กลางคืน เย่ชิงหยู่และฟางเหยียนมาถึงโรงแรมนานาชาติฟู่คาง
พวกเขาทั้งสองไม่ได้ขับรถ เรียกรถมา
นี่เป็นโรงแรมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และก็เป็นนักธุรกิจมั่งคั่งที่มีเงินสักหน่อยจึงจะสามารถเหมาได้ เพราะเหมาหนึ่งวันต้องหลายแสนเกือบหนึ่งล้าน ครั้งที่แล้วตอนที่ตระกูลเซียวบรรลุผลทางการค้ากับตระกูลเฉิง ก็จัดงานที่โรงแรมนี้
เมื่อมาถึงประตู ฟางเหยียนมองไปยังมุมนั้นของครั้งที่แล้วโดยไม่รู้ตัว ผู้เฒ่าตาบอดได้กลายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตไปแล้ว เมื่อมองไป ที่แห่งนั้นว่างเปล่า ยังมีคนเดินเท้ากี่คนที่เดินไปมาอย่างไม่ขาดสาย
ถ้าผู้เฒ่าคนนั้นยังอยู่ล่ะก็ บางทีเขาอาจจะเข้าไปถามเขาเกี่ยวกับหินทิพย์ แต่มนุษย์ที่ดุจดั่งเทพแบบนั้นจะปรากฏกายเพียงหนึ่งครั้ง เพียงแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว ไม่มีครั้งอื่นแล้ว
เย่ชิงหยู่ก็รู้ว่าตำแหน่งที่ฟางเหยียนมองคือตำแหน่งของผู้เฒ่าคนนั้น ด้วยเหตุนี้เองเธอจึงกล่าวว่า “ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ไม่มาอีกเลย!”
พูดจบเธอควงแขนของฟางเหยียน แล้วกล่าวอย่างสุภาพว่า “ไปกันเถอะค่ะ!”
ฟางเหยียนมองเย่ชิงหยู่ เธอแต่งหน้าง่ายๆ ถึงแม้แค่แต่งง่าย แต่เมื่อดูๆไปแล้วกลับสดชื่นเป็นธรรมชาติอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ บนใบหน้าของเย่ชิงหยู่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม บวกกับชุดเดรสรัดรูปสีดำ ทำให้เธอดูๆแล้วยิ่งสวยงามขึ้นไปอีก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการมีอะไรกันของเมื่อคืนหรือเปล่า จึงทำให้เย่ชิงหยู่ดูๆแล้วมีรสนิยมกว่าเมื่อก่อนเยอะ
เหมือนกับเธออารมณ์มีความสุขเป็นอย่างมาก ตอนที่เดินล้วนมั่นใจเต็มร้อย
ไม่นาน ทั้งสองเดินเข้ามาในโรงแรม โรงแรมยังคงสร้างเวทีไว้ ด้านล่างของเวทีวางไว้ด้วยโต๊ะ โต๊ะวางตามระดับแขกของครอบครัว ด้านหน้าสุดคือผู้เฒ่าผู้อาวุโสในครอบครัว จากนั้นก็เป็นญาติสนิทมิตรสหาย
พวกเย่ชิงหยู่ถือเป็นเพื่อนร่วมชั้น ถูกจัดไว้ตรงกลาง
เย่ชิงหยู่นั่งลงข้างๆของเฉินหย่าเพื่อนรักของตัวเองโดยปริยาย เฉินหย่าหญิงสาวคนนี้ นอกจากเห็นเย่ชิงหยู่ใช้ชีวิตคนเดียวตามลำพัง จึงนึกที่จะทอดสะพานให้กับลู่หย่องถิง ที่เหลือก็ไม่ได้ทำอะไร
สิ่งสำคัญที่สุดคือเธอรู้ ว่าฟางเหยียนเป็นคนใหญ่คนโตที่แตะต้องไม่ได้!
