นี่เรียกว่าอะไร? โรยเกลือบนบาดแผลของผู้คนงั้นหรือ?
เห็นอยู่ชัดๆว่าฉู่หยางอายุปูนนี้แล้ว อวัยวะบนตัวของเขาเสื่อมสภาพไปตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะมาสู้กับคนหนุ่มสาวได้ ติงห้าวไม่ได้ปลอบโยนหรือเห็นอกเห็นใจอะไรฉู่หยางก็แล้วไปแต่นี่ถึงกับยังกล้าเอ่ยพูดจาประชดประชันออกมา นี่เห็นได้ชัดว่าเนื้อแท้แล้วก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่
ติงห้าวแต่เดิมก็ไม่ใช่คนเจียมเนื้อเจียมตัวอะไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ต่างประเทศหรือในประเทศ เขาล้วนชอบอวดความสำเร็จของตนเองไปทั่ว หากไม่ใช่เพราะความขี้อวดนี้ เขาก็คงไม่ออกมาเล่นเปียโนในงานแต่งงานแบบนี้ ซ้ำแต่ละประโยคและแต่ละคำล้วนไม่พ้นจังหวะของเสียงดนตรี ทำราวกับตัวเองเป็นเหมือนผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี
เมื่อได้ยินฉู่หยางบอกว่าเปียโนไม่ได้เรื่อง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่พอใจ เขารู้สึกว่าตนเองถูกดูหมิ่น ชายชราคนนี้กำลังดูถูกเขา ดังนั้นเขาจึงต้องการท้าทายชายชราและทำให้ชายชรารู้ว่าเป็นเขาต่างหากที่ไม่ได้เรื่อง
เย่ชิงหยู่ขมวดคิ้วและพูดว่า “ติงห้าวคนนี้ ช่างเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสียจริง! ในเวลาแบบนี้แล้ว ยังไม่ยอมก้มหัวอีกหรือไง? การยอมรับเครื่องดนตรีประเทศหวามันยากมากหรือไง? ชายชราผู้นี้แต่เดิมแค่ต้องการปลุกหัวใจของคนหนุ่มสาว ให้ทุกคนได้เห็นมรดกทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของประเทศหวาที่มีมานานกว่า 5,000 ปี แล้วทำไมคนที่ดูท่าทางมีการศึกษาเหล่านี้กลับไม่เข้าใจกัน? ลองฟังที่คนพวกนี้พูดเข้าสิ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป จะทำร้ายจิตใจของชายชรามากขนาดไหนกัน!”
“ถ้าฉันเล่นขลุ่ยไม้ไผ่ได้ ฉันจะขึ้นไปสั่งสอนติงห้าวนั่นแน่! เขาเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเกินไป! ไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส ดูท่าที่เขาไปเรียนต่างประเทศคงเรียนจนไม่เหลืออะไรแล้ว แม้กระทั่งประเพณีประเทศหวาเคารพผู้อาวุโสและรักเมตตาเด็กก็ยังลืมไปแล้ว?”
ก่อนที่เย่ชิงหยู่จะพูดแบบนี้ ฟางเหยียนยังคิดว่าเธอไม่เข้าใจ! แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเย่ชิงหยู่จะเป็นผู้หญิงที่ดูสถานการณ์ออก เขาดีใจอย่างมากที่เย่ชิงหยู่สามารถพูดคำเหล่านี้ออกมา เนื่องจากถ้าเย่ชิงหยู่พูดแบบนี้แล้ว เขายังมีอะไรต้องลังเลอีก
ดังนั้นเขาจึงพูดกับเย่ชิงหยู่อย่างสบายๆว่า “ฉันไปลองๆดูสักหน่อยแล้วกัน! บังเอิญ ที่ฉันสามารถเล่นเพลงนี้ได้พอดี”
“หา!” เย่ชิงหยู่มองไปที่ฟางเหยียนและกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ
“คุณเล่นได้จริงหรือ?” เธอไม่รู้จริงๆ ว่า ฟางเหยียนสามารถเล่นขลุ่ยไม้ไผ่ได้
ฟางเหยียนตอบรับและเอ่ยขึ้น “ใช่! เคยเรียนมาก่อนแล้ว”
ฉู่หยางที่อยู่บนเวทีได้ยินคำพูดของติงห้าว ก็หยิบขลุ่ยไม้ไผ่แล้วพูดว่า “ฉันยังเล่นไม่จบ เมื่อกี้แค่หายใจไม่ทัน!”
