนในประเทศปัจจุบันนี้ สิ่งที่ขาดที่สุดก็คือความยึดมั่นในวีรบุรุษ เรื่องราวความกล้าหาญที่ผ่านมาของท่านควรจะถูกเขียนเป็นบทกลอนยกย่องเชิดชู ผมคิดว่าประเทศไม่ควรที่จะปิดบังเรื่องที่ท่านเคยทำมา แบบนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับคุณผู้ชายเป็นอย่างมาก”
ชายหนุ่มส่ายหน้าโบกไม้โบกมือเล็กน้อย เอ่ยว่า “ท่านโจวพูดเกินไปแล้ว! การปกป้องประเทศเป็นหน้าที่ของทุกคน ความสามารถยิ่งแกร่ง ภาระหน้าที่ก็ยิ่งหนัก พวกเราก็แค่กำลังทำในเรื่องที่พวกเราควรจะทำ การปกป้องประเทศหวาคือความรับผิดชอบและหน้าที่ของพวกเรา ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราควรจะทำ”
ชายหนุ่มเอ่ยอย่างราบเรียบ ใบหน้าสงบนิ่ง มองดูแลใจเย็นถึงที่สุด
เอ่ยได้ว่า ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นวาจาหรือท่าทางล้วนเลียนแบบมาจากฟางเหยียนทั้งสิ้น มองดูแล้วพวกเขาจำต้องเคยผ่าน “การฝึกฝนพิเศษ” มาอย่างแน่นอน น่าจะมีคนแนะนำท่าทางของฟางเหยียนเหล่านี้ ดังนั้นจึงทำให้ชายหนุ่มลอกเลียนแบบได้อย่างคล้ายคลึงเช่นนี้
ผู้ที่จะแนะนำได้ จำต้องสนิทกับฟางเหยียน สนิทกับฟางเหยียน ก็แน่นอนว่าจะต้องอยู่ภายในกองทัพนี้อย่างแน่นอน
หรือว่าจะเป็นกบฏในองค์กรของตนเอง? หลายปีมานี้ผู้ที่เข้าใกล้ตนเองมากที่สุดก็คือคนในสำนักเจ็ดพิฆาต ทุกคนในสำนักเจ็ดพิฆาตล้วนเป็นผู้ที่ฟางเหยียนคัดเลือกเอง การที่จะสามารถเข้าสำนักเจ็ดพิฆาตได้จำต้องมีความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง สำนักเจ็ดพิฆาตไม่มีทางที่จะมีกบฏ เช่นนั้นเป็นผู้ใดกันแน่? ผู้ใดที่เปิดเผยนิสัยการพูดตรงไปตรงมาของตนเอง ให้ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านี้เลียนแบบได้?
ไม่ว่าจะเป็นใคร สรุปชายหนุ่มผู้นี้ในเวลาที่ยังไม่เจอตนเอง สามารถบ้าคลั่งได้สองสามวัน ทว่าเมื่อเจอกับตนเองแล้ว เส้นทางของเขาก็ยุติแล้ว
ฟางเหยียนดื่มน้ำชาหนึ่งอึกอย่างใจเย็น จากนั้นดวงตาทั้งสองก็จับจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มอีกครั้ง
เขามองดูชายหนุ่มเสแสร้งอยู่อย่างเงียบๆ มองดูว่าเขาหน้าไม่อายได้ถึงเพียงใด
ได้ยินคำพูดของชายหนุ่มแล้ว โจวปินคางก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาเอ่ยกับชายหนุ่มด้วยความหดหู่ใจ “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณผู้ชายอายุยังหนุ่มยังแน่นแบบนี้จะมีความตระหนักเช่นนี้ด้วย ช่างน่าเคารพนับถือเสียจริง พวกเราใช้ชีวิตมาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว ยังมองไม่ไกลเท่าคุณผู้ชายเลย คนอายุเท่าเราล้วนมีชีวิตอยู่เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ แต่คุณผู้ชายมองทะลุโลกโลกีย์แล้ว ทำให้คนชราอย่างกระผมอาย ละอายจริงๆ !”
หากเผชิญหน้ากับอีกผู้หนึ่ง โจวปินคางไม่มีทางประจบสอพลอเช่นนี้เป็นแน่ ทว่าเบื้องหน้าผู้นี้เป็นถึงเทพ เทพแห่งสงครามของประเทศหวา จะเป็นบุคคลที่ตระกูลโจวกระทำไม่ดีด้วยได้อย่างไร การที่สามารถเคลียคลอได้ เช่นนั้นก็เป็นเกียรติของตระกูลโจวไปหลายชาติ
ชายหนุ่มโบกมือ เอ่ยว่า “ท่านโจว พูดเกินไปแล้ว!”