เธอสวมเดรสสีขาว ดูๆแล้วสง่างาม ไม่ขาดความสวยงามเลยแม้แต่น้อย ความสนใจของฟางเหยียนไม่ได้อยู่ที่ตัวเธอ แต่เห็นวัยรุ่นคนนั้นที่นั่งข้างกายเธอ นั่นเป็นวัยรุ่นที่กระปรี้กระเปร่าคนหนึ่ง
คิ้วของวัยรุ่นขมวดตลอดเวลา มองไปรอบๆอย่างตื่นตัวตลอดเวลา คิ้วของเขาดกมาก ในร่างกายมาพร้อมกับความซื่อตรง ดูจากการนั่งและรูปพรรณสัณฐาน น่าจะเป็นตำรวจที่เคยเข้ารับการฝึกมืออาชีพมาก่อน
เฉินหย่ามองเย่ชิงหยู่ กล่าวอย่างค่อนข้างสงสัยว่า “ฉันว่าทำไมได้ยินอารมณ์แกไม่เลวตอนอยู่ในสาย! ที่แท้ผู้ชายของแกก็กลับบ้านแล้ว มองฉันมานะ เมื่อคืนแกมีอะไรกันใช่มั้ย?”
คิ้วของเย่ชิงหยู่ขมวดขึ้นมา เรื่องที่น่าเขินอายขนาดนั้นนึกไม่ถึงว่าเฉินหย่าจะถามต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น
แต่ จะว่าไปเฉินหย่าเป็นคนที่ช่ำชอง แค่มองก็รู้แล้วว่าเย่ชิงหยู่เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน
เธอเขินจนหน้าแดงหูแดง ถูกเฉินหย่าสังเกตเห็นแล้ว เธอจุ๊ๆๆแล้วกล่าว “ปฏิกิริยานี้ชัดเจนเกินไปแล้วป้ะ! นึกไม่ถึงว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองมากขนาดนี้ เหนือความคาดหมายของนะ!”
“พอแล้ว หยุดพูดมั่วได้แล้ว!” เย่ชิงหยู่เงยหน้ามองไปรอบๆ เหมือนกลัวว่าจะกลัวคนได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
“อิๆ!” เฉินหย่าหัวเราะขึ้นมาแล้วกล่าว “เป็นสามีภรรยาตั้งนานแล้ว ยังจะเขินอะไรอีกเนี่ย ความจริงพวกแกต้องทำตั้งนานแล้ว! คนสวยอย่างแกนี้ ถ้าไม่ทำ เหลือไว้ก็เสียดายวัยสาว”
“พอแล้ว!” เย่ชิงหยู่หน้าตาลำบากใจ จากนั้นมองผู้ชายข้างๆเฉินหย่า แล้วกล่าว “อารมณ์ของแกก็ไม่เลวนี่! คนนี้คือคนนั้นที่จีบแกป้ะ?”
เฉินหย่าพยักหน้าแล้วกล่าว “ใช่ หล่อล่ะสิ?”
“หล่อเหรอไม่หล่อนะ แต่คือมีกลิ่นอายความองอาจแฝงอยู่” เย่ชิงหยู่พรรณนา
ทั้งสองพูดคุยกันง่ายๆแบบนี้ไปหลายประโยค ตอนที่เห็นแววตาของฟางเหยียน เฉินหย่ายังคงหลบสายตาอย่างไม่รู้ตัว เฉินหย่ามองว่า ฟางเหยียนคือสัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดที่ใครเห็นใครก็กลัว
“อ้อ แฟนหนุ่มน้อยคนนี้ของแกชื่ออะไร?” เย่ชิงหยู่มองชายคนนั้นที่อยู่ข้างๆเฉินหย่าแล้วถาม
จู่ๆชายหนุ่มยืนขึ้น แล้วกล่าว “ผมชื่อเจิ้งถง! สันนิษฐานว่าคุณน่าจะเป็นประธานเย่ของตงข่ายกรุ๊ปใช่มั้ยครับ? ผมมักจะได้ยินเฉินหย่าเอ่ยถึงคุณ บอกว่าคุณผู้หญิงทำธุรกิจเอง ช่างน่าเลื่อมใสมากครับ”
พูดพลาง ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาที่ด้านหน้าของเย่ชิงหยู่