ติงห้าวหัวเราะหึหึและเอ่ยว่า “หายใจไม่ทัน? ต่อหน้างานใหญ่จริงๆ เช่นในงานคอนเสิร์ตระดับนานาชาตินั้นไม่อนุญาตให้มีการหยุดชั่วคราวได้ ถ้าหากเกิดขึ้นก็ถือว่าน่าอับอายอย่างมาก มีคนดังมากมายดูอยู่ข้างล่าง คงจะให้หยุดไปชั่วครู่คงทำไม่ได้หรอก! พวกเราทุกคนล้วนเป็นนักดนตรี ผมว่าคุณน่าจะเข้าใจความจริงนี้ แต่คุณแก่แล้ว พวกเราก็สามารถเข้าใจได้ พวกเราจะฟังคุณอีกสักครั้งแล้วกัน! ทุกคนปรบมือ ให้กำลังใจท่านฉู่สักหน่อย ”
พฤติกรรมและการกระทำดังกล่าวทำให้เขายิ่งดูหมิ่นฉู่หยางมากขึ้น ฉู่หยางสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ระบายความคับข้องใจทั้งหมดออกมา บทเพลงนี้ ต่อให้เขาจะต้องเป่าจนหมดลมหายใจไป เขาก็จะต้องเป่ามันให้ได้”
แต่ก่อนที่เขาจะได้เป่ามัน ฟางเหยียนก็เดินไปตามฝูงชนทีละก้าวแล้วตะโกนว่า “ให้ผมทำเถอะ!”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที ทุกคนล้วนทยอยหันกลับมามองที่ฟางเหยียนกัน
“ผู้ชายคนนี้เป็นใคร?” ที่เวทีด้านล่างมีหลายคนถามขึ้น
ฟางเหยียนไม่สนใจใคร เขาเดินตรงไปที่เวทีด้านบน พิธีกรคนนั้นถามว่า “คุณเป็นใครกัน?”
ยังไม่ทันที่ฟางเหยียนจะเอ่ยตอบ ติงห้าวก็ยกมือขึ้นตัดบทเขาและเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร!”
พิธีกรพูดไม่ออกไปในทันที แต่เดิมนี่เป็นงานซ้อมงานแต่งงานที่ถูกวางแผนมาดีๆ แต่ตอนนี้ดันกลายมาเป็นแบบนี้ไปแล้ว ตนเองก็หมดหนทางที่จะดำเนินการตามแผนต่อไป
“นายอยากมาเป่าขลุ่ยไม้ไผ่แทนท่านผู้เฒ่า?” ติงห้าวถาม
ฟางเหยียนพยักหน้าอย่างไม่ลังเลและกล่าวว่า “ใช่ ท่านผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ไร้หนทางจะเปลี่ยนลมหายใจภายในได้ เครื่องดนตรีประเทศหวาของเรานั้นเกิดจากการผสมผสานของเครื่องดนตรีและลมหายใจ ช่างเถอะ พูดไปมากขนาดนี้คุณก็ไม่เข้าใจ”
หลังจากนั้น ฟางเหยียนก็พูดกับฉู่หยางอย่างจริงจังว่า “ฉันก็มีความคิดเดียวกันกับท่านฉู่ ฉันเองก็คิดว่าท่วงทำนองดนตรีที่บรรเลงโดยขลุ่ยไม้ไผ่นั้นดีกว่าเปียโน เครื่องดนตรีประเทศหวานั้นก็เป็นราชาแห่งเครื่องดนตรีนับร้อยจริงๆ เปียโนของเล่นพักนี้ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบแล้ว มันไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบ แม้แต่ขลุ่ยไม้ไผ่ธรรมดาๆ เขาก็เปรียบกันไม่ได้!”
คำพูดนี้เป็นการตบหน้าของติงห้าวเข้าอย่างจังๆ แต่ติงห้าวไม่โกรธ เขายิ้มกลับไปและพูดว่า “แล้วฉันจะรอดู!”
“นี่มันช่างตลกชะมัด! เมื่อครู่เพิ่งจะจบเรื่องกับชายชราไป มาตอนนี้กลับมีชายหนุ่มมาอีกคน พวกเขามาที่นี่เพื่อเล่นสนุกหรือไง? นี่มันคืองานแต่งงานของคนอื่น มาเอะอะโวยวายในงานแต่งงานของคนอื่นแบบนี้ ไม่รู้สึกว่าไม่ดีบ้างหรือไง?”