“มาๆๆ คุณผู้ชายเชิญนั่ง!” โจวปินคางเอ่ยพลางชี้ไปยังตำแหน่งบนสุด
ชายหนุ่มหยักหน้าเล็กน้อย และนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด หลังจากที่นั่งลงแล้วทุกคนต่างก็พยักหน้าอย่างเลื่อมใสสุดซึ้ง ไม่มีผู้ใดที่จะปฏิเสธคนที่มีสถานะเช่นนี้ในการนั่งอยู่ตำแหน่งนั้น แม้แต่ผู้ว่าราชการมณฑลก็ไม่กล้าที่จะพูดบ่นแม้แต่น้อย
ผู้ที่นั่งอยู่ข้างเขาคือหยางจิ่งเซียน หลังจากที่เขานั่งลงแล้ว จึงได้เอ่ยถามหยางจิ่งเซียนที่ใบหน้าถอดสีอยู่ว่า “คิดว่าคุณท่านนี้ คงจะเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลแห่งดินแดนตะวันตก ผู้นำตระกูลของตระกูลหยาง หยางกงใช่หรือไม่?”
หยางจิ่งเซียนชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ปรากฏเป็นรอยยิ้มเจื่อนๆ เอ่ยว่า “ใช่ๆ ! ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของจอมพลมานานแล้ว”
ขณะที่พูดอยู่นั้น หยางจิ่งเซียนก็ลุกยืนขึ้น พร้อมกำมือโค้งคำนับคารวะด้วยความสุภาพ
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยว่า “ตั้งแต่มาดินแดนตะวันตกข่าวสารที่ได้ยินเยอะที่สุดก็คือเกี่ยวกับหยางกง หยางกงคุณถึงจะเป็นผู้ที่ทำเพื่อประชาชนตัวจริง คนแบบคุณ ถึงจะควรค่าที่จะให้พวกเราทุกคนเรียนรู้ด้วย”
หยางจิ่งเซียนรีบตอบกลับ “ที่ไหนกัน คุณต่างหากถึงจะเป็นแบบอย่างของพวกเราทั้งหมด!”
ขณะที่พูดนั้น หยางจิ่งเซียนก็ลงนั่งอยู่บนที่นั่งของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการปฏิบัติ หรือท่าทีของการพูดจา เขาก็ยังคิดว่าบุคคลที่อยู่ต่อหน้าถึงจะมีบุคลิกลักษณะของผู้ที่สู้รบในสนาม ทว่าสิ่งที่ฟางเหยียนขาดนั้นก็คือบุคลิกลักษณะของการสู้รบในสนาม
เมื่อเทียบกับบุคคลที่อยู่เบื้องหน้า ฟางเหยียนคล้ายคลึงกับมือสังหารที่โหดเหี้ยมเสียมากกว่า! บนตัวเขาขาดความรู้สึกเผด็จการ แม้ว่าคำพูดคำจา หรือท่าทีของเขาจะคล้ายกับนายพลมาก ทว่าก็ให้ความรู้สึกที่ทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ
บางทีภายในลึกๆ ของหยางจิ่งเซียน เขาคิดว่าโผ้จวินควรจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้กระมัง!
ถ้าหากฟางเหยียนไม่ใช่โผ้จวินของประเทศหวา เช่นนั้นจุดประสงค์ที่เขาเข้าใกล้ตนเอง หรือว่าจะเพียงเพื่อควบคุมตระกูลหยางจริงๆ ? ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นเสี่ยวหงและเทียนขุยก็คือส่วนหนึ่งในแผนการของเขา รวมถึงการที่น้องสามโดนสารพิษ ก็เช่นกัน!
เมื่อคิดมาจนถึงนี้แล้ว ช่างน่าทำให้รู้สึกน่ากลัวมากเสียจริง เช่นนั้นตระกูลหยางก็อันตรายเป็นอย่างยิ่งเสียแล้ว
เขาไม่ทราบว่าสองคนที่อยู่เบื้องหน้า ผู้ใดเป็นตัวจริง ผู้ใดเป็นตัวปลอม ทว่าเขาไม่มีทางเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง สิ่งที่เขาจำต้องทำในตอนนี้ก็คือฟังแผนการจากฟางเหยียน เฝ้ามองสถานการณ์เตรียมรับมือ!