เย่ชิงหยู่หัวเราะเหอะๆ ยกมือไปจับมือของเจิ้งถง แล้วกล่าว “คุณก็ไม่เลว ปกป้องประชาชน”
“ขอบคุณครับ!” ชายหนุ่มตอบอย่างสุภาพมาก จากนั้นก็นั่งลง
ดูได้จากไม่กี่ประโยคที่ง่ายๆ นี่คือผู้ชายธรรมดา ใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวธรรมดาตั้งแต่เด็ก จีบผู้หญิงอย่างเฉินหย่าแบบนี้ เมื่อปรากฏกายในสถานที่แบบนี้ ทำให้เขารู้สึกกดดันมาก
เฉินหย่ามองชายหนุ่ม แล้วกล่าว “ไม่เป็นไรค่ะ”
“เหอะๆ ถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็ คนสวยสองคนนี้ต้องเป็นเย่ชิงหยู่กับเฉินหย่าของตระกูลใหญ่อันดับสองแน่ๆ?” ขณะนี้ คนอ้วนคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆมองทั้งสองแล้วถาม
หลังจากที่คนอ้วนถามเสร็จแล้ว ก็จงใจถกแขนเสื้อของตัวเองขึ้นมา ให้นาฬิกาของตัวเองโผล่ออกมา
ทั้งสองสบตากันอย่างมึนงง แสดงท่าทีว่าไม่รู้จักคนอ้วนที่อยู่ตรงหน้านี้
คนอ้วนคนนี้อ้วนมากจริงๆ ดูท่าทางแล้วอย่างน้อยก็สองร้อยจิน คนเดียวนั่งสองที่ ไม่ใช่แค่นี้ คนที่อ้วนยังดูแก่มากอีกด้วย ดูๆแล้วอายุเขาไม่ใช่รุ่นเดียวกันกับคนที่นั่ง
“แกรู้จักเขามั้ย?” เฉินหย่าถามเย่ชิงหยู่ต่อหน้าคนอ้วน
เย่ชิงหยู่ส่ายหน้าแล้วกล่าว “ไม่รู้จัก”
ขณะนี้ มีหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งร่วมโต๊ะกันกล่าวอย่างตกใจว่า “นาฬิกาเรือนนี้บนมือของคุณใช่ปาเต็กฟิลลิปส์SKอะไรนั่นมั้ย?”
คนอ้วนส่งเสียงอ๋อออกมา แสร้งไม่สนใจมาก จงใจถอดนาฬิกาในมือออกมา ถาม “คุณหมายถึงนาฬิกาเรือนนี้เหรอครับ?”
“อืมๆ!” หญิงสาวคนนั้นพูดด้วยสีหน้าตกใจว่า “ว่ากันว่าบนโลกผลิตมาแค่99เรือนเท่านั้น ราคายี่สิบล้าน! แล้วก็ไม่ใช่มีเงินแล้วจะซื้อได้ ต้องมีสถานะและตำแหน่งที่แน่นอนจึงจะซื้อได้ ลุงของฉันทำธุรกิจน้ำมัน เขาพูดว่าอยากซื้อนาฬิกาแบบนี้ แต่ซื้อไม่ได้
คำพูดนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคน ทุกคนล้วนมองไปที่นาฬิกาเรือนนั้นที่วางอยู่ในมือของคนอ้วน คนอ้วนใส่นาฬิกาอีกครั้ง แล้วกล่าว “ใช่ครับ ยี่สิบล้าน! บนโลกมีแค่99เรือนจริงครับ!”
“พระเจ้า! นี่มันคับคั่งไปแล้วป่ะเนี่ย” คนจำนวนไม่น้อยส่งเสียงตกใจออกมา
โอ้อวดเสร็จสิ้น คนอ้วนเอามือหุบเข้ามา แล้วกล่าวด้วยท่าทีไม่เห็นด้วยว่า “ก็แค่นาฬิกาเรือนละยี่สิบล้านเท่านั้นเอง มีอะไรน่าแปลกใจ!”
โอ้อวด นี่มันโอ้อวดชัดๆ จะว่าไป โอ้อวดได้สมบูรณ์แบบมาก และยิ่งใหญ่มาก
“ถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็ คุณคือหลิ่วจื้อเชาที่ไปเรียนเมืองนอกใช่เปล่า?” หญิงสาวคนหนึ่งถามอย่างตกใจ