“คนบางคนชอบเอาตัวเองเป็นที่ตั้งทำตัวเป็นจุดสนใจ คิดอยากจะโดดเด่น แน่นอนว่าย่อมต้องฉวยออกมาในโอกาสแบบนี้แหละ”
“ก็ดี อย่างนั้นก็มาดูกันว่าเขาจะเสียหน้าแบบไหนในภายหลัง!”
“…”
ฟางเหยียนเดินมาตรงหน้าฉู่หยางและพูดว่า “ท่านฉู่ สะดวกให้ผมยืมขลุ่ยไม้ไผ่ของคุณไหมครับ?”
ฉู่หยางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองฟางเหยียนอย่างประเมินและถามว่า “คุณ คุณรู้วิธีเป่าเพลงดึงดูดผีเสื้อจริงหรือ?”
ในคำพูดมีความสงสัยอยู่บ้าง เพลงดึงดูดผีเสื้อนี้หากไม่ได้ศึกษาขลุ่ยไม้ไผ่มาเป็นเวลาสิบปีก็จะไม่สามารถเป่าออกมาได้ถึงอารมณ์ของมัน ขลุ่ยไม้ไผ่ไม่ได้แสดงจังหวะที่ตรงไปตรงมาและเรียบง่ายเหมือนเปียโน มันต้องใช้อารมณ์ของคุณเองในการส่งผ่านอารมณ์ออกไป มีแต่การจมเข้าสู่อารมณ์ที่แท้จริงเท่านั้น ถึงจะสามารถเล่นเพลงดึงดูดผีเสื้อที่ดีที่สุดได้ นี่คือขอบเขตขั้นสูงสุดของการเล่นขลุ่ยไม้ไผ่
ฟางเหยียนพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ใช่ โปรดเชื่อในตัวฉัน!”
ฉู่หยางแก่แล้ว เขาเป่าดึงดูดผีเสื้อไม่ไหว บางทีเขาอาจจะต้องเชื่อใจชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้เท่านั้น ในเวลานี้ฉู่หยางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อใจเขา เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองยังมีตัวเลือกอะไรเหลืออีก!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปที่ฟางเหยียนด้วยท่าทางเคร่งขรึมที่สุด จากนั้นก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “ตกลง ฉันเชื่อคุณ!”
คำพูดนี้พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าหากเขายังเล่นได้จริง เขาไม่มีวันปล่อยให้เด็กหนุ่มคนนี้ได้ลองแน่ นี่เป็นเวลาที่จะปกป้องท่วงทำนองดนตรีของประเทศหวา ถ้าหากชายหนุ่มคนนี้ทำมันสำเร็จ นี่ก็คงจะเป็นมรดกสืบทอดออกไปที่ดีอย่างยิ่ง
ฉู่หยางมองไปที่ขลุ่ยไม้ไผ่ในมือของเขา จากนั้นก็ยกมือขึ้นและแตะตั้งแต่ขอบด้านบนจรดล่างของขลุ่ยไม้ไผ่ ใบหน้าดูลังเลตัดใจไม่ได้อยู่บ้าง ราวกับว่าตนเองกำลังต้องแยกจากลูกชายของตน
หลังจากทำเช่นนี้ เขาก็ค่อยยื่นขลุ่ยไม้ไผ่ให้ฟางเหยียนและพูดว่า “น้องชาย ฉันเชื่อนาย!”
นี่เป็นเพราะจนใจแล้วจริงๆถึงได้ทำเช่นนี้ ฉู่หยางไม่ใช่คนที่เชื่อใจผู้อื่นได้ง่ายๆ โดยเฉพาะขลุ่ยไม้ไผ่นี้ เขาถือว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า ไม่เคยปล่อยให้มันถูกใครแตะต้องแม้แต่น้อย แม้กระทั่งลูกชายและหลานชายของเขา ก็ล้วนไม่เคยปล่อยให้พวกเขาแตะต้องมัน
แต่วันนี้ เขาต้องมอบมันให้กับชายหนุ่มคนนี้แล้ว
นี่คือความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ กล่าวโดยสรุปก็คือ คนคนนี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่น่าเชื่อถือ
ฟางเหยียนยกมือขึ้นและรับขลุ่ยไม้ไผ่ไป เขาหยิบมันไว้ในมือแล้วประเมินดู จากนั้นก็วางขลุ่ยไม้ไผ่ไว้ที่มุมปาก