เขาสู้ฟางเหยียนไม่ได้ เขาเคยเห็นพละกำลังของฟางเหยียน อีกทั้งนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพละกำลังของฟางเหยียนเท่านั้น ทว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น ถ้าหากเขาเป็นจอมพลโผ้จวินแห่งประเทศหวาจริงๆ อีกสักครู่จำต้องจัดการฟางเหยียนอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าเขาไม่ใช่ เช่นนั้นเขาจำต้องถูกฟางเหยียนจัดการอย่างแน่นอน สรุปคือ ไม่ว่าใครจะจัดการใคร ตนเองก็มีแต่จะได้ประโยชน์ไม่มีโทษ
บัดนี้ เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฟางเหยียนจะเป็นตัวจริง เนื่องจากเขากับฟางเหยียนได้สถาปนาความสัมพันธ์กันแล้ว ถ้าหากเขาเป็นตัวจริง เช่นนั้นจำต้องมีประโยชน์ต่อตระกูลหยางของตนอย่างแน่นอน
และในขณะที่ทุกคนกำลังเจรจากันอยู่นั้น โจวชื่อเจี๋ยก็เอ่ยขึ้น “พ่อ ท่านจอมพลมาเพื่อเป็นสักขีพยานในงานแต่งงาน พวกเสี่ยวเจิ้งได้เดินทางมาถึงด้านหน้าแล้ว พวกเราจัดงานกันก่อนเถอะ!”
โจวปินคางตอบรับ เอ่ยว่า “ใช่ๆๆ ถูกต้องๆ ! ได้พบกับคุณผู้ชายฉันตื่นเต้นเกินไป เกือบจะลืมเรื่องสำคัญไปแล้ว!”
“รีบเรียกพวกเขาเข้ามาเร็วเข้า” โจวปินคางตะโกนออกไปทางนอกประตู
การที่โจวปินคางเป็นเช่นนี้จะเห็นได้น้อยครั้งมาก เขาในเมื่อก่อนล้วนแต่มีท่าทางอันสูงส่ง สีหน้าเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง
ทว่าวันนี้เขากลับมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในแววตามีชายหนุ่มผู้นั้นอยู่โดยตลอด หากเป็นผู้ใดที่เห็นเข้าก็ล้วนแล้วแต่มองออกว่าเขาต้องการที่จะประจบฝ่ายนั้น
อันที่จริงการที่จะประจบชายหนุ่มผู้นั้นได้ ความจริงต้องการตำแหน่งที่สูงส่งพอสมควร! ผู้คนที่อยู่ ณ สถานที่จัดงาน นอกจากตระกูลโจวแล้ว คาดว่าก็ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถประจบเขาได้แล้ว!
ขณะนี้เอง ด้านนอกประตูก็มีเสียงตะโกนการประกอบพิธีงานแต่งงานดังขึ้นมาบริเวณหน้าประตู “เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาถึงแล้ว!”
นี่ถึงจะเป็นส่วนสำคัญของวันนี้ และก็คือจุดประสงค์หลักที่ฟางเหยียนมาที่นี่ เขามาเพื่อเป็นสักขีพยานให้แก่หวังชิงชิง หากว่างานแต่งนี้เขามีความสุขก็แล้วไป ทว่าหากไม่มีความสุข ฟางเหยียนก็จะไม่ลังเลที่จะก่อความวุ่นวายกับงานแต่ง
เมื่อเสียงตะโกนลำดับพิธีดังขึ้นมา นอกประตูก็มีคู่ชายหญิงสวมชุดแดงเดินเข้ามา ฝ่ายชายสวมชุดปักลายสีแดง ผมเผ้าถูกจัดอย่างเรียบร้อย บนใบหน้าน่าจะได้รับการตบแต่งมาเป็นอย่างดี มองดูแล้วมีความแตกต่างจากเมื่อก่อนเป็นอย่างยิ่ง
ทางฝ่ายผู้หญิงมีการสวมเสียะเพ่ยสีแดง บนศีรษะสวมมงกุฎหงส์ สวมรองเท้าปักลายดอก บนศีรษะของเธอมีผ้าคลุมหน้าสีแดงคลุมไว้อยู่ เช่นนั้นจึงมองไม่เห็นใบหน้า ทว่าเมื่อมองจากรูปร่างของหญิงสาวแล้ว จำต้องเป็นสตรีที่สวยสดงดงามอย่างแน่นอน
ในขณะที่เท้าของทั้งคู่เหยียบเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ บริเวณที่เท้าเหยียบลงไป ก็มีสองคนนำพรมสีแดงผืนใหม่มาวาง นั่นเป็นพรมแดงที่ให้เฉพาะคู่บ่าวสาวได้เดิน ดังนั้นพวกเขาเดินไปและปูไปด้วย
ไม่นาน พรมแดงก็ปูมาถึงเบื้องหน้าของโจวปินคาง เข้าใกล้กับชายหนุ่มผู้นั้นและหยางจิ่งเซียน เหนือศีรษะของโจวปินคางมีอักษรเขียนคำว่าโจวตัวใหญ่อยู่หนึ่งตัว ด้านบนของอักษรโจวคือธูปจุดบูชาบรรพบุรุษของตระกูลโจว